ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 627 สงครามหน้ากากเล่นลิ้น
ตอนที่ 627 สงครามหน้ากากเล่นลิ้น
เย่เชียนเห็นดวงตาของซ่งหลันอย่างชัดเจนว่าเธอล้อเล่นแต่เขาก็สั่นสะท้านอย่างอธิบายไม่ได้ ซึ่งเขานั้นเคยเห็นสีหน้าและท่าทางแบบนี้มานับไม่ถ้วนและทุกครั้งที่เย่เชียนเห็นแบบนี้มันก็ไม่ได้มีผลลัพธ์ที่ดีเสมอไปเพราะส่วนใหญ่เย่เชียนจะโดนผู้หญิงคนนี้แกล้ง อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้กลัวที่ซ่งหลันจะล้อเขาเล่นเพราะตอนนี้เขาไม่เหมือนก่อนอีกต่อไปแล้วและที่สำคัญกว่านั้นตราบใดที่ซ่งหลันไม่พูดถึงการที่เขาหายไปนานกว่าหนึ่งปีแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่ต้องอึดอัดใจ
ถึงแม้ว่าคาเอดะจะค่อนข้างหยิ่งผยองและภาคภูมิใจแต่ก็ยังไม่จนถึงจุดที่เขาคิดว่า ‘ฉันเก่งที่สุดในโลก’ เขารู้ดีว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเย่เชียนก็เป็นถึงประธานของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปดังนั้นเย่เชียนต้องไม่ใช่คนธรรมดาและต้องมีข้อดีเป็นของตัวเองและก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายคนนี้จะไร้ประโยชน์และอ่อนแอ อย่างไรก็ตามคาเอดะก็เป็นความหวังของตระกูลอิงะและเป็นทายาทอันดับต้นๆของตระกูลนินจาอิงะ ซึ่งเขาชัดเจนมากว่าบริษัทที่ติดอันดับ 500 อันดับแรกของโลกไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแทนของบริษัทที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกเพราะบริษัทที่มีอำนาจจำนวนมากก็ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าเสมอไป เช่นเดียวกับตระกูลอิงะเพราะถึงแม้ว่าธุรกิจของตระกูลจะเป็นหนึ่งใน 100 บริษัท ชั้นนำของโลกและไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแต่อำนาจทางเศรษฐกิจของตระกูลอิงะนั้นใหญ่มาก ซึ่งเขาก็เชื่อว่าความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นไม่ดีเท่าตระกูลอิงะ
เย่เชียนเองก็ชัดเจนในเรื่องนี้เช่นกันเพราะเขาไม่หยิ่งผยองถึงขั้นคิดว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปเป็นหนึ่งใน 20 อันดับแรกของโลกแล้วมันจะน่าทึ่งและยิ่งใหญ่จริงๆเพราะยังมีกองกำลังต่างฝ่ายที่ไม่รู้จักอีกมากมายในโลกใบนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลโบราณและตระกูลใหญ่ๆในสมัยก่อนเหล่านั้น ซึ่งความยิ่งใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาเบื้องหน้า ซึ่งหลังจากอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกามานานเย่เชียนก็เข้าใจเรื่องนี้ดียกตัวอย่างเช่นบิลด์กรุ๊ปคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกคือบิลด์เกตแต่ที่จริงแล้วเขาเป็นเพียงสมาชิกตระกูลบิลด์เท่านั้นเพราะความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของตระกูลบิลด์นั้นยอดเยี่ยมมาก
ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่คิดว่าอำนาจทางเศรษฐกิจของตระกูลอิงะเป็นเพียงการถูกยกย่องในระดับองค์กรเท่านั้น เพราะเย่เชียนให้ความสำคัญกับการตัดสินใจและการลงมือทำและทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีแผนการที่ละเอียดมากและนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องการแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคาเอดะเพื่อให้เขาเข้าใจตระกูลฟูมะและตระกูลนินจาอิงะได้มากยิ่งขึ้นเพราะด้วยเหตุผลนี้เขาจะสามารถสร้างแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุดได้นั่นเอง
หลังจากหยุดไปชั่วขณะคาเอดะก็บัตรเชิญจากกระเป๋าเสื้อของเขาแล้วยื่นให้เย่เชียนพร้อมกับพูดว่า “คุณเย่..นี่คือการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ป้องกันทั่วโลกที่จัดโดยตระกูลอิงะของเรา..ถ้าหากคุณเย่สนใจคุณก็มาชมมันได้”
ด้านนอกของบัตรเชิญหุ้มด้วยทองคำซึ่งมีลักษณะเป็นสีทองและด้านในเป็นพลาสติกแข็งสีแดงพร้อมวันที่และที่ขีดเขียนด้วยพู่กันและดูเหมือนว่ามันจะถูกเขียนโดยยอดฝีมือที่มีชื่อเสียง ซึ่งนี่คือบัตรเชิญVIPสำหรับบุคคลสำคัญที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตระกูลอิงะเท่านั้น อันที่จริงแล้วที่คาเอดะมาในวันนี้ก็เพื่อชวนซ่งหลันแต่เมื่อเขาพบเย่เชียนถึงจะเป็นครั้งแรกและอาจเรียกได้ว่าเป็นศัตรูกันก็ตามแต่เย่เชียนก็เป็นถึงประธานของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปและจำเป็นต้องร่วมมือกับตระกูลฟูมะของเขาในหลายๆด้าน ดังนั้นคาเอดะจึงจำเป็นต้องส่งคำเชิญนี้และยิ่งไปกว่านั้นนี่คือต่อหน้าซ่งหลันเขาจึงไม่อยากเสียภาพลักษณ์ของเขาไป
“ขอบคุณครับ” เย่เชียนยื่นมือไปรับบัตรเชิญแล้วมองดูจากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “การแข่งขันศิลปะการต่อสู้หรอ..คงพลาดไม่ได้ซะแล้ว”
เวลาที่เขียนเอาไว้ในบัตรเชิญคือวันที่ 11 พฤศจิกายนซึ่งเหลือเวลาอีกกว่าครึ่งเดือนนับจากนี้ ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้สนใจการแข่งขันอย่างเป็นทางการแบบนี้มากนักแต่เขานึกถึงวันที่เขาไปต่อสู้ในเวทีใต้ดินดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันคงมีอะไรดีๆให้ชมบ้าง อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็มีความชัดเจนมากเกี่ยวกับรูปแบบการทำงานของการแข่งขันเหล่านี้เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงวิธีการฟอกเงินที่จัดขึ้นโดยองค์กรใต้ดินต่างๆและถึงแม้ว่าตระกูลฟูมะจะมีองค์กรใต้ดินเหมือนกับตระกูลอิงะก็ตามแต่เย่เชียนก็เชื่อว่าตระกูลฟูมะเองคงจะต้องได้รับคำสั่งมาจากตระกูลอิงะเป็นแน่
อย่างไรก็ตามต้องบอกเลยว่าถึงแม้ว่าการแข่งขันประเภทนี้จะมีรสนิยมอย่างมากแต่ก็มักจะเป็นเพราะความภาคภูมิใจของผู้เข้าแข่งขันที่มักจะมีเรื่องราวที่กระตุ้นอารมณ์ของผู้ชมและด้วยการแข่งขันที่เป็นทางการแบบนี้กองกำลังใต้ดินก็จัดการพนันใต้ดิน ซึ่งจะมีผลกำไรมหาศาลที่ไม่สามารถประเมินได้
โดยเฉพาะการแข่งขันศิลปะป้องกันตัวระดับโลกแบบนี้มันจะดึงดูดผู้เข้าแข่งขันศิลปะการต่อสู้ด้วยรางวัลใหญ่ๆและค่าลงทะเบียนเพียงอย่างเดียวก็คือรายได้อยู่แล้วในขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับค่าธรรมเนียมตำแหน่งโฆษณาต่างๆและค่าธรรมเนียมการออกอากาศผ่านดาวเทียมผ่านสื่อสำหรับการออกอากาศพร้อมกันทั่วโลก ซึ่งเงินเหล่านี้เป็นจำนวนมากและกำไรในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนนอกจะเข้าใจได้เลย
เมื่อเทียบกับทวีปตะวันออกและตะวันตกแล้วที่นั่นก็มีการแข่งขันชกมวยแบบนี้แทบจะทุกวันและเย่เชียนก็เคยได้ดูการแข่งขันแบบนี้มาหลายครั้งดังนั้นเขาจึงรู้ความจริงเนื่องจากการมีส่วนร่วมขององค์กรใต้ดินดังนั้นการแข่งขันจึงไม่ยุติธรรมและแชมป์เบื้องหลังจะถูกควบคุมโดยผู้จัดและจุดประสงค์คือการทำกำไรมหาศาล ดั่งที่เศรษฐีกล่าวเอาไว้ว่าหากนายทุนสามารถทำกำไรได้ถึง 200% พวกเขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อเหยียบย่ำกฎทั้งหมดของโลก
สิ่งที่ทำให้เย่เชียนสนใจมากก็คือนี่คือการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกซึ่งมันจะดึงดูดผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้จากทั่วทุกมุมโลกให้เข้าร่วมอย่างแน่นอนและแม้แต่ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณเหล่านั้นก็ต้องมี ดังนั้นในช่วงเริ่มต้นของการแข่งนั้นผู้เล่นที่อาจเข้าร่วมอาจจะหวังเงินรางวัลก้อนโตแต่เมื่อการแข่งขันดำเนินไปถึงจุดหนึ่งมันก็ไม่ง่ายอย่างนั้นเพราะทุกประเทศและคนก็จะทำให้การแข่งขันนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นเพื่อความภาคภูมิใจและคำเยินยอนั่นเอง
เย่เชียนผู้ซึ่งไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับอิทธิพลด้านมืดของประเทศญี่ปุ่นมากนักเขาจึงหวังที่จะใช้การแข่งขันนี้เพื่อดูการกระจายอำนาจของประเทศญี่ปุ่นและข้อมูลของตระกูลต่างๆ ซึ่งเย่เชียนก็รู้สึกว่าสิ่งต่างๆในประเทศญี่ปุ่นเริ่มน่าสนใจและท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ
เย่เชียนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “มันคงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่จะได้เห็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อมากมาย..ต้องขอบคุณคุณคาเอดะจริงๆสำหรับน้ำใจของคุณ”
“ตอนนี้มันยังอยู่ในขั้นตอนการเปิดลงทะเบียน..ผมได้ยินมานานแล้วว่าประเทศจีนมีปรมาจารย์ด้านการต่อสู้มากมายเพราะงั้นถ้าคุณเย่รู้จักก็แนะนำให้มาลงแข่งขันได้เลยเพื่อให้ยอดฝีมือศิลปะการป้องกันตัวในประเทศญี่ปุ่นได้แข่งขันกับปรมาจารย์ของประเทศจีน” คาเอดะพูด
“คุณคาเอดะก็พูดไป..ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนจีนแต่ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปต่างประเทศและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศจีนเลย..ผมรู้จักคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นนับประสาอะไรกับปรมาจารย์..ผมไม่รู้เลยว่าคุณคาเอดะเคยได้ยินเรื่องตำนานนี้หรือเปล่า?” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ
“เรื่องอะไรหรอครับ..คุณเย่ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย” คาเอดะพูด
“ตามตำนานเล่าว่ามีเสือตัวหนึ่งที่ไร้ประโยชน์และขี้เกียจทั้งวันและไม่มีความสามารถอะไรเลย..เพราะมันมักจะกินและนอนอยู่เสมอและมันแทบจะเอาตัวไม่รอดแต่ต่อมาเมื่อเสือตัวนั้นหิวโหยมันก็เดินออกล่าหาอาหารและมันก็ไปเจอแมวตัวหนึ่งและมันก็ไล่ล่าแมวตัวนั้นแต่ต่อมาเสือก็ได้เรียนรู้บางสิ่งและตระหนักว่าก่อนหน้านี้มันคิดว่าตนเป็นที่หนึ่งในโลกมันจึงอยากกินแมว..แต่ทว่าสิ่งที่มันคาดไม่ถึงก็คือแมวได้ปืนหนีขึ้นต้นไม้ไปและจึงทำให้มันหมดหนทางและต้องล้มเลิกแผนนี้ไปในที่สุด” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มราวกับว่าเขากำลังเล่าเรื่องนิทานสำหรับเด็กแต่มันก็ได้อารมณ์มาก
ซึ่งหลินเฟิงและซ่งหลันนั้นสามารถเข้าใจความหมายของเรื่องนี้โดยธรรมชาติและทั้งคู่ยิ้มอ่อนๆและไม่ได้พูดอะไรแต่พวกเขาก็คิดว่าเย่เชียนนั้นเชี่ยวชาญในการพูดส่อเสียดมากเพราะนี่คือความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของเย่เชียน
คาเอดะก็ขมวดคิ้วซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจความหมายของคำพูดของเย่เชียนด้วยเพราะความหมายของเย่เชียนนั้นชัดเจนมากและความหมายนั้นคือศิลปะการต่อสู้ของประเทศญี่ปุ่นไม่ได้เป็นที่หนึ่งของโลกแต่กลับพยายามที่จะก้าวข้ามประเทศจีนและผลที่ได้ก็คือความไร้ประโยชน์โดยเสียเวลาเปล่าเท่านั้น เมื่อคิดเช่นนั้นคาเอดะก็พูดด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาว่า “แต่แมวก็ต้องจนตรอกด้วยฝีมือของมนุษย์ในสักวันหนึ่งและเชื่อฟังคำสั่งของมนุษย์.แต่เสือนั้นจะกลายเป็นราชาแห่งผืนป่าและเหนือกว่าสัตว์อื่นๆทั้งปวง”
“มีสำนวนในประเทศจีนว่าเสือต้องตายบนภูเขาและแม่ทัพจะต้องตายก่อนสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มอย่างไม่แยแส
“จะเป็นแมวหรือเสือมันก็ไม่สำคัญหรอกเพราะถึงยังไงมันก็ต้องตายอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?” คาเอดะพูด
แน่นอนว่าคาเอดะจงใจยั่วโมโหเย่เชียนโดยการเยาะเย้ยว่าศิลปะการต่อสู้ของประเทศจีนนั้นไม่ดีเท่าของประเทศญี่ปุ่น เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็หัวเราะแล้วพูดว่า “คุณคาเอดะรู้วัฒนธรรมของจีนด้วยเหรอ” เย่เชียนจงใจเปลี่ยนหัวข้อแต่ไม่ใช่ว่าเย่เชียนไม่ต้องการโต้เถียงกับคาเอดะแต่เย่เชียนรู้สึกว่าการโต้เถียงเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ต่อไปนั้นไร้ความหมายและเสียเวลาไปเปล่าๆ เพราะคนจีนฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่แค่กังฟูแต่เน้นที่การนำไปใช้ต่อสู้จริงเสียมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนยังเข้าใจถึงการแหกกฎของเหล่าปรมาจารย์ในประเทศจีนและพวกเขาก็ไม่คิดที่จะมาเข้าร่วมการแข่งขันดังกล่าวอีกด้วย
เย่เชียนก็ยกแขนขึ้นเพื่อตรวจสอบเวลาบนนาฬิกาข้อมือของเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มันจะเที่ยงแล้วที่รักเราไปกินข้าวกลางวันด้วยกันเถอะ” จากนั้นเขาก็หันไปมองคาเอดะแล้วพูดว่า “คุณคาเอดะถ้าคุณไม่รังเกียจก็มากินข้าวด้วยกันสิ”
.
.
.
.
.
.
.