ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 630 สงครามกลางร้านอาหาร ตอนที่ 1
ตอนที่ 630 สงครามกลางร้านอาหาร ตอนที่ 1
การแสดงออกของคาเอดะนั้นเย่เชียนสามารถเห็นได้ชัดเจนในสายตาของเขาแต่เขาไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรเพราะเย่เชียนไม่ใช่พระเจ้าดังนั้นเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องนี้มีจุดพลิกผันมากมาย? อย่างไรก็ตามการต่อสู้ที่คาเอดะแสดงออกมานั้นก็ทำให้เย่เชียนประหลาดใจเพราะทุกการเคลื่อนไหวนั้นยุ่งยากและรุนแรงมากและสามารถเห็นได้ว่าคาเอดะนั้นยั้งมือเอาไว้ไม่เช่นนั้นเกรงว่าชายหนุ่มชุดดำทั้งสี่คนคงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงต้องการทำเช่นนี้
“คุณคาเอดะดูเหมือนว่าคุณจะมีศัตรูเยอะมากเลยนะ..คุณทำให้คนอื่นขุ่นเคืองถึงขนาดต้องมาแก้แค้นแบบนี้เลยหรอ!” เย่เชียนพูด
แน่นอนว่าคาเอดะนั้นได้ทำให้หลายๆคนขุ่นเคืองและโกรธเคืองอย่างมากแต่ทว่าก็มีคนไม่มากนักที่กล้าลอบสังหารเขาอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งเดิมทีคาเอดะสั่งให้คนของเขาลงมือที่นี่เพื่อสร้างสถานการณ์และประการที่สองเพื่อทดสอบทักษะและตัวตนของเย่เชียนว่าเขาเป็นคนอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วเขากลับตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่คาดไม่ถึงจนต้องกัดฟันอย่างขมขื่นเมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของเย่เชียนเช่นนี้
ในตอนนี้คาเอดะก็สงสัยอย่างมากว่าใครส่งคนเหล่านี้มา? ซึ่งเมื่อดูจากฝีมือของคนเหล่านี้แล้วเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นนินจาทั้งหมดและตระกูลนินจาที่มีชื่อเสียงที่สุดสามตระกูลในประเทศญี่ปุ่นนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตระกูลนินจาดันโซและตระกูลนินจาฟูมะและตระกูลนินจาฮัตโตริ และแต่ละตระกูลต่างก็มีนินจาชั้นสูงทั้งนั้นเพราะฉะนั้นอาจเป็นตระกูลไหนก็ได้ที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ ซึ่งคาเอดะก็เดาไม่ออกจริงๆว่าใครเป็นคนทำและวิธีเดียวที่จะรู้ได้นั่นคือการจับตัวคนเหล่านี้ทั้งเป็นแล้วเค้นข้อมูลจากพวกเขาอย่างระมัดระวัง
หากนินจาทั้งสี่นี้สามารถกำจัดคาเอดะได้ล่ะก็แน่นอนว่าเย่เชียนจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันแล้วเห็นได้ชัดว่านินจาทั้งสี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคาเอดะเลยและนั่นเป็นเหตุผลที่เย่เชียนพูดคำเหล่านั้นออกมาซึ่งไปดึงดูดความสนใจของนินจาทั้งสี่เพราะในความคิดของเย่เชียนนั้นถ้าหากนินจาเหล่านี้กำจัดคาเอดะดังนั้นทำไมถึงไม่ทำให้นินจาเหล่านี้เป็นหนี้บุญคุณตัวเองไปเสียเลยล่ะ?
แน่นอนว่าเมื่อคำพูดของเย่เชียนหลุดออกไปนินจาคนหนึ่งก็พุ่งเข้าไปโจมตีเย่เชียน เพราะการพูดเช่นนี้นั่นก็หมายความว่าเย่เชียนถูกมองว่าเป็นคนของคาเอดะและจะใช้เย่เชียนเพื่อทำให้คาเอดะเสียเปรียบ ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนี้เย่เชียนก็ตื่นเต้นมากเพราะมันยังมีคนที่กล้าลอบสังหารคาเอดะเช่นนี้และนั่นก็หมายความว่าตระกูลนินจาอิงะผู้ยิ่งใหญ่เองก็มีศัตรูเช่นกัน ดังนั้นหากเย่เชียนต้องการทำลายตระกูลอิงะล่ะก็ทำไมถึงไม่ลองใช้วิธีนี้ดูล่ะ เมื่อคิดเช่นนั้นเย่เชียนจึงจงใจล่อให้นินจาเหล่านั้นโจมตีมาที่เขาและจุดประสงค์ก็คือใช้โอกาสนี้เพื่อปล่อยให้พวกเขาหนีไปจากเงื้อมมือของคาเอดะ
เมื่อเห็นนินจาคนหนึ่งพุ่งมาหาเขาเย่เชียนก็ไม่ได้ทำอะไรเลยเขาเพียงแค่มองไปทางหลินเฟิงและอู๋หวนเฟิงเพราะทั้งสองคนนี้ยังเล่นบทเป็นบอดี้การ์ดอยู่และเรื่องต่างๆก็ดำเนินมาถึงเช่นนี้ดังนั้นเย่เชียนจึงจะปล่อยให้พวกเขาจัดการอย่างเหมาะสมโดยธรรมชาติ
เย่เชียนก็ขยิบตาให้อู๋หวนเฟิงและหลินเฟิงซึ่งพวกเขาทั้งสองก็เข้าใจความหมายสิ่งที่เย่เชียนจะสื่อได้พวกเขาจึงพยักหน้าเบาๆและเมื่อเห็นว่านินจากำลังพุ่งมาที่เย่เชียนพร้อมกับดาบสั้นของเขาแล้วอู๋หวนเฟิงจึงคว้าตะเกียบไม้ไผ่บนโต๊ะแล้วขว้างออกไปจนเจาะเข้าไปที่ข้อมือของนินจาคนหนึ่งอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งภายใต้ความเจ็บปวดดาบสั้นในมือของนินจาคนนั้นก็หลุดไป อย่างไรก็ตามนินจาคนนั้นก็ยังคงโจมตีอย่างหมดหนทางราวกับว่าเขาไม่กลัวความตาย
อู๋หวนเฟิงก็หันกลับมาและคว้าข้อมือของฝ่ายตรงข้ามแล้วเหวี่ยงนินจาในชุดสูทสีดำคนนั้นออกไปกระแทกกับกระจกแล้วทะลุออกไปข้างนอกจนกระจกแตกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งเหตุผลที่อู๋หวนเฟิงทำเช่นนี้ก็เพื่อหวังว่านินจาคนนี้จะใช้โอกาสนี้หนีไปได้แต่เห็นได้ชัดว่านินจาคนนั้นไม่มีความคิดแบบนั้นเลยเพราะหลังจากที่เขาพยายามลุกขึ้นเขาก็พุ่งเข้าไปโจมอู๋หวนเฟิงทันที
ซึ่งอู๋หวนเฟิงก็หันไปมองเย่เชียนเพราะเขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยักไหล่เบาๆและเบะปาก ซึ่งความหมายก็ชัดเจนอยู่แล้วว่านั่นคือเขาไม่สามารถทำอะไรได้และให้อู๋หวนเฟิงจัดการเอง เนื่องจากนินจาคนนี้โง่เขลาและแสวงหาความตายของตัวเองขนาดนี้ดังนั้นอู๋หวนเฟิงจึงไม่จำเป็นต้องแสดงความเมตตาอีกต่อไปและในเวลานี้เมื่อมือของอู๋หวนเฟิงขยับจู่ๆก็มีแสงสีขาวก็ตัดผ่านอากาศพร้อมกับมีดบินที่พุ่งเข้าไปใส่คอของนินจาคนนั้นอย่างแม่นยำ
อู๋หวนเฟิงนั้นคือเซียวหลี่ในชีวิตจริงเช่นเดียวกับที่หลินเฟิงพูดเอาไว้ว่าทักษะการขว้างมีดบินของอู๋หวนเฟิงนั้นถือว่ายอดเยี่ยมยิ่งกว่าในละครหรือภาพยนต์อย่างยิ่งและถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เกินจริงเท่ามีดบินของเซียวหลี่ก็ตามแต่ทักษะของมีดบินของอู๋หวนเฟิงนั้นก็ไม่สามารถประเมินหรือนำไปเปรียบเทียบกับอะไรได้เลยจนหลินเฟิงเองก็รู้สึกประหลาดใจและมองไปที่อู๋หวนเฟิงทันทีเพราะถึงแม้ว่าอู๋หวนเฟิงจะมีแขนเพียงข้างเดียวแต่เขากลับเก่งกว่าคนปกติอย่างมาก ซึ่งหลินเฟิงก็รู้สึกยินดีและชื่นชมเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นทักษะมีดบินของอู๋หวนเฟิงกับตาจนเขาคิดว่าฉายาหมาป่าเหินเวหานั้นช่างเหมาะกับอู๋หวนเฟิงจริงๆเพราะมีดบินของอู๋หวนเฟิงนั้นดูเหมือนว่ามันจะสามารถบินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและเหินเวหาไปมาได้อย่างอิสระ
เมื่อเห็นว่าอู๋หวนเฟิงจัดการนินจาไปหนึ่งคนดังนั้นคาเอดะจึงไม่จำเป็นที่จะต้องยั้งมืออีกต่อไป ซึ่งเย่เชียนที่เฝ้าดูอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบประหลาดใจเพราะในแง่ของความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวของคาเอดะเพียงอย่างเดียวแน่นอนว่าเย่เชียนจะไม่กลัวเขา แต่เป็นเพราะการที่คาเอดะเป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลที่มีประวัติศาสตร์เกือบพันปีเพราะงั้นแน่นอนว่าพลังของคาเอดะก็ไม่ควรมองข้าม แต่ถึงยังไงสิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เย่เชียนเกรงกลัวเพราะมันเป็นเพียงการวัดระดับการเคลื่อนไหวและความแข็งแกร่งเพราะงั้นเย่เชียนจึงไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร แต่ถ้าหากคาเอดะปลดปล่อยพลังบางอย่างออกมาจริงๆล่ะก็เย่เชียนก็คงจะต้องลำบากอย่างมาก
อย่างไรก็ตามในการดวลกันระหว่างสองยอดฝีมือนั้นก็ไม่จำเป็นที่คนที่แข็งแกร่งกว่าจะชนะเสมอไปเพราะมันมีอยู่ตั้งหลายวิธีที่คนแข็งแกร่งจะถูกโค่นล้มได้ด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนั้นถ้าหากเย่เชียนกับคาเอดะนั้นต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายล่ะก็มันก็ยังไม่ชัดเจนว่าใครจะแพ้และใครจะชนะ ซึ่งเย่เชียนนั้นมีพลังบางอย่างอยู่ในตัวของเขาดังนั้นใครจะรู้ได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาในอนาคต? ซึ่งเย่เชียนสามารถยกระดับการฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณของเขาไปสู่ระดับสูงและบรรลุได้ภายในหนึ่งปีซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
ในเวลานี้เหล่าบรรดาแขกในร้านอาหารก็ได้วิ่งหนีกันไปในทุกทิศทุกทางเพราะเมื่อพวกเขาเห็นว่ามีกลุ่มชายหนุ่มชุดดำสี่วิ่งกรูเข้ามาในร้านอาหารพร้อมกับกวัดแกว่งอาวุธไปทั่วเช่นนี้พวกเขาจึงตกใจเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตามความอยากรู้อยากเห็นของชาวจีนสูงเสมอเพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ต่างประเทศก็ตามแต่พวกเขาก็ยังล้อมวงมุงดูสิ่งต่างๆอยู่ที่ด้านนอกของร้านอาหารด้วยความกลัวและตกตะลึง ส่วนสำหรับพนักงานในร้านอาหารนั้นพวกเขาทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ข้างหลังของครัวและมองดูสถานการณ์เป็นครั้งคราว
เมื่อเวลาผ่านไปสักพักพวกเขากลับลืมความกลัวราวกับว่าพวกเขากำลังดูภาพยนตร์จอมยุทธเพราะดาบที่ควงไปควงมานั้นดูเหมือนจะทำให้พวกเขาเข้าไปสู่ยุคโบราณของจอมยุทธอย่างไงอย่างงั้น
ดวงตาของคาเอดะก็หรี่ลงและแขนของเขาก็ตวัดไปพร้อมกับนิ้วทั้งห้าของเขาที่เหมือนกรงเล็บและคว้าตัวชายหนุ่มนินจาคนหนึ่งอย่างรวดเร็วและแม่นยำและบีบคอของเขาอย่างแรงจนเกิดเสียงกระดูกหักและคอของนินจาคนนั้นก็เอียงไปข้างหนึ่งแล้วทรุดลงกับพื้น
ในขณะที่สถานการณ์ชุลมุนกันอยู่หลินเฟิงก็ได้แอบไปค้นตัวนินจาคนที่อู๋หวนเฟิงฆ่าแล้วเพราะเขาเห็นดวงตาก่อนหน้านี้ของเย่เชียนและเข้าใจความหมายของเย่เชียนได้ทันทีเพราะเย่เชียนต้องการที่จะรู้ว่ามันมีเบาะแสใดหรือรายละเอียดใดๆจากตัวนินจาคนนั้นหรือไม่
ในความเป็นจริงนั้นตระกูลนินจาแต่ละตระกูลจะมีเครื่องหมายเฉพาะของตนเองซึ่งเหมือนกับธงและสัญลักษณ์ของทหารรับจ้างซึ่งจะแสดงเอกลักษณ์และตัวตนของพวกเขา ซึ่งเมื่อหลินเฟิงเห็นเครื่องหมายที่ตัวของนินจาคนที่ถูกอู๋หวนเฟิงฆ่าแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงจากนั้นก็พยักหน้าให้เย่เชียนและลุกขึ้นยืนข้างๆ จากเหตุการณ์นี้เห็นได้ชัดว่าหลินเฟิงนั้นรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ดังกล่าวแต่มันไม่ใช่เวลาที่จะพูดออกมาได้
คาเอดะนั้นเป็นคนพื้นเมืองของประเทศญี่ปุ่นและเป็นสมาชิกของตระกูลนินจาดังนั้นแน่นอนว่าเขาต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับนินจามากกว่าหลินเฟิง ดังนั้นหลังจากกำจัดนินจาคนสุดท้ายได้แล้วคาเอดะก็นั่งยองๆเพื่อดูว่ามันมีสัญลักษณ์หรือตราอะไรที่ตัวของนินจาหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าคาเอดะเห็นมันได้อย่างชัดเจนจนคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นอย่างช่วยไม่ได้และมีร่องรอยของความเศร้าโศกปรากฏอยู่ในดวงตาของเขาแต่ทว่ามันก็หายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นคาเอดะก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองเย่เชียนกับซ่งหลันแล้วพูดว่า “ผมต้องขอโทษด้วย..ผมไม่คิดเลยว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้น”
“ไม่เป็นไรครับ..ว่าแต่คุณคาเอดะคุณมีศัตรูและคู่อริที่น่ากลัวมากเลยนะ..เฮ้อ..การรักษาความปลอดภัยของประเทศญี่ปุ่นนี่แย่มาก..ดูสิแม้แต่ในเวลากลางวันแสกๆยังมีคนที่กล้าฆ่าคนในร้านอาหารอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ด้วย” เย่เชียนแสร้งพูดด้วยความกลัวว่า “ผมควรจะทำยังไงดี..มีคนตายแบบนี้ตำรวจคงจะมาเร็วๆนี้ใช่มั้ย?”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง..คุณเย่..คุณซ่ง..คุณกลับไปก่อนนะครับ” คาเอดะพูด ตระกูลนินจาอิงะนั้นทรงพลังมากในประเทศญี่ปุ่นแต่ทว่าการฆ่าใครสักคนมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะไม่จำเป็นต้องกังวลว่าตำรวจจะจับเขาก็ตามแต่การป้องกันตัวของคาเอดะนั้นถือว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากพูดจบคาเอดะก็หยิบโทรศัพท์มือถือและโทรออก ซึ่งคาเอดะก็บอกให้มือขวาส่งคนของตนมาที่ร้านอาหารแห่งนี้โดยตรง ซึ่งเมื่อมือขวาของคาเอดะได้ยินน้ำเสียงของคาเอดะแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นสะท้านและคิดว่าคนเหล่านั้นทำเรื่องอะไรไม่ดีลงไปหรือเปล่า อย่างไรก็ตามมือขวาคนนี้ก็ไม่กล้าถามเพราะหลังจากวางสายไปเขาก็รีบขับรถไปที่ร้านอาหารทันที
ขณะที่คาเอดะเก็บโทรศัพท์มือถือไปทันใดนั้นก็มีคนหนุ่มสาวห้าคนรีบวิ่งเข้ามาจากประตูและเมื่อพวกเขาเห็นคาเอดะแล้วพวกเขาก็รีบวิ่งมาหาคาเอดะพร้อมกับเหนื่อยหอบอย่างมาก ซึ่งเมื่อคาเอดะหันกลับมาและเห็นคนเหล่านี้แล้วคาเอดะก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆไป่เพราะถ้าเขาเดาไม่ผิดคนเหล่านี้ต้องเป็นกลุ่มคนที่มือขวาของเขาจัดเตรียมเอาไว้ให้เพื่อมาทดสอบเย่เชียน อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้ก็เกินความคาดหมายของเขาและมันก็สายไปเสียแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ซึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งต้องการเอาใจคาเอดะเพราะเขาคิดว่าตราบใดที่เรื่องนี้ดำเนินไปได้ด้วยดีล่ะก็สิ่งต่างๆก็อาจจะถูกใจคาเอดะจนให้รางวัลเขา ดังนั้นเขาจึงสวมบทนักแสดงระดับรางวัลออสการ์เพื่อให้คาเอดะชื่นชม
.
.
.
.
.
.
.