ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 634 เตรียมแผน
ตอนที่ 634 เตรียมแผน
หากพวกเขาอยู่ในแวดวงนี้และถ้าหากพวกเขากลัวทุกอย่างถ้างั้นพวกเขาจะสำเร็จได้อย่างไร? ดังนั้นถึงแม้ว่าสิ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้าของเย่เชียนจะเต็มไปด้วยขวากหนามอันแหลมคมก็ตามแต่เย่เชียนก็เต็มใจที่จะข้ามผ่านขวากหนามนั้นและก้าวไปข้างหน้าและถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าด้านหน้าเป็นหน้าผาแต่เขาก็ต้องเดินต่อไปอย่างกล้าหาญ
ด้วยจิตวิญญาณในการผ่านสงครามและความตายมามากมายนั้นแน่นอนว่าสมาชิกเขี้ยวหมาป่าทุกคนสามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่ขัดขันและยากลำบากต่างๆได้ แต่นี่ไม่ใช่แค่อาศัยความกล้าหาญของทุกคนเท่านั้นแต่มันจำเป็นต้องใช้การคำนวณที่แม่นยำและแผนการอย่างละเอียด ซึ่งในตอนนี้เย่เชียนได้แยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างกองกำลังหลักๆในประเทศญี่ปุ่นได้คร่าวๆแล้ว
แก๊งยามากุจิ,แก๊งอินาดะและแก๊งโยชิคาว่านั้นเป็นเครือข่ายของสมาคมมังกรดำรวมไปถึงองค์กรทหารรับจ้างเรดซันและสำนักนินจาอิงะอีกด้วย แถมยังมีเครือข่ายความสัมพันธ์ขนาดใหญ่ในรัฐบาลกลางและกองทัพอีก ซึ่งในบรรดากลุ่มเหล่านี้กลุ่มที่รับมือได้ยากที่สุดคือสำนักนินจาอิงะเพราะท้ายที่สุดนี่คือกลุ่มที่มีตัวตนมาเกือบพันปีและพวกเขาก็ได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้โบราณจากประเทศจีนดังนั้นแน่นอนว่าประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกเขาจะต้องทรงพลังมากอย่างยิ่ง
ซึ่งฝ่ายตรงข้ามของสมาคมมังกรดำนั้นจะต้องเป็นคนจากพรรคการเมืองอื่นๆของประเทศญี่ปุ่น เพื่อที่จะรักษาเสถียรภาพของอำนาจของสำนักนินจาเอาไว้ดังนั้นตระกูลอิงะจึงไม่สามารถใช้พลังของสมาคมมังกรดำในเวทีการเมืองได้เพราะท้ายที่สุดทุกหนทุกแห่งใบโลกใบนี้ต่างก็มีมังกรซ่อนเขี้ยวที่หลับใหลอยู่กันทั้งนั้น ซึ่งอาจทำให้สมาคมมังกรดำที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานต้องถูกทำลายลงก็เป็นได้ ดังนั้นหากเย่เชียนต้องการทำลายตระกูลอิงะล่ะก็วิธีที่ดีที่สุดก็คือการพึ่งพาพลังของตระกูลฟูมะและตระกูลนินจาอื่นๆ
ภายใต้ตระกูลนินจาอิงะอันยิ่งใหญ่นั้นมันก็เต็มไปด้วยความขัดแย้งต่างๆทั้งการที่ตระกูลฮัตโตริที่พ่ายแพ้ไปต้องการทวงคืนตำแหน่งผู้นำของตระกูลนินจาและความขับข้องใจของตระกูลดันโซที่ขุ่นเคืองมานานอีก ดังนั้นอาจพูดได้ว่าคาเอดะกับเย่เชียนนั้นถูกกำหนดให้เป็นศัตรูกันตั้งแต่แรกแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญคือไม่มีใครรับประกันได้ว่าคาเอดะจะเลือกที่จะเชื่อเย่เชียนหรือไม่ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเย่เชียนจึงต้องใช้ความระมัดระวังและเพิ่มข้อต่อรองให้กับตัวเองมากขึ้นควบคู่ไปกับการเจรจากับตระกูลฮัตโตริ
เกี่ยวกับความคิดของเย่เชียนนั้นซ่งหลันก็รู้เช่นกันดังนั้นเธอจึงกังวลเพราะท้ายที่สุดแล้วตระกูลนินจาอิงะก็ล้วนเป็นยอดนักสู้ เพราะงั้นถ้าหากเย่เชียนเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ภายในของเหล่านินจาล่ะเย่เชียนก็มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบอย่างมาก ซึ่งถ้าเป็นแค่แก๊งยากูซ่าอย่างแก๊งยามากุจิล่ะก็ซ่งหลันก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรมากเพราะตระกูลนินจาอิงะนั้นทรงพลังกว่าแก๊งยามากุจิมาก ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลามากกว่าหนึ่งปีซ่งหลันก็ได้รู้ถึงความแข็งแกร่งของตระกูลนินจาอิงะและไม่ใช่สิ่งที่เย่เชียนหรือแม้แต่เขี้ยวหมาป่าจะมองข้ามได้เลย
พูดได้ว่าในโลกใบนี้คนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้อาศัยพลังของตนเพียงผู้เดียวเพราะต่อให้เก่งแค่ไหนแต่ถ้าเขาตัวคนเดียวถึงยังไงมันก็ไม่สามารถคงกระพันได้อยู่ดีและนี่คือจุดอ่อนของธรรมชาติมนุษย์ ถ้าจะบรรลุเป้าหมายโดยไม่หลั่งเลือดมันก็เป็นไปไม่ได้และถ้าหากจะทำลายกองทหารนับพันได้โดยไม่ต้องใช้ทหารแม้แต่คนเดียวมันก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เช่นเดียวกับที่ขงเบ้งวางผังเมืองที่ว่างเปล่าเอาไว้เพื่อทำให้สุมาอี้หวาดกลัว ดังนั้นการทำศึกสงครามที่ดีไม่ใช่แค่ต้องพึ่งความแข็งแกร่งเท่านั้นแต่มันต้องใช้สติปัญญาอีกด้วย
“ถ้านายอยากจะไปก็ไปเถอะแต่นายต้องพาหวนเฟิงไปด้วย..เพราะถ้ามีหวนเฟิงอีกคนฉันก็จะสบายใจมากขึ้น” ซ่งหลันพูดอย่างหนักแน่นเพราะเธอรู้ดีว่าถึงแม้ว่าทักษะการต่อสู้ของอู๋หวนเฟิงนั้นจะไม่ยอดเยี่ยมเท่าเย่เชียนแต่ในแง่ของความภักดีและการอุทิศตนอย่างจริงใจของอู๋หวนเฟิงนั้นไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องแม้แต่ปลายผมของเย่เชียนเว้นแต่เขาจะตายไปเสียก่อน ครั้งหนึ่งอู๋หวนเฟิงได้บุกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์อย่าไม่ลังเลเพื่อไปนำมีดคลื่นโลหิตหมาป่าออกมาให้เย่เชียนและต้องเสียแขนไปข้างหนึ่งเพื่อเย่เชียนและนี่คืออารมณ์ความรู้สึกระหว่างลูกผู้ชายและบางครั้งคำว่ามิตรภาพมันก็ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เลย
ส่วนหลินเฟิงก็ไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้านใดๆและเขาก็ยังเห็นด้วยกับคำแนะนำของซ่งหลันอีกด้วย ซึ่งไม่ใช่ว่าเขากลัวการเข้าไปเสี่ยงชีวิตหรืออะไรแต่เขาชื่นชมชายเลือดเหล็กที่มีแขนเพียงข้างเดียวแต่กลับมีทักษะการขว้างมีดบินที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเวลาสั้นๆแต่หลินเฟิงก็ตระหนักได้ว่าทักษะมีดบินของอู๋หวนเฟิงหาได้ยากมากในโลกใบนี้ ซึ่งทักษะแบบนี้ขนาดเขาเองยังทำไม่ได้ ดังนั้นถ้าหากเขาได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอู๋หวนเฟิงสักครั้งเขาก็อาจจะสามารถเข้าใจทักษะมีดบินได้มากขึ้นกว่าเดิม
ส่วนอู๋หวนเฟิงก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆเพราะตราบใดที่เย่เชียนหรือซ่งหลันพูดเขาก็ยินดีที่จะยอมรับมันและแน่นอนว่าเย่เชียนกับซ่งหลันจะไม่ปล่อยให้เขาไปทำในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลใดๆ
เย่เชียนนั้นไม่ได้คิดเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างตระกูลนินจาแต่เขาแค่ต้องการหาพรรคพวกเพิ่มเพราะท้ายที่สุดพวกเขาก็มีศัตรูร่วมกันและนั่นก็คือสมาคมมังกรดำ อย่างไรก็ตามเนื่องจากซ่งหลันได้พูดเพื่อจุดประสงค์นี้ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ปฏิเสธ ไม่เช่นนั้นมันจะมีแต่ความกังวล เมื่อคิดเช่นนั้นเย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “หวนเฟิง..งานนี้นายคนต้องเหนื่อยหน่อยนะ”
“ได้ครับบอส!” อู๋หวนเฟิงก็พยักหน้าแล้วตอบและไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็ถามต่อไปว่า “พี่หลัน..คือพี่หลินบอกผมว่ามันมีองค์กรนักฆ่าลึกลับอยู่ในญี่ปุ่น” แต่ก่อนที่เย่เชียนจะพูดจบซ่งหลันก็พูดขัดจังหวะเขาว่า “นายหมายถึงองค์ชาโด้กรซากุระ?”
“ใช่ๆ..ชาโด้ซากุระ..พวกนั้นคืออะไรพี่มีข้อมูลไหม” เย่เชียนพูด
“ในบรรดาองค์กรนักฆ่าของญี่ปุ่นนั้นนอกจากองค์กรดาร์คลิลลี่แล้วก็ยังมีชาโด้ซากุระที่ลึกลับพอๆกัน..ว่ากันว่าสมาชิกทั้งหมดก็เป็นผู้หญิงและมีแต่คนหน้าตาสวยๆหุ่นดีๆ..ซึ่งสมาชิกแต่ละคนนั้นเข้าองค์กรตั้งแต่เด็กๆแล้วผ่านการฝึกที่โหดเหี้ยมที่สุดและไม่เพียงแต่สอนทักษะการฆ่าและรวบรวมสติปัญญาทุกรูปแบบเท่านั้นแต่ยังสอนทักษะการโปรยเสน่ห์ทุกรูปแบบ..ซึ่งองค์กรนักฆ่าองค์กรนี้รับมือได้ยากกว่าองค์กรนักฆ่าอื่นๆมากเพราะพวกเธอเป็นผู้หญิงมันจึงทำให้พวกเธอมีข้อได้เปรียบอย่างมาก..นั่นคือสิ่งที่พวกนายเรียกกันว่าหัวใจแห่งความงาม” ซ่งหลันก็พูดว่า “อย่างไรก็ตามองค์นักฆ่ากลุ่มนี้ก็ลึกลับมาก..อย่าว่าแต่ฉันเลย เพราะฉันเกรงว่าแม้แต่ตระกูลอิงะเองก็ยังไม่รู้เลยว่าพวกเธอเป็นใคร..เพราะงั้นนับจากนี้ไปถ้านายเห็นผู้หญิงสวยๆล่ะก็อย่าเพิ่งคิดมิดีมิร้ายไม่งั้นนายจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายตายยังไง”
“ตายภายใต้ดอกโบตั๋นอันแสนงดงามแท้ที่จริงพวกเธอก็เป็นผีสินะ” เย่เชียนยิ้มแล้วพูดว่า “พี่พูดแบบนี้คิดว่าผมเป็นพระเอกในหนังAVงั้นหรอ..ว่าแต่พวกเธอจะเหมือนโซระอาโออิแบบไหนหนังหรือเปล่า”
ซ่งหลันก็เหลือบมองเย่เชียนด้วยหางตาแล้วพูดว่า “นายมันก็คิดได้แต่เรื่องแบบนี้”
เย่เชียนก็แสยะยิ้มซึ่งเขาแค่ล้อเล่นเพราะพูดตามตรงเย่เชียนก็ไม่ได้หลงใหลในผู้หญิงสวยๆมากนักเพราะถ้าหากวันไหนเย่เชียนอารมณ์ไม่ดีและต่อให้ผู้หญิงสวยๆมาแก้ผ้ายั่วยวนต่อหน้าเขาถึงยังไงเขาก็ไม่สนใจอยู่ดี นี่คือเหตุผลที่ทำไมซ่งหลันถึงบอกว่าเย่เชียนนั้นเหมือนหมูที่ไม่กลัวน้ำเดือดๆ ซึ่งเย่เชียนก็ไม่เคยโต้เถียงเพราะเขาชอบการโดนด่าแบบนั้น ถ้าหากไม่มีความรักแล้วมันจะต่างอะไรกับการมีอะไรกับศพ?
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดว่า “พี่หลัน..ช่วยจัดการตารางให้ผมด้วยผมจะไปพบกับผู้บริหารและนักการเมืองของโตเกียวทีละคนในฐานะประธานของเครือน่านฟ้ากรุ๊ป..เพราะงั้นคืนนี้ผมจะไปหาพี่..ผมอยากรู้เกี่ยวกับแผนการพัฒนาของเครือน่านฟ้ากรุ๊ป”
“ได้” ซ่งหลันพูดต่อ “ในปีที่ผ่านมาฉันได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐเมืองโตเกียว..ซึ่งการพัฒนาของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปสามารถดำเนินไปได้ด้วยดีก็เป็นเพราะความช่วยเหลือและการสนับสนุนของพวกเขา..เพราะงั้นฐานะประธานเครือน่านฟ้ากรุ๊ปมันก็สมควรแล้วที่จะไปขอบคุณพวกเขา”
“พวกเขาได้คิดเกี่ยวกับการใช้อำนาจทางเศรษฐกิจที่มหาศาลของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของโตเกียว..เพราะทุกคนรู้ดีว่าในตอนนี้เศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นกำลังตกต่ำอย่างมาก..เพราะงั้นการที่เครือน่านฟ้ากรุ๊ปเข้ามาทำธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นแบบนี้พวกเขาจึงมีความสุขและยินดีเป็นอย่างมาก..เพราะงั้นพวกเขาจึงคอยสนับสนุน” เย่เชียนพูด “อย่างไรก็ตามเราจะไว้ใจคนเหล่านั้นไม่ได้เด็ดขาด”
ซ่งหลันก็ยักไหล่เพราะเครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นได้รับการดูแลจากเธอเสมอมาและเธอก็ใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลในประเทศต่างๆ ดังนั้นซ่งหลันจึงมีความชัดเจนมากเกี่ยวกับความคิดของเหล่าข้าราชการเหล่านี้เพราะอันที่จริงแล้วข้าราชการทั่วโลกก็เป็นเหมือนๆกันหมด ซึ่งพวกเขามีความคิดเดียวและนั่นคือใครที่สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจได้พวกเขาก็จะสนับสนุนและจะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จทางการเมืองไปด้วยแต่รัฐบาลฐี่ปุ่นนั้นเป็นข้อยกเว้น ในความคิดของซ่งหลันนั้นเธอก็ไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นจะช่วยสนับสนุนเครือน่านฟ้ากรุ๊ปด้วยใจจริงแต่มันเป็นเพียงการแสดง
อย่างไรก็ตามเครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นก็เป็นถึงหนึ่งใน 20 บริษัทชั้นนำของโลกดังนั้นเครือน่านฟ้ากรุ๊ปจึงสามารถพัฒนาไปได้ทุกที่และเชื่อว่าหลายๆประเทศส่วนใหญ่จะต้องสนับสนุนอย่างแข็งขันเนื่องจากเมื่อองค์กรดังกล่าวเข้าทำธุรกิจในประเทศของตนนั้นมันจะไม่เพียงแต่จะสามารถสร้างรายได้จำนวนมากเท่านั้นแต่ด้วยการเข้ามาขององค์กรใหญ่ๆเช่นนี้พวกเขายังสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้ตัวอย่างเช่นปัญหาการจ้างงานและเศรษฐกิจ
หลังจากที่เย่เชียน,ซ่งหลันและคนอื่นๆออกจากร้านอาหารแล้วนากาซาวะเลขาของคาเอดะก็ขับรถไปที่ร้านอาหารและเมื่อเดินไปถึงด้านหน้าของคาเอดะเขาก็โค้งคำนับแล้วพูดว่า “นายท่านคะ”
คาเอดะก็พยักหน้าเบาๆและเหลือบมองผู้หญิงคนนี้ซึ่งเต็มไปด้วยเสน่ห์และไม่รู้ทำไมที่ทุกๆครั้งที่คาเอดะเห็นผู้หญิงคนนี้เขาก็มักจะนึกถึงฉากเปลือยกายกับผู้หญิงคนนี้อยู่ในใจ ซึ่งความปรารถนาอันแรงกล้านี้มันวนเวียนอยู่ในหัวของเขาเสมอ “เป็นไงบ้าง?” คาเอดะพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูลามกอนาจาร
“นายท่านฉันค้นพบตัวตนของเย่เชียนแล้ว” นากาซาวะพูดด้วยรอยยิ้ม “ตัวตนที่แท้จริงของเย่เชียนคือผู้นำขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่า..ผู้มีฉายานามว่าราชาหมาป่าเย่เชียน..ส่วนเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็เป็นเพียงฉากบังหน้า..ซึ่งองค์กรเขี้ยวหมาป่านั้นไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานทางเศรษฐกิจของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปและเกือบทั้งหมดซ่งหลันจะเป็นคนจัดการ”
.
.
.
.
.
.
.