ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 647 ใครเป็นคนทรยศ
ตอนที่ 647 ใครเป็นคนทรยศ
เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็กก็ได้เพราะถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเคยร่วมมือกับเซี่ยตงไป่หลายครั้งก็ตามแต่สำหรับเย่เชียนแล้วเขานั้นไม่ได้มีมิตรภาพที่เป็นบุญคุณอะไรกับเซี่ยตงไป่เลย ดังนั้นในสถานการณ์ตอนนี้ที่เต็มไปด้วยแผนการที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้เย่เชียนก็ต้องรู้ทุกอย่างให้ชัดเจนสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้นแก๊งฝูชิงก็มีโครงสร้างองค์กรที่ใหญ่มากดังนั้นมันจึงมีคนทรยศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และมันจะต้องมีเหตุผลที่คนประเภทนั้นปล่อยข่าวรั่วออกมานั่นเอง
คำพูดของเย่เชียนนั้นฉลาดมากเพราะเขาโน้มน้าวเซี่ยจือยี่ให้เห็นด้วยกับเขา นอกจากนี้เย่เชียนยังฉลาดมากที่บอกว่าเรื่องนี้ก็เพื่อประโยชน์ของแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงเองดังนั้นจึงต้องทำการตรวจสอบว่ามีสายลับและหนอนหรือคนทรยศอยู่ในแก๊งฝูชิงหรือไม่
ด้วยเหตุนี้เซี่ยจือยี่จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องคัดค้านอีกต่อไปและยิ่งกว่านั้นเซี่ยจือยี่ยังรู้สึกโล่งใจไปกับสิ่งที่เย่เชียนพูดอย่างมาก ดังนั้นเธอจึงจดชื่อและที่อยู่ของสมาชิกแก๊งฝูชิงทั้งหมดที่รู้เรื่องของหยานฮั่นในครั้งนี้และมอบให้เย่เชียนทันที
เย่เชียนนั้นเพิ่งได้ข้อมูลคนเหล่านี้จากปากของเซี่ยจือยี่และดูเหมือนไม่มีใครน่าสงสัยได้เลยแต่ถ้าคนรายชื่อเหล่านี้เป็นสายจริงๆล่ะก็อีกฝ่ายต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอนไม่เช่นนั้นเขาคงจะถูกจับได้ว่าเป็นสายลับมาตั้งนานแล้ว ซึ่งเหตุการณ์นี้ยังคงทำให้เย่เชียนกังวลอย่างมากเพราะถ้าหากคราวนี้สายลับคอยรายงานข่าวต่างๆนั่นก็หมายความว่าสมาคมมังกรดำจะต้องดำเนินการกวาดล้างแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงแล้ว ส่วนเหตุการณ์ของหยานฮั่นมันก็เป็นเพียงผลประโยชน์ที่ไม่คาดคิดเพียงเท่านั้น
“เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกคุณหยานฮั่นก็อย่าเพิ่งออกไปจากประเทศญี่ปุ่นในช่วงนี้และหลังจากที่ผมตรวจสอบแล้วผมจะหาวิธีส่งคุณกลับไปให้เร็วที่สุด” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “คุณเซี่ย..คุณหยานฮั่น..อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้ใครฟังจะได้มั้ย?”
เซี่ยจือยี่ก็พยักหน้าเบาๆแล้วพูดว่า “ได้ค่ะ..ฉันรู้ว่าต้องทำอะไร”
“พี่ม่อหลงช่วยดูแลเขาให้ดีและแจ้งให้ผมทราบทันทีหากมีอะไรเกิดขึ้นอีก” เย่เชียนพูด “เขาเป็นลูกน้องของปู่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเพราะงั้นเราต้องไว้หน้าปู่สักหน่อย..ถึงยังไงปู่เขาก็…” เย่เชียนไม่ได้พูดต่อเพราะความหมายนั้นชัดเจนอย่างมาก ซึ่งท้ายที่สุดแล้วหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็เป็นสมาชิกของสำนักม่อจื๊อและเขาก็ยังเป็นผู้ส่งสารและผู้เป็นอาจารย์ของม่อหลงอีกด้วย ดังนั้นมันก็สมเหตุสมผลสำหรับการช่วยหยานฮั่นนั่นเอง
ขณะพูดจู่ๆโทรศัพท์มือถือของเซี่ยจือยี่ก็ดังขึ้นและเซี่ยจือยี่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูแล้วพูดกับเย่เชียนว่า “อาจารย์โย่วโทรเข้ามา..ฉันคิดว่าเขาคงจะรู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ท่าเรือ”
“คุณรับสายเลยแต่อย่าบอกว่าผมอยู่ที่นี่ด้วย” เย่เชียนพูด
เนื่องจากคำพูดของเย่เชียนก่อนหน้านี้เซี่ยจือยี่จึงไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นหลังจากกดปุ่มรับสายเสียงของโย่วซวนที่ดูกังวลเล็กน้อยก็ดังเข้ามา “คุณหนู!..ฉันได้ยินมาว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่ท่าเรือใช่ไหม..คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่า..แล้วชายหนุ่มคนนั้นล่ะเขาไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม” โย่วซวนพูดต่อ “เขาเป็นคนที่คุณเย่ฝากฝังเอาไว้กับเราและถ้าหากมีอะไรผิดพลาดล่ะก็แก๊งฝูชิงอย่างเราก็จะต้องรับผิดชอบ..เราทำให้คุณเย่ผิดหวังมาก”
“เขาไม่ได้เป็นอะไร..เขาแค่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย” เซี่ยจือยี่พูด
“คุณหนูรู้ไหมว่าพวกนั้นเป็นใคร” โย่วซวนถาม
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ฉันจะตรวจสอบสิ่งต่างๆ..นี่เป็นการท้าทายแก๊งฝูชิงของเราอย่างเปิดเผยจริงๆ” เซี่ยจือยี่พูด
“ได้..เดี๋ยวฉันจะช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วย..ฉันจะสืบค้นข้อมูลของนินจาเหล่านั้นทีละคน” โย่วซวนพูด “ว่าแต่ตอนนี้คุณหนูอยู่ที่ไหน..ในเมื่อเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นที่ท่าเรือเพราะงั้นมันจึงเป็นไปได้ว่าจะต้องมีบางอย่างในแก๊งฝูชิงของเราผิดพลาด..เราไม่สามารถปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้ซ้ำรอยได้อีก..บอกที่อยู่ของคุณหนูมาแล้วฉันจะส่งคนไปคุ้มกันให้มากขึ้น”
เซี่ยจือยี่หันไปเหลือบมองเย่เชียนที่กำลังส่ายหัวอยู่เพราะโย่วซวนเองก็เป็นหนึ่งในรายชื่อผู้ที่รู้กำหนดการการส่งตัวหยายฮั่นออกจากประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นเย่เชียนจึงสงสัยเขาและถึงแม้ว่าคำพูดที่โย่วซวนเพิ่งพูดออกมาจะดูเป็นธรรมชาติก็ตามแต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโย่วซวนเช่นกัน ซึ่งจุดประสงค์ก็คือเพื่อปกป้องตัวตนของเขาจากการถูกเปิดเผยเขาจึงต้องการทราบที่อยู่ของหยานฮั่นแล้วทำภารกิจให้เสร็จสิ้นโดยการตามเก็บงานให้เรียบร้อย สืบสวนและจัดการกับตำแหน่งของหยาน ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่สามารถไว้ใจใครได้ในสิบรายชื่อเหล่านี้และจะไม่ใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้นเพราะทุกๆคนก็มีโอกาสที่จะเป็นสายลับกันได้ทุกคน
“ตอนนี้เขาปลอดภัยแล้วและฉันได้แจ้งคุณเย่เรียบร้อยแล้วตอนนี้คุณเย่จะส่งคนมาคอยคุ้มกันชั่วคราว..ตอนนี้เรากำลังหาวิธีที่จะส่งตัวหยายฮั่นออกจากประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งโดยเร็วที่สุด..ซึ่งถ้าหากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นที่ท่าเรืออีกนั่นก็หมายความว่ามีใครบางคนต้องการที่จะทำสงครามกับแก๊งฝูชิงของเรา..เพราะงั้นเราจะปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกไม่ได้” เซี่ยจือยี่พูด
“ถ้างั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอกถ้าอยู่ภายใต้การดูแลของคุณเย่..แค่ครั้งนี้เสียหน้ากับคุณเย่จริงๆและไม่รู้เลยว่าจะขอโทษคุณเย่ยังไง..คุณหนูช่วยบอกคุณเย่ให้หน่อยว่าฉันขอโทษและบอกเขาไปว่าเรื่องจะทางเราจะรีบให้คำตอบโดยเร็วที่สุด” โย่วซวนพูด
“ได้ค่ะ” เซี่ยจือยี่พูด “อาจารย์โย่วถ้าไม่มีอะไรเพิ่มเติมแล้วฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“อืม..ไว้เจอกัน” โย่วซวนพูดจบและกดวางสายไป จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วและกดเบอร์โทรศัพท์เพื่อโทรออก
เย่เชียนก็หันไปมองม่อหลงแล้วพูดว่า “พี่ม่อหลงเรื่องที่นี่ผมขอฝากพี่จัดการด้วยนะ..ผมมีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องทำ” จากนั้นเขาก็มองไปที่หยานฮั่นแล้วพูดว่า “คุณเองก็อย่าออกไปไหน..ไม่ใช่ว่าผมห่วงชีวิตของคุณหรืออะไรแต่ถ้ามันทำให้พี่น้องเขี้ยวหมาป่าของผมต้องเสี่ยงและเป็นอะไรไปล่ะก็ผมจะดึงคุณออกมาจากหลุมศพและชำแหละศพของคุณ!”
หยานฮั่นก็กลอกตาไปมาแล้วพูดว่า “ถ้าผมตายไปจริงๆผมคิดว่าคุณคงจะหาศพของผมไม่เจอหรอก..แบบนั้นคุณจะทำอะไรได้”
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และคิดอย่างลับๆว่าสายลับของสำนักความมั่นคงแห่งชาติคนนี้มันบ้าจริงๆ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้สนใจที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีกต่อไปเพราะถึงยังไงเขาก็มาจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของประเทศจีนดังนั้นไม่ว่าจะในกรณีใดเขาก็เป็นลูกน้องของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและเย่เชียนก็ต้องไว้หน้าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเสียบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นก็คอยช่วยเหลือเย่เชียนมาโดยตลอดดังนั้นความคับข้องใจของเย่เชียนก็ชัดเจนและสำหรับเย่เชียนแล้วบุญคุณก็ต้องตอบแทนและใช้คืนให้เท่านั้น
“เอาเถอะ..ผมขอตัวก่อน” หลังจากที่เย่เชียนพูดจบเขาก็เหลือบมองไปที่หลินเฟิงและทั้งสองก็เดินออกไปในทันที
ขณะนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้วและดวงจันทร์ก็มีหมอกหนาราวกับพายุเข้าและมันน่าหวั่นเกรงอย่างมากจนเย่เชียนแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าคืนนี้มันจะไม่ใช่ค่ำคืนที่ธรรมดาเลยสินะ”
จากนั้นเย่เชียนก็มองไปที่หลินเฟิงแล้วพูดว่า “เราออกไปเดินเล่นกันดีมั้ย?”
หลินเฟิงก็ยักไหล่เบาๆแล้วพูดว่า “ตอนนี้ฉันเป็นบอดี้การ์ดของนายแล้วเพราะงั้นแน่นอนว่าฉันต้องตามนายไปในที่ที่นายอยากจะไปอยู่แล้ว..ฉันไม่ต้องการให้ใครมานินทาว่าบอดี้การ์ดอย่างฉันนั้นไร้ประโยชน์”
เย่เชียนก็กลอกตาไปมาอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่า “เอาหน่า..ถ้าเกิดผมเดินไปเจอพวกนักเลงหรือยากูซ่าแล้วพวกนั้นมันมาทำร้ายผมจนผมต้องตอบโต้ขึ้นมาจะทำยังไง..ถ้าเป็นแบบนั้นตัวตนของผมก็คงจะถูกเปิดเผยกันพอดี..ได้พี่หลินมาสวมบทบาทนี้แหละดีที่สุดแล้ว”
“ฉันเองก็ไม่รู้เลยว่าฉันจะทำได้ดีหรือเปล่าเพราะฉันเพิ่งจะสวมบทบาทนี้เมื่อไม่กี่วันก่อน..ฉันยังไม่ชินกับมันเลย” หลินเฟิงพูด
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและส่ายหัวไม่ได้พูดอะไรต่อ ซึ่งหลังจากที่เย่เชียนกับหลินเฟิงขึ้นรถแล้วเขาก็ขับรถตรงไปยังที่อยู่แห่งหนึ่งในรายชื่อที่เซี่ยจือยี่เขียนเอาไว้ให้
หลังจากมาถึงสถานที่ในรายละเอียดแล้วเย่เชียนก็หยุดรถและทั้งสองก็เดินเข้าไป ซึ่งบุคคลนี้เป็นหัวหน้าเขตปกครองเขตหนึ่งของแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงและเขาก็เป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลท่าเรือของเขตนั้นในการพาตัวหยานฮั่นกลับประเทศจีน ดังนั้นเย่เชียนจึงต้องการรู้ความจริงและข้อมูลต่างๆจากปากของเขาคนนี้
ทันทีที่เย่เชียนและหลินเฟิงก้าวเข้าไปข้างในบ้านหลินเฟิงก็ขมวดคิ้วและกระซิบเบาๆว่า “กลิ่นคาวเลือดแรงจริงๆ”
“แบบนี้ไม่ดีแล้ว..มันมีบางอย่างเกิดขึ้น!” เย่เชียนขมวดคิ้วและรีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นบนส่วนหลินเฟิงก็ไม่ลังเลเช่นกันเขาจึงรีบตามเย่เชียนไปในทันที
เมื่อผลักประตูห้องที่ชั้นสองเข้าไปเย่เชียนก็เห็นผู้ชายและผู้หญิงนอนอยู่บนกองเลือดและทั้งสองคนนี้น่าจะเป็นผู้คุมเขตของแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงกับภรรยาของเขา “ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไป..มีคนเร็วกว่าเราหนึ่งก้าว!” เย่เชียนขมวดคิ้วแล้วพูด อย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่ามีสายลับและหนอนอยู่ในแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงจริงๆ ซึ่งเนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวเริ่มยุ่งเหยิงดังนั้นเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เย่เชียนค้นพบตัวสายลับเช่นนั้นสายลับดังกล่าวจึงต้องทำการฆ่าปิดปากผู้คุมเขตคนนี้ทิ้ง อาจเป็นไปได้ว่าสายลับตัวจริงต้องการใส่ร้ายป้ายสีโยนความผิดใส่เขา อย่างไรก็ตามคนตายก็พูดไม่ได้และดูเหมือนว่าเย่เชียนจะต้องวิธีอื่นเท่านั้น
หลินเฟิงก็เดินไปตรวจสอบชีพจรของทั้งสองคนและพูดว่า “ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะตายเมื่อไม่นานมานี้..เรา…” ระหว่างที่หลินเฟิงกำลังจะพูดจู่ๆเขาก็หยุดและมองหน้ากันกับเย่เชียน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเย่เชียนนั้นก็สัมผัสได้ถึงเห็นอะไรบางอย่างจากนั้นทั้งสองก็พยักหน้าให้กันแล้วร่างของพวกเขาก็รีบพุ่งไปทางประตูอย่างรวดเร็ว
คนหนึ่งเป็นถึงผู้นำขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าผู้กึกก้องโลกส่วนอีกคนก็เป็นถึงผู้นำขององค์กรนักฆ่าในตำนานอย่างองค์กรเซเว่นคิล ซึ่งทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านชีวิตและความตายมานับไม่ถ้วนและลุยบุกน้ำลุยไฟมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นรูปแบบที่พวกเขาฝึกฝนมาเป็นเวลานานนั้นก็ไม่ธรรมดาจึงทำให้พวกเขามีไหวพริบที่เฉียบขาดเพราะงั้นคนธรรมดาจึงเทียบกับพวกเขาไม่ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถในการรับรู้ถึงอันตรายและสัมผัสทั้งห้าของพวกเขาก็ดีกว่าคนทั่วไปมาก ดังนั้นในตอนนี้พวกเขาจึงสามารถสัมผัสเจตนาฆ่าจากตู้เสื้อผ้าได้อย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้ที่ไหน?
การกระทำที่พวกเขาจ้องตากันนั้นเป็นสัญญาณให้ทำอะไรบางอย่างและทั้งสองก็โจมตีพร้อมกันโดยมีจุดประสงค์เพื่อจับศัตรูโดยไม่ทันตั้งตัว อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ง่ายเพราะเมื่อเย่เชียนและหลินเฟิงเคลื่อนไหวเขาก็ตอบโต้และทันทีและรีบออกจากตู้และออกจากห้องนอนไป
เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเฟิงแล้วจะมีโอกาสหนีไปได้ที่ไหน ซึ่งในขณะที่อีกฝ่ายกำลังพังประตูออกไปหลินเฟิงก็ได้คาดการณ์เอาไว้แล้วเขาจึงพุ่งไปที่ประตูเช่นกันแล้วปิดประตูทันทีจนเสียงดัง “ปัง!” และยืนขวางประตูเอาไว้
.
.
.
.
.
.
.