ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 669 หารือมาตรการตอบโต้ ตอนที่ 2
ตอนที่ 669 หารือมาตรการตอบโต้ ตอนที่ 2
การรู้จักตนเองและการรู้จักศัตรูนั้นเป็นสิ่งที่ดีในการต่อสู้เสมอและนี่คือหลักการของนักยุทธศาสตร์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยเลย
หลังจากได้ยินสิ่งที่ไป๋ฮวยพูดเช่นนั้นเย่เชียนก็รู้สึกขนลุก ซึ่งถ้าหากไม่ใช่เพราะไป๋ฮวยล่ะก็เย่เชียนอาจจะพ่ายแพ้ในครั้งนี้ไปแล้วจริงๆเพราะข้อมูลที่เย่เชียนรวบรวมมาได้นั้นช่างน่าสมเพชเพราะแม้แต่ผู้นำคนใหม่ตัวจริงขององค์กรทหารรับจ้างเรดซันเย่เชียนก็ไม่อาจรู้ได้
เย่เชียนก็แอบรู้สึกขอบคุณเช่นกันเพราะโชคดีที่หลินเฟิงประสบความสำเร็จในการชักชวนไป๋ฮวยมาเข้าร่วมศึกสงครามในครั้งนี้ไม่เช่นนั้นการเดินทางมายังประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้คงจะเป็นสิ่งที่แยบยลอย่างมากสำหรับเย่เชียน ที่สำคัญกว่านั้นถ้าหากเย่เชียนล้มเหลวเขาก็จะนำเขี้ยวหมาป่าไปสู่จุดจบอย่างแน่นอน อีกทั้งองค์กรเซเว่นคิลและแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงด้วย
“พวกนินจา?” เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นแบบนั้นพวกสมาคมมังกรดำจะไม่เพิกเฉยต่อทหารรับจ้างเรดซันอย่างแน่นอนและเมื่อใดที่องค์กรทหารรับจ้างเรดซันตกอยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงล่ะก็เหล่านินจาก็จะปรากฏตัวออกมาอย่างแน่นอน”
“ในทางทฤษฎีมันก็เป็นอย่างนั้นเพราะงั้นเราจะประมาทไม่ได้..ไม่งั้นพวกเราซวยแน่” ไป๋ฮวยพูดต่อ “อย่าดูถูกพวกนินจาเหล่านั้นเพราะที่นี่คือประเทศญี่ปุ่นและเราก็ไม่มีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และยุทธศาสตร์เลย..พวกเราต้องระมัดระวังให้มากเว้นแต่ว่าเราจะมีพันธมิตรที่รับมือกับนินจาเหล่านั้นได้”
“พอพี่พูดแบบนี้แล้วผมก็คิดว่าพวกเราอาจจะรีบกันไปหน่อย” เย่เชียนพูด อันที่จริงแล้วในประเทศญี่ปุ่นนั้นพลังและกำลังรบขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่และองค์กรเซเว่นคิลเองก็เช่นกัน ดังนั้นหากปราศจากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และยุทธศาสตร์แล้วล่ะก็การรับมือกับเหล่านินจาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“แล้วไง?..นายกลัวงั้นเหรอ?” ไป๋ฮวยพูด
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่า “ไม่ได้กลัว..ผมแค่คิดว่าเราควรพิจารณาให้ละเอียดกว่านี้และหาวิธีที่จะรับมือกับพวกนินจา”
“ถึงพวกนินจาจะเก่งแค่ไหนแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนั้นจะเป็นอมตะสักหน่อย..เพราะงั้นไม่ว่าทักษะของพวกมันจะยอดเยี่ยมสักแค่ไหนแต่มันก็สู้ลูกตะกั่วไม่ได้หรอกใช่ไหม?” หลินเฟิงพูด
“นั่นไม่ใช่ประเด็น” ไป๋ฮวยพูด “ถึงแม้ว่าพวกมันจะสู้กระสุนปืนไม่ได้ก็เถอะแต่ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกเขามันก็ไม่ธรรมดาเลย..เพราะงั้นหลินเฟิงนายน่าจะเข้าใจมากที่สุดนะว่าบางครั้งอาวุธที่เราใช้ก็ไม่ใช่กุญแจสู่ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ ในการต่อสู้หรอกนะ..เพราะปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือตัวบุคคลนั่นเอง..ยกตัวอย่างเช่นปืนไรเฟิลมันก็ไม่สามารถสู้รถถังและเครื่องบินได้แบบนั้นแหละ”
แน่นอนว่าหลินเฟิงเข้าใจสิ่งที่ไป๋ฮวยพูดแต่เขาแค่กังวลเมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชียนก็เท่านั้น เพราะเขาต้องการจัดการเรื่องที่ประเทศญี่ปุ่นให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดเพื่อที่เขาจะได้กลับไปประเทศจีนนั่นเอง หลังจากหยุดไปชั่วขณะหลินเฟิงก็พูดว่า “น้องเย่ ทำไมเราถึงลืมตระกูลนินจาฟูมะและตระกูลฮัตโตริไปล่ะ?..พวกเขาเป็นศัตรูกับนินจาดันโซไม่ใช่เหรอ?..ซึ่งถ้าระหว่างที่เรากำลังจะโจมตีพวกทหารรับจ้างเรดซันแล้วถ้าหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอย่างน้อยๆพวกเขาก็สามารถลดปัญหาตรงนั้นให้กับเราได้..ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็จะมีเวลาถอยทัพและจะไม่จนตรอกเพราะพวกนินจาดันโซใช่ไหมล่ะ?”
“นั่นคือสิ่งที่ผมคิดเหมือนกันแต่พวกเราไม่รู้จักคนของตระกูลฮัตโตริเลย..อีกอย่างผมกับฟูมะคาเอดะก็มีความขัดแย้งกันเล็กน้อยเพราะงั้นผมคิดว่าเขาคงจะไม่ช่วยผม..นอกจากนี้ผมไม่คิดว่าตระกูลฟูมะจะร่วมมือด้วยหรอก..เพราะงั้นถ้าผมเป็นคนของตระกูลอิงะหรือตระกูลฟูมะล่ะก็ผมจะเลือกนั่งอยู่บนภูเขาและดูเสือต่อสู้กันเองและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างง่ายดาย” เย่เชียนพูด
“อันที่จริงมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้คนของตระกูลอิงะเข้ามาแทรกแซงเพราะเราไม่รู้เลยว่าใครเป็นสายลับบ้าง..ส่วนตระกูลฮัตโตริมันก็ยิ่งเป็นไปไมได้เลยเพราะคนเหล่านั้นลึกลับมาก” ไป๋ฮวยพูด
คำพูดของไป๋ฮวยก็ดึงดูดความสนใจของเย่เชียนและหลินเฟิงในทันทีและทั้งสองก็มองไปที่ไป๋ฮวยอย่างกระตือรือรน เพราะสิ่งต่างๆในประเทศญี่ปุ่นนั้นพวกเขาทั้งสองไม่รู้ดีเท่าไป๋ฮวยและไม่มีข้อมูลที่ครอบคลุมดังนั้นพวกเขาทั้งสองยังต้องพึ่งพาไป๋ฮวยในหลายๆด้าน ส่วนไอซอลเดแฮมป์ตันนั้นก็ไม่เข้าใจเลยว่าทั้งสามคนกำลังคุยอะไรกันอยู่แต่เขาก็รู้เล็กน้อยว่าพวกเขากำลังพูดถึงวิธีใช้อะไรบางอย่างเพื่อรับมือกับศัตรูที่คอยสนับสนุนองค์กรทหารรับจ้างเรดซันอยู่
“ถ้าพี่ไป๋มีอะไรจะเสนอก็พูดออกมาได้เลย” เย่เชียนพูดอย่างกระตือรือร้น
“เย่เชียนฉันสงสัยจริงๆว่าที่นายหายไปหนึ่งปีกว่าเนี่ยนายทำตัวสบายมากเกินไปแล้วนะ..นายกลายเป็นคนโง่เขลาไปแล้วงั้นเหรอกับไอเรื่องแค่นี้นายยังไม่สามารถเข้าใจได้เลย” ไป๋ฮวยพูด เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มอย่างขมขื่นและไม่พูดอะไรสักคำ เพราะการถูกไป๋ฮวยเย้ยหยันนั้นมันไม่ใช่ครั้งแรก ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ใส่ใจอะไรมากและนอกจากนี้ไป๋ฮวยก็ยังมีคุณสมบัติมากพอที่จะพูดแบบนี้กับตนได้ ดังนั้นเย่เชียนจึงเลือกที่จะฟังเขา
“ระหว่างตระกูลนินจาฟูมะกับตระกูลนินจาโคดันโซนั้นเป็นของพรรคการเมืองที่แตกต่างกันและความคับข้องใจที่มีมายาวนานระหว่างพวกเขาก็ไม่เคยได้รับการแก้ไขสักที..เพราะงั้นถ้าเราใช้ความขัดแย้งนี้อย่างสมเหตุสมผลล่ะก็เราจะสามารถกระตุ้นตระกูลฟูมะกับตระกูลดันโซให้เริ่มต่อสู้กันได้..เพราะอย่างที่เรารู้กันว่าการที่พวกนั้นเพิกเฉยต่อกันก็เป็นเพราะการแทรกแซงของตระกูลอิงะและสมาคมมังกรดำ” ไป๋ฮวยพูดอย่างช้าๆ
“นายหมายถึงเราจะใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งที่มีมาเนิ่นนานระหว่างพวกเขาโดยเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้งอย่างงั้นเหรอ?” หลินเฟิงถามแล้วพูด “นี่ก็เป็นวิธีที่ใช้ได้เลยเพราะการเลือกตั้งพรรคการเมืองของประเทศญี่ปุ่นก็กำลังใกล้เข้ามาแล้วและพรรคการเมืองใหญ่ๆก็ต้องต่อสู้กันอย่างเปิดเผยและลับๆ..ถ้างั้นความสมดุลที่ละเอียดอ่อนก็ถึงเวลาแล้วและตราบใดที่เราทำลายสมดุลนี้มันก็จะกระตุ้นให้เกิดการต่อสู้ของสองตระกูลนินจา”
ไป๋ฮวยก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “หลินเฟิงนายยังคงฉลาดไม่เหมือนกับใครบางคนเลย..หนึ่งปีที่ผ่านมาเขาคงจะมีแต่น้ำในหัวสินะ”
เย่เชียนที่ฟังอยู่ด้านข้างก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อยแล้วรีบพูดว่า “พี่ไป๋หยุดประชดประชันผมสักทีเถอะ..คุยเรื่องแผนกันต่อดีกว่า”
ไป๋ฮวยก็แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “เท่าที่ฉันรู้มาความขัดแย้งระหว่างตระกูลนินจาทั้งสามตระกูลใหญ่ก็ต่อสู้กันอย่างลับๆมาโดยตลอด..ซึ่งครั้งล่าสุดที่พวกนายอยู่ที่ร้านอาหารของแก๊งฝูชิงน่ะ..ฟูมะคาเอดะผู้สืบทอดตระกูลนินจาอิงะ..ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นมันถูกจัดฉากขึ้นเพราะแท้ที่จริงแล้วทั้งหมดมันเป็นฝีมือของตระกูลดันโซไม่ใช่ตระกูลฮัตโตริ”
“ตระกูลดันโซ?” เย่เชียนก็ถึงผงะไปครู่หนึ่งเพราะครั้งก่อนที่ร้านอาหารของแก๊งฝูชิงเขาและหลินเฟิงทั้งคู่ก็อยู่ในที่เกิดเหตุและในเวลานั้นหลินเฟิงเองก็ยังค้นตัวนินจาแล้วพบเครื่องหมายและตราสัญลักษณ์ของนินจาฮัตโตริ อย่างไรก็ตามจากการวิเคราะห์ของหลินเฟิงแล้วคนเหล่านั้นก็ไม่น่าจะเป็นนินจาของตระกูลฮัตโตริเลยแต่มันเป็นฝ่ายที่ต้องการโยนความผิดให้กับตระกูลฮัตโตริและตอนนี้ดูเหมือนว่าความจริงจะถูกเปิดเผยแล้ว “คราวที่แล้วผมคุยเรื่องนี้กับพี่หลินและตอนนั้นพี่หลินก็ยังบอกว่ามีใครบางคนต้องการใส่ร้ายป้ายสีให้กับตระกูลฮัตโตริ..ตอนนั้นพวกเราทุกคนคิดว่ามันน่าจะเป็นนินจาจากตระกูลอิงะหรือฟูมะแต่มันจะเป็นนินจาของตระกูลดันโซไปได้ยังไง?”
“สิ่งที่นายเห็นมันไม่ใช่ความจริงเสมอไป” ไป๋ฮวยพูด “ฟูมะคาเอดะไม่ใช่คนโง่..แน่นอนว่าเขารู้ดีว่านินจาเหล่านั้นไม่ใช่คนของตระกูลฮัตโตริหรือคนของตระกูลอิงะ..เพราะมันต้องเป็นตระกูลดันโซที่มีความขัดแย้งอย่างลึกซึ้งมาเนิ่นนานอยู่แล้วและนี่คือแผนของตระกูลดันโซที่กำลังโยนทุกสิ่งทุกอย่างให้กับตระกูลฮัตโตริ..ซึ่งจุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือการทำให้ตระกูลฟูมะกับตระกูลฮัตโตริก่อสงครามกันแล้วใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้”
“ร้ายกาจจริงๆ” เย่เชียนพึมพำ
ไป๋ฮวยก็ไม่สนใจเย่เชียนแล้วพูดต่อ “อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้เลยว่าตระกูลนินจาดันโซได้บรรลุข้อตกลงความร่วมมือกับผู้คนจากตระกูลอิงะบางส่วนและนินจาเหล่านั้นก็เป็นคนจากตระกูลอิงะจริงๆ..ในตอนนี้ตระกูลอิงะมีหนอนบ่อนไส้แฝงตัวอยู่”
“ว่าแต่ใครคือหัวหน้าตระกูลดันโซตัวจริง?” เย่เชียนถาม
“ดันโซ..ฮยากุจิ” หลินเฟิงตอบ
“หากตระกูลฟูมะกับตระกูลฮัตโตริรู้สิ่งเหล่านี้ล่ะมันจะไปกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของสำนักนินจาอิงะอย่างมากและสิ่งนี้มันจะช่วยให้พวกเขาเหล่านั้นเริ่มโต้ตอบตระกูลดันโซใช่ไหม?” เย่เชียนพูด
“ใช่!..แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในระยะเวลาอันสั้น..อย่าคิดเลยว่าตระกูลฟูมะกับตระกูลฮัตโตริจะเชื่อนายง่ายๆแบบนั้น..เพราะพวกเขาจะต้องรักษาเสถียรภาพของตระกูลเอาไว้เพราะในช่วงเวลาสำคัญนี้และละเอียดอ่อนแบบนี้หากสำนักนินจาอิงะไม่มีเสถียรภาพล่ะก็มันจะส่งผลต่อผลการเลือกตั้งพรรคการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้..เพราะงั้นถ้าหากตระกูลฟูมะหรือสำนักนินจาอิงะมีปัญหาล่ะก็มันจะทำให้ตระกูลดันโซได้เปรียบอย่างมาก” ไป๋ฮวยพูด
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆเห็นด้วย ซึ่งเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ไป๋ฮวยพูดเพราะมันมีความเป็นไปได้สูงมากที่ตระกูลดันโซจะใช้โอกาสนี้เพื่อชิงชัยชนะในการเลือกตั้งพรรคการเมืองของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตระกูลดันโซก็หวังจะให้สมาคมมังกรดำกำจัดศัตรูเพื่อให้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้และเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งสิ่งนี้จะสร้างความกดดันให้แก่ตระกูลฟูมะและสำนักนินจาอิงะอย่างมาก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการทำให้ตระกูลฟูมะรู้ในสิ่งที่ตระกูลดันโซทำ
“พี่หลินคิดยังไงกับเรื่องนี้บ้าง?” เย่เชียนถาม
“จริงๆแล้วมันก็ง่ายมาก..พวกเราก็แค่สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อกดดันตระกูลฟูมะและสำนักนินจาอิงะให้พวกเขาเริ่มคิดที่จะจัดการกับตระกูลดันโซ..เพราะงั้นเราต้องทำอย่างที่ไป๋ฮวยพูดก่อนหน้านี้” หลินเฟิงพูด “อันที่จริงแล้วยิ่งสถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นวุ่นวายมากเท่าไรแผนการของเราก็จะยิ่งราบรื่นขึ้นเท่านั้น..เพราะงั้นเราไม่ควรพลาดโอกาสดีๆแบบนี้ไป”
.
.
.
.
.
.
.