ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 703 ยึดอำนาจ ตอนที่ 1
ตอนที่ 703 ยึดอำนาจ ตอนที่ 1
หลินเฟิงเห็นทุกอย่างในดวงตาของเขาและรู้ดีว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายในขณะนี้และถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งและความสามารถที่แท้จริงของคาเอดะก็ตามแต่เขาก็เชื่อว่าคาเอคะคงจะไม่สามารถทำอะไรเย่เชียนได้ภายในชั่วพริบตาเดียวเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าเย่เชียนจะตกอยู่ในอันตรายแต่ถึงยังไงเขาก็มีเวลามากพอที่จะช่วยเหลือเย่เชียนได้ทัน
ชิงเฟิงที่กำลังเฝ้าดูอยู่ข้างนอกเมื่อเขาเห็นเหล่าตระกูลนินจากำลังต่อสู้กันเองเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงงและเขาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่างไรก็ตามหลังจากที่คิดอย่างรอบคอบแล้วเขาก็รู้สึกว่ามันอาจจะเป็นการแสดงละครตบตาเย่เชียนโดยการสร้างความไม่ลงรอยกัน ซึ่งเขาก็กำลังกังวลอย่างมากแต่ท้ายที่สุดแล้วชิงเฟิงก็ได้รับข้อความจากหลินเฟิงคำสั่งสั้นๆว่า ‘โจมตี!’
เมื่อหลินเฟิงบอกเช่นนั้นชิงเฟิงจึงมีความสุขมากที่จะได้เข้าร่วมการแสดงที่ดีและไม่มีอะไรจะสดชื่นไปกว่าการดูการต่อสู้แบบประจัญ เพียงแค่ว่าชิงเฟิงคาดเดาผิดจริงๆเพราะการต่อสู้ระหว่างฟูมะฮายาคุจิกับฮัตโตริชิฮิโระนั้นไม่ได้เป็นเพราะต้องการทำให้เย่เชียนสับสนแต่มันเป็นเพราะความอัปยศและความแค้นที่ทั้งสองตระกูลมีต่อกันมาเนิ่นนานเพื่อแย่งชิงอำนาจนั่นเอง
คาเอดนะนั้นต้องการกำจัดเย่เชียนมานานแล้วเพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นตำแหน่งผู้สืบทอดผู้นำของสำนักนินจาอิงะที่สง่างามของเขาในอนาคตก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ซึ่งในตอนนี้เขากลับไม่สามารถครอบครองผู้หญิงที่เขาชอบเลยด้วยซ้ำแต่ในที่สุดตอนนี้เขาก็สามารถได้รับโอกาสนั้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคาเอดะก็มั่นใจอย่างมากว่าเย่เชียนจะไม่สามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้ดังนั้นตราบใดที่เขากำจัดเย่เชียนด้วยตัวเองแล้วซ่งหลันก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หลังจากได้รับคำสั่งจากผู่ของเขาแล้วคาเอดะก็ไม่ลังเลใดๆและรีบพุ่งเข้าไปโจมตีเย่เชียนอย่างรวดเร็ว
เย่เชียนเหลือบมองซ่งหลันที่อยู่ข้างๆแล้งพูดว่า “พี่หลันหลบไปอยู่ข้างหลังก่อน” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็กำหมัดและพุ่งไปทางคาเอดะ
ฟูมะคาเอดะนั้นเป็นสมาชิกรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดในสำนักนินจาอิงะและเขาก็ฝึกวิชานินจามาตั้งแต่เด็กและทักษะของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอเลย ส่วนเย่เชียนที่อยู่ในขอบเขตของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณขั้นสูงและมีร่างกายที่พิเศษกว่าใครนั้นในแง่ของการเผชิญหน้าตรงทักษะการต่อสู้ของเย่เชียนอาจจะไม่ดีเท่าคาเอดะก็ตามแต่ความแข็งแกร่งด้านกายภาพแล้วคาเอดะจึงไม่สามารถสู้เย่เชียนได้เลย
อย่างไรก็ตามการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือนั้นไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะกำหนดว่าใครจะชนะหรือใครจะแพ้เพราะจิตวิญญาณชั่วร้ายที่เย่เชียนผนึกและฝึกฝนเอาไว้นั้นถึงมันจะไม่ได้ทรงพลังมากมายนักในตอนนี้แต่พลังการทำลายของมันก็ทรงพลังอย่างมาก ซึ่งหากไม่ใช่เพราะร่างกายที่พิเศษของเย่เชียนแล้วล่ะก็วิญญาณที่น่าเกรงขามที่พระจากวัดหลิงหลงสกัดกั้นมันเอาไว้คงจะปะทุออกมา หากเป็นเช่นนั้นจริงๆเกรงว่าร่างกายของเย่เชียนคงจะแหลกสลายไปอย่างแน่นอน
กระบวนท่าของคาเอดะนั้นซับซ้อนอย่างมากด้วยท่วงท่าที่ต่อเนื่องจนแทบจะคาดเดาไม่ได้ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ได้เรียนรู้กลยุทธ์บางอย่างจากหลินเฟิงนั่นเป็นทักษะการต่อสู้ที่มีท่วงท่าที่ยุ่งยากในการรับมือกับเหล่านินจาและนอกจากนี้ประสบการณ์การต่อสู้ของเย่เชียนนั้นคาเอดะก็ไม่เคยเผชิญหน้ามาก่อน ดังนั้นถึงแม้ว่าจะรับมือคาเอดะได้ยากแต่เย่เชียนก็ยังได้เปรียบจากสิ่งนี้
เห็นได้ชัดว่านี่คือสิ่งที่คาเอดะคาดเอาไว้และแม้แต่ฟูมะฮายาคุจิที่อยู่ด้านข้างก็ประหลาดใจอย่างมากเพราะทุกคนรู้ดีว่าพลังการต่อสู้ของเหล่าสมาชิกเขี้ยวหมาป่านั้นยอดเยี่ยมมากแต่ทว่าสำหรับพวกเขาแล้วพวกเขาก็คิดมาเสมอว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงคนธรรมดาที่ต่อสู้เก่งเท่านั้นและเมื่อเผชิญหน้ากับเหล่านินจาจากสำนักนอิงะแล้วเขี้ยวหมาป่าก็เป็นเพียงแค่มด แต่ทว่าตอนนี้การได้เห็นเย่เชียนใช้ศิลปะการต่อสู้โบราณด้วยตาของพวกเขาเองจนพวกเขาถึงกับประหลาดใจและแอบคิดว่า ‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่องค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าจะเป็นที่กล่าวขานกันว่าราชาแห่งโลกทหารรับจ้าง’
“นี่น่ะเหรอความหวังของรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดของสำนักนินจาอิงะ..ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมากไปกว่าลิงหลอกเจ้า..ที่เขาพูดกันคงจะเกินจริงไปหน่อยสินะ” เย่เชียนเยาะเย้ยอย่างเฉยเมยขณะรับมือกับการโจมตีของคาเอดะไปด้วย
“เวรเอ๊ย!” คาเอดะตะโกนแล้วพูดว่า “เย่เชียน..แกอย่าได้ใจไปหน่อยเลย..วันนี้แกจะต้องจมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของฉัน!..ไม่งั้นฉันจะไม่ใช้ชื่อของตระกูลฟูมะอีก!”
เย่เชียนก็แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “เอาเถอะๆ..ชื่อตระกูลฟูมะของแกน่ะมันไร้สาระสิ้นดี..มันก็เป็นได้แค่ชื่อตระกูลขยะๆ”
คาเอดะนั้นถูกเลี้ยงดูมาท่ามกลางสังคมที่มีระดับชนชั้นดังนั้นเขาจึงดูเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าเย่เชียนเพราะฉะนั้นเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ด้านความอันธพาลกับเย่เชียนได้อย่างไร? เพราะถึงแม้ว่าสถานะในปัจจุบันของเย่เชียนจะถือว่าสูงมากก็ตามแต่เย่เชียนก็ได้ปีนขึ้นไปจากด้านล่างนับจากศูนย์ขึ้นไปทีละขั้น ซึ่งเมื่อตอนที่เขายังเด็กเขาก็อยู่ตามท้องถนนและมีการทะเลาะวิวาทกับคนอื่นๆอยู่เสมอ ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเขาเพราะเขาเหมือนหมูที่ตายแล้วไม่กลัวน้ำเดือดและมักจะตีหน้าซื่อและเฉยเมยอยู่เสมอ
ในเวลานี้คาเอดะนั้นโกรธมากแต่เขาก็กังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาเย่เชียนเหมือนจะได้เปรียบจนคาเอดะเสียสมาธิในการต่อสู้ไปอย่างมาก เมื่อฟูมะฮายาคุจิเห็นสิ่งเหล่านี้จากด้านข้างเขาก็ตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่า “เจ้าหลานโง่..เอ็งไม่เห็นหรือไงว่าเย่เชียนจงใจยั่วโมโหน่ะ..เอ็งถูกฝึกมาอย่างเข้มงวดตั้งแต่เด็กแล้วเอ็งจะไปหลงกลคนอย่างเย่เชียนได้ยังไง?”
หลังจากที่ฟูมะฮายาคุจิเตือนคาเอดะเขาก็เข้าใจและสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้ ซึ่งในทันใดนั้นเขาก็มองเย่เชียนอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วพูดว่า “น่าสมเพช!” อย่างไรก็ตามในเวลานี้เขาก็กำลังระงับความโกรธและความหงุดหงิดของเขาเอาไว้
เมื่อเย่เชียนเห็นว่าแผนของเขาไม่ได้ผลแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะหุบปากไปและไม่สนใจที่จะพูดอะไรอีกต่อไป ดังนั้นขณะที่เย่เชียนรับมือกับการโจมตีของคาเอดะเขาก็ได้แอบสังเกตช่องโหว่ในการเคลื่อนไหวของคาเอดะได้
ถึงแม้ว่าตระกูลฮัตโตริกำลังตกต่ำลงแต่ก็มีคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและฮัตโตริชิฮิโระเองก็ไม่ใช่คนโง่เพราะงั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือหรือมีไหวพริบมากเพียงใดแต่สุดท้ายมนุษย์ทุกคนก็ย่อมมีจุดอ่อนเป็นของตัวเอง เนื่องจากการตกต่ำของตระกูลฮัตโตริและความจริงที่ว่าฟูมะฮายาคุจิมีลูกหลานที่ยอดเยี่ยมดังนั้นฮัตโตริชิฮิโระจึงพ่ายแพ้ต่อเมื่อสมัยตอนที่พวกเขาชิงตำแหน่งผู้นำของสำนักนินจาอิงะกัน อย่างไรก็ตามทักษะการต่อสู้ของฮัตโตริชิฮิโระนั้นก็ยอดเยี่ยมกว่าฟูมะฮายาคุจิอย่างมาก ดังนั้นการรับมือกับเหล่าลูกศิษย์นินจาของสำนักนอิงะหลายสิบคนก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย
ฟูมะฮายาคุจินั้นตระหนักดีถึงสิ่งเหล่านี้และเขาก็ไม่เคยคิดที่จะพึ่งพาลูกศิษย์ที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้นักเพื่อกำจัดฮัตโตริชิฮิโระและเขาก็รู้ด้วยว่าทักษะของเขานั้นไม่สามารถเทียบกับฮัตโตริชิฮิโระได้เลยและถ้าหากเขาฝืนต่อสู้กับฮัตโตริชิฮิโระล่ะก็ผลลัพธ์ที่ออกมามันก็คงไม่ดีนัก แต่ใครจะแพ้ใครจะชนะนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมและโอกาสเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ฮัตโตริชิฮิโระก็อยู่ในบ้านของฟูมะฮายาคุจิดังนั้นฟูฮายาคุจิจึงมีความได้เปรียบอย่างมากและจุดประสงค์ของเขาก็คือการใช้เหล่าลูกศิษย์ทำให้ฮัตโตริชิฮิโระเหนื่อยล้าแล้วค่อยกำจัดฮัตโตริชิฮิโระในคราวเดียว
“ผู้อาวุโสฟูมะคุณก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผมแต่คุณก็ยังปล่อยให้พวกเขาตายอย่างสูญเปล่า..ส่วนคุณกลับซ่อนอยู่ข้างหลัง..ผมถามหน่อยว่านี่คือสิ่งที่ผู้นำอันทรงเกียรติควรทำหรือเปล่า..มันน่าสมเพชจริงๆ” ฮัตโตริชิฮิโระพูดอย่างเย้ยหยัน
“ฮัตโตริชิฮิโระวันนี้คุณจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้..เดี๋ยวคุณก็จะได้ลงหลุมแล้วไม่ต้องกังวลไป” ฟูมะฮายาคุจิพูด
ฮัตโตริชิฮิโระก็แสยะยิ้มโดยรู้ว่าฟูมะฮายาคุจิจอมเจ้าเล่ห์นั้นจะไม่มีวันยอมมาต่อสู้กับตัวเองจนกว่าตนจะเสียเปรียบ แต่ฮัตโตริชิฮิโระก็ไม่ได้อยากที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้และยังคงตั้งใจที่จัดการกับเหล่าลูกศิษย์ของสำนักอิงะอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าฮัตโตริชิฮิโระนั้นก็รู้ดีว่าฟูมะฮายาคุจินั้นคิดอะไรอยู่ในใจ ดังนั้นเขาจึงต้องการกำจัดเหล่าลูกศิษย์ของสำนักอิงะโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะยิ่งเวลาผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่พลังกายของเขาก็จะเหลือน้อยลงมากเท่านั้นและเมื่อถึงจุดที่ฟูมะฮายาคุจิเริ่มเคลื่อนไหวล่ะก็มันจะเป็นสิ่งที่ยากลำบากอย่างมาก
เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ฮัตโตริชิฮิโระก็อดไม่ได้ที่จะเร่งความเร็วจากนั้นลูกศิษย์ของฟูมะฮายาคุจิหลายสิบคนก็นอนอย่างไร้วิญญาณอยู่ที่พื้นและเหลือเพียงห้าหรือหกคนเท่านั้น หากปราศจากข้อได้เปรียบด้านจำนวนคนแล้วแน่นอนว่าอำนาจและความมั่นใจของฟูมะฮายาคุจิย่อมลดลงไปด้วย นอกจากนี้ตระกูลฟูมะก็ยังแตกต่างไปจากตระกูลฮัตโตริอย่างมากและไม่เก่งในการโจมตีแบบเป็นกลุ่ม ดังนั้นฮัตโตริชิฮิโระจึงจัดการได้ง่ายด้วยเหตุผลนี้ถ้าหากเหล่าลูกศิษย์ของฟูมะฮายาคุจิห้าหรือหกนี้คนถูกกำจัดไปฟูมะฮายาคุจิก็จะยากลำบากอย่างมาก
แน่นอนว่าซ่งหลันนั้นไม่ได้เข้าไปแทรกแซงแต่เธอจ้องมองไปที่นากาซาวะเคโกะเพื่อป้องกันไม่ให้เธอลอบโจมตี อย่างไรก็ตามนากาซาวะเคโกะนั้นไม่ได้คิดเช่นนั้นเพราะเธอหวังแค่ว่าให้ทั้งสองฝ่ายจะต่อสู้กันอย่างสุดชีวิตและสูญเสียไปพร้อมๆกันจากนั้นเธอก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อเธอยกข้อมือขึ้นเพื่อตรวจสอบเวลาบนนาฬิกาข้อมือของเธอแล้วดวงตาของนากาซาวะเคโกะก็เป็นประกายโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะตราบใดที่เรื่องทั้งหมดในวันนี้จบลงสำนักนินจาอิงะก็จะตกอยู่ในกำมือของเธอเพราะถ้าหากไม่มีฟูมะฮายาคุจิกับฮัตโตริชิฮิโระแล้วการควบคุมและครอบครองสำนักนินจาอิงะด้วยมือของธอเองก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
หลังจากที่คาเอดะคลายความวิตกกังวลภายในใจแล้วการโจมตีของเขาก็ราบรื่นขึ้นมากและเขาก็คิดว่าถึงยังไงเย่เชียนก็จะไม่สามารถรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้อยู่ดี ดังนั้นตราบใดที่เขายื้อเวลาให้นานกว่านี้มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขาและหากปราศจากความกังวลแล้วแน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของคาเอดะนั้นจะสมบูรณ์แบบมากขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่คาเอดะไม่ได้คาดหวังก็คือเย่เชียนได้ชะลอการโจมตีและเปลี่ยนการโจมตีเป็นการป้องกันแทน ซึ่งนี่ไม่ใช่ว่าเย่เชียนถูกบังคับให้ต้องตั้งรับแต่ทว่าเย่เชียนแอบสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของคาเอดะและมองหาช่องโหว่ในนั้น ซึ่งท้ายที่สุดการได้เผชิญหน้ากับยอดฝีมือของตระกูลนินจาและสำนักนินจาอิงะแล้วเย่เชียนก็จะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปอย่างแน่นอนและเขาต้องใช้โอกาสนี้เพื่อสำรวจการเคลื่อนไหวของนินจาเหล่านี้เพื่อที่เขาจะได้รับมือกับเหล่านินจาได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
เมื่อเห็นเย่เชียนค่อยๆเปลี่ยนการโจมตีเป็นการตั้งรับและไม่สามารถตอบโต้ได้อีกคาเอดะก็มีความสุขและเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ทว่าซ่งหลันที่มองดูสิ่งต่างๆอยู่นั้นในที่สุดเธอก็สามารถเห็นได้แล้วว่าใครที่สามารถปกป้องเธอได้อย่างแท้จริง
.
.
.
.
.
.
.