ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 708 ยึดอำนาจ ตอนที่ 6
ตอนที่ 708 ยึดอำนาจ ตอนที่ 6
คาเอดะนั้นเป็นคนหยิ่งยโสและเขาก็จะไม่ยอมให้ตัวเองถูกหักหลังและยิ่งไปกว่านั้นคนที่หักหลังเขากลับเป็นผู้หญิงที่เขาคิดมาตลอดว่าเธอจงรักภักดีและจริงใจกับเขาแต่ผู้หญิงคนนี้กลับเลือกชายชราคนหนึ่งซึ่งมันเป็นตราบาปและเป็นเรื่องมิอาจให้อภัยได้เลย
เมื่อเห็นนากาซาวะเคโกะอยู่ในอ้อมแขนของดันโซบายาชิและทำตัวเหมือนสาวน้อยขี้อ้อนแล้วคาเอดะก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงช่วงเวลาที่ผู้หญิงคนนี้อยู่ในอ้อมแขนของเขา เมื่อเห็นเช่นนั้นคาเอดะก็จ้องมองไปที่นากาซาวะโคโกะอย่างโกรธเคืองและแทบรอไม่ไหวที่จะพุ่งเข้าไปบีบคอเธอตายด้วยมือของตน
ดันโซบายาชิก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และลูบหน้านากาซาวะเคโกะเบาๆแล้วพูดว่า “อย่ากังวลไปเลยที่รัก..ฉันจะจัดการให้เธอเอง..ตอนนี้เขาก็เป็นได้แค่เนื้อบนเขียงและไม่ใช่สิ่งที่เราต้องกังวลเลย”
“คุณใจดีกับฉันมาก” นากาซาวะโคโกะอยู่ในอ้อมแขนของดันโซบายาชิแล้วพูด
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเพราะดันโซบายาชิอาจไม่ได้สังเกตแต่เย่เชียนนั้นสามารถมองเห็นได้ชัดเจนและสายตาของนากาซาวะโคโกะนั้นไม่สามารถปกปิดความจริงไปได้เลย ซึ่งเย่เชียนก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้คือสมาชิกของชาโด้ซากุระจริงๆเพราะแม้แต่ดันโซบายาชิก็ยังถูกเธอหลอก ในตอนนี้สิ่งต่างๆดูเหมือนจะค่อยๆชัดเจนขึ้นและจุดประสงค์ของผู้หญิงคนนี้ก็เพื่อครอบครองตระกูลนินจาทั้งหมดแต่มันก็ยังไม่ชัดเจนว่าใครที่เป็นผู้สนับสนุนเธออยู่เบื้องหลังตัวจริงและแผนชั่วร้ายแบบไหนที่ฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังเธอวางเอาไว้และจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไรกันแน่?
ปากของคาเอดะก็กระตุกสองสามครั้งจากนั้นเขาก็มองไปที่นากาซาวะเคโกะอย่างโกรธจัดและพูดอย่างเดือดดาลว่า “เธอมันนังงูพิษ..ฉันจะฆ่าเธอ!”
ทันทีที่เสียงพูดจบลงคาเอดะก็ตบนากาซาวะเคโกะด้วยฝ่ามือ ถึงแม้ว่าคาเอดะพึ่งจะได้รับบาดเจ็บจากเย่เชียนก็ตามความแต่พลังของฝ่ามือนั้นก็ไม่ได้เบาเลยเพราะท้ายที่สุดคาเอดะก็ฝึกฝนวิชานินจามาตั้งแต่เด็กและเขาก็เก่งกว่าคนทั่วไปหลายเท่า ดังนั้นถึงแม้ว่าคาเอดะจะได้รับบาดเจ็บแต่คนธรรมดาส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย
อย่างไรก็ตามคาเอดะก็ดูถูกนากาซาวะเคโกะเกินไปเพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เขาเห็น เมื่อนากาซาวะเคโกะเห็นคาเอดะกำลังจะตบเธอด้วยฝ่ามือนากาซาวะเคโกะก็ไม่รู้สึกตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อยและยิ่งไปกว่านั้นเธอยังใช้มือขวาของเธอปัดการฝ่ามือของคาเอดะแล้วใช้ฝ่ามืออีกข้างกระแทกเข้าไปที่หน้าอกของคาเอดะอย่างรวดเร็วจนคาเอดะรู้สึกเจ็บปวดและอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองสามก้าวจากนั้นก็กระอักเลือดออกมาพร้อมกับสีหน้าที่ตกตะลึง เพราะเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาได้พ่ายแพ้นากาซาวะเคโกะและถึงแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บอยู่แต่เขาก็ไม่ควรที่จะพ่ายแพ้ต่อนากาซาวะเคโกะได้ หลังจากนั้นคาเอดะก็เข้าใจแล้วว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผู้หญิงเสแสร้งแกล้งทำมาโดยตลอด
เมื่อเห็นว่าคาเอดะพ่ายแพ้จากการต่อสู้อีกครั้งฟูมะฮายาคุจิก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า “คาเอดะ!” เขาพูดอย่างหนักหน่วงโดยบอกว่าในฐานะลูกหลานของตระกูลฟูมะเขาควรมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ไม่เกรงกลัวตาย อย่างไรก็ตามคำกล่าวที่ว่านั้นไม่ว่าคาเอดะจะแย่สักแค่ไหนแต่คาเอดะก็เป็นถึงหลานชายแท้ๆเพียงคนเดียวของเขาและเป็นความหวังสำหรับอนาคตของตระกูลฟูมะอีกด้วย ดังนั้นเขาจะทนดูหลานชายของเขาตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร
นากาซาว่าเคโกะก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “แกคิดว่าทักษะการต่อสู้ของแกยอดเยี่ยมที่สุดในโลกงั้นเหรอ..แกน่ะไร้ค่าในสายตาของฉันอย่างมาก..ฉันสามารถฆ่าแกได้ด้วยนิ้วเดียว”
คาเอดะก็เลียคราบเลือดที่มุมปากและจ้องไปที่นากาซาวะเคโกะแล้วพูดว่า “ฉันมองเธอผิดไปและประเมินเธอต่ำไปจริงๆ..ฉันไม่ได้คาดหวังเลยว่าเธอจะเป็นผู้หญิงร้อยมารยาถึงขนาดนี้..แต่ก็นะตระกูลฟูมะของฉันไม่ได้กระจอกขนาดนั้น..ถ้าเธอกล้าที่จะทำอะไรท่านปู่หรือสมาชิกในตระกูลของฉันล่ะก็ฉันขอสาบานเลยว่าฉันจะฆ่าเธอและเตรียมตัวให้พร้อมที่จะถูกไล่ล่าโดยตระกูลฟูมะ!”
“ฮ่าฮ่า..แก่นี่มันโง่จริงๆ” นากาซาวะเคโกะหัวเราะแล้วพูดต่อ “ฉันไม่เข้าใจจริงๆนี่แกพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่กันเนี่ย..คนอย่างแกมันสมควรถูกเรียกว่าเป็นปรมาจารย์รุ่นเยาว์ของสำนักนินจาอิงะจริงๆอย่างงั้นเหรอ..ให้ฉันบอกความจริงกับแกไหมว่าตอนนี้สมาชิกส่วนใหญ่ของตระกูลฟูมะของแกน่ะตายกันไปหมดแล้ว..มันไม่มีใครจะมาช่วยแกได้หรอก”
ฟูมะฮายาคุจิเองก็เดาตอนจบของสถานการณ์นี้เอาไว้แล้ว ซึ่งถ้าไม่ใช่เช่นนั้นจริงๆเหล่าสมาชิกของตระกูลฟูมะก็คงจะปรากฏตัวออกมาเพื่อมาช่วยพวกเขาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเมื่อฟังคำพูดของนากาซาวะเคโกะแล้วฟูมะฮายาคุจิก็มั่นใจได้แล้วว่าสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลฟูมะคงจะบาดเจ็บไม่ก็ล้มตายกันไปหมดเสียแล้ว
ในความมืดหลินเฟิงก็มองไปที่ไป๋ฮวยและพูดว่า “นายคิดว่าไง?”
ไป๋ฮวยก็ยักไหล่แล้วพูด “เห็นได้ชัดว่าดันโซบายาชิก็ถูกผู้หญิงคนนี้หลอกด้วยและเป้าหมายของผู้หญิงคนนี้ก็ชัดเจนและนั่นคือการยึดครองสำนักนินจาอิงะและฉันก็คิดว่ามันคงจะไม่ใช่แค่ตระกูลฟูมะเท่านั้นแต่แม้กระทั่งตระกูลฮัตโตริและตระกูลดันโซก็เช่นกัน”
หลินเฟิงก็ถึงกับผงะและขมวดคิ้วจากนั้นก็พูดว่า “ฉันคิดว่าสำนักนินจาอิงะยังมีประโยชน์อยู่..ถ้าสำนักอิงะถูกทำลายไปมันจะไม่ดีสำหรับเราเพราะถ้าไม่มีสำนักอิงะล่ะก็สมาคมมังกรดำจะหันมาเพ่งเล็งพวกเราเป็นหลัก”
ไป๋ฮวยก็แสยะยิ้มแล้วรอยยิ้มที่มั่นใจก็ปรากฏขึ้นจากนั้นเขาก็พูดว่า “เรามาดูกันต่อเถอะ..การแสดงดีๆมันยังไม่เริ่ม”
หลินเฟิงก็เหลือบมองไปที่ไป๋ฮวยและเมื่อเขาเห็นรอยยิ้มที่ลึกลับและมั่นใจของไป๋ฮวยแล้วหลินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเพราะเขารู้สึกเบาๆว่าไป๋ฮวยนั้นได้คำนวณทุกอย่างเอาไว้แล้วและทุกอย่างก็อยู่ภายใต้การควบคุมของไป๋ฮวย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไป๋ฮวยไม่ได้พูดอะไรหลินเฟิงจึงไม่คิดที่จะถามต่อ
หลังจากได้ยินที่นากาซาวะเคโกะพูดดันโซบายาชิก็ตกตะลึงเล็กน้อยและถามด้วยความประหลาดใจว่า “ที่รัก..คุณเตรียมการเอาไว้ตั้งแรกแล้วเหรอ”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “จนถึงตอนนี้คุณยังไม่เข้าใจหรอ..คุณเองก็ถูกผู้หญิงคนนี้หลอกด้วยเพราะเธอต้องการกำจัดคุณเช่นกัน..ผมเกรงว่าตอนนี้แม้แต่สมาชิกในตระกูลดันโซของคุณก็คงจะบาดเจ็บล้มตายกันไปแล้ว..คุณไม่สงสัยบ้างเหรอ?”
ดันโซบายาชิก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ที่รัก..เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆใช่มั้ย?”
“ผู้อาวุโสดันโซ..คุณจะไปฟังคนนอกแล้วทำให้เราแตกแยกทำไม..เขาอยากให้เราขัดแย้งกัน” นากาซาวะเคโกะพูด “เมื่อฉันแจ้งให้คุณทราบฉันก็ได้จัดเตรียมสมาชิกของตระกูลดันโซเพื่อจัดการกับตระกูลฟูมะและตระกูลฮัตโตริ..ถ้าเราไม่ถอนรากถอนโคนล่ะก็ถึงแม้ว่าเราจะฆ่าสองผู้นำอย่างฟูมะฮายาคุจิและฮัตโตริชิฮิโระไปมันก็ไม่จบไม่สิ้นอยู่ดี”
หลังจากที่ดันโซบายาชิตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมและพูดว่า “ช่างรอบคอบจริงๆ” จากนั้นเขาก็หันไปมองที่ฟูมะฮายาคุจิแล้วพูดว่า “ยังไง?..พวกคุณยังคิดที่จะต่อต้านอยู่อีกไหม?..ถ้ายังไม่ยอมจำนนก็อย่ามาโทษที่ผมโหดร้ายกับพวกคุณก็แล้วกัน”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เพราะดูเหมือนว่าดันโซบายาชิจะโง่เขลากว่าฟูมะฮายาคุจิและฮัตโตริชิฮิโระมาก ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่สถานะของตระกูลดันโซตะด้อยกว่าตระกูลฟูมะและตระกูลฮัตโตริ แต่ ณ จุดๆนี้เย่เชียนก็ยังไม่เห็นข้อเท็จจริงต่อหน้าเขาจึงไม่สามารถสรุปอะไรได้
ในขณะที่คนอื่นๆคุยกันนั้นฟูมะฮายาคุจิและฮัตโตริชิฮิโระก็กำลังใช้ผ้าห้ามเลือดในช่องท้องของตัวเอง อย่างไรก็ตามเนื่องจากการสูญเสียเลือดมากเกินไปใบหน้าของพวกเขาจึงดูซีดเซียวเล็กน้อย เมื่อเห็นเช่นนั้นฟูมะฮายาคุจิก็พูดว่า “ฝันไปเถอะ..ถ้าจะยอมก้มหัวให้แกฉันยอมตายซะยังดีกว่า..ถ้างั้นก็รีบฆ่าฉันเถอะเพราะถ้าฉันรอดชีวิตไปได้ฉันจะฆ่าล้างบางตระกูลดันโซของแกให้สิ้น!”
“แกกำลังจะตายแต่ยังปากดีได้อยู่อีกเหรอ” ดันโซบายาชิพูด “ถ้างั้นก็อย่ามาโทษฉันที่หลังก็แล้วกัน” ดันโซบายาชิก็โบกมือบอกคนของเขาว่า “ฆ่าคาเอดะซะ!..ฉันอยากจะเห็นจริงๆว่าแกจะอดทนได้สักแค่ไหน”
ทันทีที่เสียงหายไปนินจาสองคนของตระกูลดันโซก็เดินเข้าไปหาคาเอดะ ซึ่งคาเอดะเองก็รู้สึกกลัวเล็กน้อยเพราะเขายังหนุ่มยังแน่นและมีอนาคตยังอีกยาวไกลเขาจึงไม่อยากตายไปแบบนี้ เมื่อนึกถึงความตายคาเอดะก็อดไม่ที่จะหวาดกลัวและแม้ว่าเขาจะฝึกฝนวิชานินจามาตั้งแต่ยังเด็กและมีความกล้าหาญในแบบที่เด็กคนอื่นๆไม่มีก็ตามแต่เมื่อเผชิญหน้ากับความตายเช่นนี้แล้วเขาก็ไม่สามารถที่จะที่จะควบคุมสติของตัวเองได้เลย
“อย่าฆ่าผม..ขอร้องล่ะอย่าฆ่าผมเลย..ผมยอมแล้ว..ตราบใดที่คุณไม่ฆ่าผมล่ะก็คุณสามารถสั่งให้ผมทำอะไรก็ได้ผมยอมทุกอย่าง..ผมจะเป็นสุนัขรับใช้ของคุณ..ผมสามารถกัดใครก็ได้ที่คุณอยากให้ผมไปกัด”
เมื่อเห็นว่าคาเอดะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ดันโซบายาชิก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ส่วนนากาซาวะเคโกะก็แสยะยิ้มอย่างบ้าคลั่งแต่ทางด้านของฟูมะฮายาคุจินั้นถึงกับสั่นสะท้านเพราะปรากฏว่าหลานชายของเขากลายเป็นคนขี้กลัวและขี้ขลาดอย่างมากที่ถึงกับยอมคุกเข่าลงต่อหน้าศัตรูซึ่งเป็นเรื่องน่าละอายใจและเสื่อมเสียเกียรติของตระกูลฟูมะอย่างยิ่ง
ฮัตโตริชิฮิโระก็ดูถูกเหยียดหยามและพูดว่า “โชคดีที่ตระกูลฮัตโตริของผมไม่มีลูกหลานแบบนี้..ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษหลังความตายอย่างแน่นอน”
ฟูมะฮายาคุจิก็รู้ดีว่าฮัตโตริชิฮิโระนั้นกำลังพูดถึงตระกูลฟูมะ ดังนั้นความโกรธในใจของเขาก็ไม่สามารถอัดอั้นได้อีกต่อไปเพราะตอนนี้มีคนนอกมาพูดว่าตระกูลฟูมะนั้นน่าสมเพชแค่ไหนเขาจึงทนไม่ได้และสิ่งนี้ก็ทำให้ฟูมะฮายาคุจิสูญเสียอาการไปอย่างมาก หลังจากนั้นฟูมะฮายาคุจิก็หันไปมองคาเอดะแล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ไอ้หลานชายสารเลว..เอ็งรู้ไหมว่าเอ็งกำลังทำอะไรอยู่..เอ็งจะทำให้ตระกูลของเราเสื่อมเสียเกียรติอย่างงั้นเหรอ?..ตระกูลฟูมะของเราจะมีคนที่กลัวตายและก้มหัวให้ศัตรูได้ยังไง?”
“ท่านปู่..ท่านมองสถานการณ์ในปัจจุบันไม่ออกหรอครับ?..หากเราไม่ยอมแพ้เราก็มีแต่จะตายไปอย่างไร้ประโยชน์..ผมยังไม่อยากตาย..ผมสามารถมีอนาคตที่ดีได้มากกว่านี้” คาเอดะพูด “ท่านปู่เรายอมแพ้กันเถอะ..ผู้อาวุโสดันโซจะปล่อยพวกเราไปเพื่อเห็นแก่สองตระกูลของเรา..ตระกูลของเราเป็นผู้นำของสำนักนินจาอิงะมานานแล้วเพราะงั้นมันก็ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะปล่อยวางซะบ้าง”
.
.
.
.
.
.
.