ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 71 การประมูลเครื่องประดับ ( 2)
“ขอบคุณนะ… แต่ไม่ล่ะ” ฉินหยูปฏิเสธอย่างเย็นชา พูดจบเธอก็ควงแขนเย่เชียนเข้าไปข้างในงานทันที
ระหว่างการสนทนาทั้งหมดเมื่อครู่นี้ เหว่ยเฉินหลงไม่แม้แต่จะเหลือบมองเย่เชียนเลยสักนิดเดียว เขาทำเหมือนกับว่าเย่เชียนไม่ได้ยืนอยู่ที่นั่นด้วยอีกคน แม้ว่าเย่เชียนจะสวมสูทผูกเนคไทราคาแพงแล้วก็ตาม แต่มันก็เป็นเพียงเสื้อผ้าอาภรณ์ภายนอก เขาคิดว่าเนื้อในที่แท้จริงเย่เชียนก็ยังคงเป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดา ๆ คนเดิมที่ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะอยู่ในสังคมชนชั้นสูง และเขาเชื่อว่าถึงแม้ฉินหยูจะอยู่กับเย่เชียนในตอนนี้ แต่มันก็คงเป็นเพียงแค่เวลาสั้น ๆ เท่านั้น ไม่ช้าก็เร็ว สักวันหนึ่งฉินหยูก็จะรู้ตัวว่าเย่เชียนนั้นไม่ใช่คนที่คู่ควรกับเธอ เพราะเธอกับตัวเขาเองนั่นแหละที่เหมาะสมและคู่ควรกันมากที่สุด
อันที่จริงเย่เชียนไม่ได้โกรธหรือเกลียดพวกทายาทเศรษฐีไปเสียทุกคน เขาคิดว่าคนพวกนั้นแค่เกิดมาโชคดีก็เท่านั้นเอง แต่ทว่าการที่ทายาทเศรษฐีบางคน เมื่อพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากคนเป็นพ่อเป็นแม่ มันกลับทำให้พวกเขากลายเป็นบุคคลที่หยิ่งผยองและยโสโอหังยิ่งนัก
อย่างเช่นเหว่ยเฉินหลงก็เป็นคนหนึ่งล่ะที่ดูถูกเขาและไม่แยแสเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่าเย่เชียนเองก็ไม่ต้องการเสวนากับคนอย่างเหว่ยเฉินหลงเช่นกัน เหว่ยเฉินหลงนั้นแค่แสร้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษต่อหน้าฉินหยู เย่เชียนเดาได้ไม่ยากว่าเหว่ยเฉินหลงกำลังคิดอะไรอยู่
อย่างไรก็ตาม ถึงเย่เชียนจะไม่ชอบคนอย่างเหว่ยเฉิงหลงเป็นอันมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะต้องลงไม้ลงมือหรือไปทำอะไรเขา
……
เมื่อเข้ามาในโรงแรม พวกเขาเห็นล็อบบี้ของโรงแรมถูกใช้เป็นพื้นที่จัดแสดงอัญมณีและเครื่องประดับต่าง ๆ สำหรับการประมูลในค่ำคืนนี้ ส่วนเวทีด้านบนนั้น มันเฉิดฉายไปด้วยหลอดไฟนีออนทุกเฉดสีทุกรูปแบบ ในขณะที่พื้นที่ตรงกลางโถงล็อบบี้ก็เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายเรียงกันเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ
เห็นได้ชัดว่าเวทีนี้ได้รับการออกแบบและตกแต่งเป็นพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ นี่มันไม่ใช่ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ที่ง่ายดายเลย
เย่เชียนไม่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องประดับหรืออัญมณีใด ๆ และเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงทุกคนถึงได้โปรดปรานพวกมันถึงขนาดนี้ เขามองว่าอัญมณีและเครื่องประดับทั้งหลายมันเป็นอีกหนึ่งในการทำธุรกิจเพื่อหารายได้ มันสามารถทำกำไรให้กับเจ้าของธุรกิจได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
เย่เชียนและฉินหยูกำลังมองหาที่นั่งเหมาะ ๆ สำหรับนั่งชมการประมูลในค่ำคืนนี้ เย่เชียนกวาดสายตามองไปทั่วทุกสารทิศเพียงเพื่อดูผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาในโรงแรมอย่างต่อเนื่อง เขาเห็นว่าแขกเกือบจะทั้งหมดต่างก็เป็นกุลสตรีจากชนชั้นสูงกันทั้งนั้น ดูเหมือนว่าพวกเธอทุกคนจะส่งยิ้มอยู่ตลอดเวลาจนเย่เชียนคิดว่าพวกเธอนั้นสวมหน้ากากอยู่หรืออย่างไร
หากดูจากแขกเหรื่อมากมายที่ยังคงทยอยกันเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย นั่นก็หมายความว่าชื่อเสียงของแมรี่ในประเทศจีนนั้นไม่ใช่น้อย ๆ เลย
“หยูหยู่… วันนี้คุณน่ะซื้อเสื้อผ้าให้ผมตั้งเยอะแยะ ถ้างั้นคืนนี้คุณชอบเครื่องประดับหรืออัญมณีชิ้นไหน คุณก็บอกผมมาได้เลยนะ” เย่เชียนพูดอย่างอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มที่จริงใจ
ฉินหยูชะงักไปชั่วขณะและมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจพร้อมพูดว่า “นายล้อกันเล่นใช่มั้ยเนี่ย ? นายไม่รู้หรือไงว่ามาสเตอร์แมรี่น่ะเป็นนักออกแบบเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงระดับโลกเชียวนะ ผลงานทุกชิ้นของเธอนั้นต้องใช้เงินอย่างน้อยหนึ่งแสนหยวนเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง… แถมคืนนี้ยังเป็นงานประมูลเพื่อการกุศลอีก ฉันเกรงว่าราคามันจะดีดสูงขึ้นไปอีกมากจากหลาย ๆ คนที่มาเข้าร่วมการประมูล แล้วนายจะไหวเหรอ ?”
เย่เชียนยิ้มอย่างอ่อนโยนและตอบว่า “มันไม่สำคัญหรอก… ตราบใดที่คุณชอบมัน ผมก็จะหาทางเอามันมาให้คุณเอง”
“เย่เชียน… นายห้ามไปก่อเรื่องอะไรโดยเด็ดขาดเชียวนะ! วันนี้มาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก ต่อให้นายไปขโมยมันมาได้ แต่นายก็ต้องเดือดร้อนอีกแน่” ฉินหยูพูดอย่างกังวลและพูดต่ออีกว่า “นายไม่ต้องกังวลไปหรอก… เพราะคืนนี้ฉันมาเพื่อชมพวกมันเฉย ๆ น่ะ ไม่ได้จะร่วมประมูล”
เย่เชียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “โธ่! คุณพูดอะไรน่ะ ? คุณคิดว่าผมจะไปขโมยมันเหรอ ? ผมมีวิธีของผมก็แล้วกันหน่า คุณแค่เลือกอันที่คุณชอบมาก็พอ”
ฉินหยูพยักหน้าเบา ๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก เธอไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจังเลย นอกจากนี้เธอก็ไม่ชอบใส่เครื่องประดับราคาแพงหรูหราอะไรพวกนั้นด้วยเพราะเธอคิดว่าเครื่องประดับที่สวยงามและมีค่า มันไม่จำเป็นที่จะต้องราคาแพงเสมอไป แม้แต่เครื่องประดับตามแผงร้านขายของข้างถนนก็สวยงามเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถซื้อได้ในราคาไม่กี่หยวน บางครั้งเธอเองก็ชอบเครื่องประดับราคาย่อมเยาเหล่านั้นมากกว่าพวกอันที่มีราคาแพงเสียอีก
เย่เชียนคิดกับตัวเองว่าการมาเยือนของแมรี่นั้นคงไม่ได้เป็นแค่เรื่องบังเอิญ เขาไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังงานเหล่านี้พยายามเล่นกลอุบายอะไร แต่ในเมื่อค่ำคืนนี้เขามาอยู่ที่นี่กับฉินหยู เขาคิดว่าอย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ควรจะเพลิดเพลินไปกับการจัดแสดงเครื่องประดับและอัญมณีหายากเหล่านั้นไปกับเธอก่อน ส่วนพวกที่หลบอยู่ในเงามืด เขาค่อยไปจัดการกับพวกเขาเหล่านั้นหลังจากจบงานนี้ก็ยังไม่สาย
……
เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจ ล็อบบี้ของโรงแรมขนาดใหญ่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คนล้นหลาม ซึ่งว่ากันไปตามความเป็นจริงแล้ว การมาร่วมงานประเภทนี้ ส่วนมากพวกผู้ชายก็มักจะให้ความสำคัญกับนางแบบและผู้หญิงสวย ๆ เสียมากกว่า สำหรับเครื่องประดับและอัญมณีเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรในตัวพวกมันเลยถ้าผู้หญิงของพวกเขาไม่ต้องการมันมาครอบครอง
อย่างไรก็ตาม นั่นรวมไปถึงตัวเย่เชียนด้วยเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้เมื่อเขามีเวลาว่าง เขามักจะไปดูแฟชั่นโชว์และมอเตอร์โชว์อยู่บ่อยครั้ง แต่เขามุ่งเป้าไปที่นางแบบเซ็กซี่ ๆ เท่านั้น นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาเข้าร่วมงานจัดแสดงโชว์เครื่องประดับชั้นนำ ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญของงานที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ… บรรดาผู้หญิงสวย ๆ ทั้งหลาย
หลังจากนั้นไม่นาน พิธีกรก็ขึ้นมาบนเวทีและกล่าวสองสามประโยคเพื่อเป็นการประกาศการเปิดงานอย่างเป็นทางการ เมื่อพิธีกรพูดจบ แสงไฟทั้งหมดก็ค่อย ๆ หรี่ลงจนดับไป เหลือเพียงแสงไฟจากสปอตไลท์ที่ฉายไปที่นางแบบบนเวที สาว ๆ นางแบบสุดแสนจะเซ็กซี่แต่ละคนค่อย ๆ เดินออกมาพร้อมกับแสดงเครื่องประดับที่พวกเธอสวมใส่ไปด้วย แต่ในสายตาของเย่เชียนนั้น มันเหมือนพวกเธออวดเรือนร่างมากกว่าที่จะอวดเครื่องประดับเสียอีก
อย่างไรก็ตาม อัญมณีเหล่านั้นมีสีสันแพรวพราวอย่างแท้จริง ผู้หญิงบางคนรู้สึกตื่นเต้นไปกับการแสดงบนเวที ในขณะที่หลายคนเริ่มโน้มร่างกายไปยังผู้ชายของพวกเธอข้าง ๆ อย่างอ่อนโยน พร้อมทั้งถูหน้าอกหน้าใจเข้าไปที่แขนของผู้ชายและเริ่มพูดด้วยท่าทางเขินอายเพื่อสื่อให้รู้ว่าพวกเธอนั้นชอบเครื่องประดับเหล่านั้นมากแค่ไหน ในขณะที่เหล่าสุภาพบุรุษทั้งหลายวางมาดอย่างสง่าผ่าเผยเสมือนสัญญาว่าพวกเขาจะมอบของขวัญเหล่านี้ให้กับผู้หญิงของตนอย่างแน่นอนในภายหลัง
เย่เชียนมองไปที่ฉินหยูอย่างอ่อนโยนราวกับกำลังคาดหวังว่า เธอจะบอกกับเขาว่าเธอชอบเครื่องประดับจากการแสดงโชว์ชิ้นไหน แต่เย่เชียนก็ต้องผิดหวังกับฉินหยูเพราะเธอเพียงจ้องมองนางแบบบนเวทีอย่างเฉยเมยและไม่มีท่าทีว่าจะอยากได้เครื่องประดับชิ้นไหนเลย
“คุณอยากได้ชิ้นไหนมั้ย ? เดี๋ยวผมไปเอามาให้…” เสียงที่น่ากวนใจดังเข้ามาในหูของเย่เชียน เขารู้สึกแปลกใจอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางต้นเสียง ทันใดนั้นสายตาของเขาก็พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่คาบอมยิ้มอยู่ในปาก ชายคนนั้นถือแล็ปท็อปและกำลังจดจ่ออยู่กับการเล่นเกม
“โธ่เอ๊ย! นายอยากจะให้ฉันหัวใจวายตายหรือไง ?!” เย่เชียนจ้องมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้นและตะคอกใส่
ดูเหมือนว่าเจ้าหนูคนนี้จะไม่ได้สนใจสิ่งที่เย่เชียนพูดเลย เขายังคงจดจ่ออยู่กับการเล่นเกม แต่ไม่นาน หลังจากที่ได้ยินเสียง ‘เกมโอเวอร์’ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นและดึงอมยิ้มออกจากปาก เขามองไปที่ฉินหยูแล้วถามว่า “นี่พี่สะใภ้เหรอ ?”
“นายมีอะไรหรือเปล่า ? แล้วมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” เย่เชียนถามเบา ๆ
“เพิ่งจะถึงเมื่อเช้านี้เอง…” ชายหนุ่มตอบ หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปมองที่ฉินหยูอีกครั้งพร้อมกับยิ้มให้ จากนั้นก็พูดด้วยภาษาจีนที่ไม่ถนัดเอาเสียเลยว่า “พะ… พี่สะใภ้ สวัสดี! ผมชื่อแจ็คฮะ เป็นน้องชายตัวน้อย ๆ ของพี่เย่เชียนฮะ”
ฉินหยูหันหน้าไปมองเด็กผู้ชายชาวต่างชาติผมสีบลอนด์คนนี้และตกตะลึงเล็กน้อยอยู่พักหนึ่ง เมื่อเธอตั้งสติได้ เธอจึงจับมือทักทายเขาอย่างสุภาพก่อนจะพูดว่า “เธอเข้าใจผิดแล้วหนุ่มน้อย… ฉันกับเย่เชียนเป็นแค่เพื่อนกัน”
แจ็คฉีกยิ้มแล้วนั่งลง จากนั้นเขาก็พูดว่า “อ้อ… ผมเข้าใจฮะ… ผมเข้าใจ อิอิ”
แม้แจ็คจะพูดมาแบบนั้น แต่รอยยิ้มที่ดูคลุมเครือบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อว่าทั้งสองจะเป็นเพื่อนกันจริง ๆ
ซึ่งฉินหยูเองก็ขี้เกียจที่จะมานั่งอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอได้แต่มองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจราวกับอยากจะถามเย่เชียนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ? ทำไมจู่ ๆ เขาถึงมีน้องชายเป็นชาวต่างชาติโผล่มาได้