ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 715 แผนการสายฟ้าแลบ
ตอนที่ 715 แผนการสายฟ้าแลบ
แน่นอนว่าซ่งหลันไม่ได้โทษเย่เชียนจริงๆเพราะเธอรู้ดีถึงการเตรียมการของเย่เชียนและรู้ว่าถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้เข้ามาช่วยเธอแต่ก็ต้องมีใครสักคนเข้ามาช่วยเธออยู่ดี ถ้าเธอจะโกรธซ่งหลันก็คงจะโกรธเย่เชียนไปนานแล้วนอกจากนี้เย่เชียนก็ยังยอมรับความรู้สึกของเธออย่างแท้จริงแล้วซึ่งทำให้เธอมีความสุขมากเพราะหลังจากรอมาหลายปีในที่สุดเธอก็บรรลุผลในเชิงบวกแล้ว
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “ดูที่พี่พูดสิผมเป็นคนแบบนั้นหรือเปล่า..ผมไม่ใช่คนใจร้ายแบบนั้นนะ”
ซ่งหลันก็เหลือบมองเย่เชียนด้วยหางตาแต่ไม่ได้พูดอะไรใดๆ
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและหันไปมองไป๋ฮวยแล้วพูดว่า “พี่ไป๋..ขอบคุณสำหรับเรื่องในวันนี้นะถ้าไม่ใช่เพราะพี่ล่ะก็ผมเกรงว่าผลลัพธ์มันคงไม่ใช่แบบนี้..พี่ไป๋รู้ถึงการเคลื่อนไหวของนากาซาวะเคโกะแล้วไปช่วยเหลือคนของตระกูลฮัตโตริได้ยังไง?”
“เปล่าหรอก..ก็คราวที่แล้วเราพูดถึงนากาซาวะเคโกะและสงสัยในตัวเธอเพราะงั้นจึงส่งคนไปติดตามและสืบเธออย่างลับๆ..ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อะไรมากนักแต่ฉันก็ไม่เพิกเฉย..ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอะไรขึ้นฉันก็เลยส่งคนไปเฝ้าสังเกตการณ์รอบๆละแวกบ้านของตระกูลฮัตโตริ..แต่ฉันไม่ได้คาดหวังเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะสมรู้ร่วมคิดกับคนของกองทัพแห่งชาติ” ไป๋ฮวยพูด
“ผมก็ต้องขอบคุณพี่..ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เกรงว่าตอนจบของวันนี้จะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง..ถ้าหากสำนักนินจาอิงะถูกทำลายไปมันจะไม่เป็นผลดีสำหรับเรา..ซึ่งในตอนนี้มันเป็นเรื่องดีอย่างมากที่เราได้เป็นพันธมิตรกับสำนักนินจาอิงะและอย่างน้อยๆพวกเขาก็สามารถรับมือกับพลังส่วนหนึ่งของสมาคมมังกรดำได้ซึ่งเป็นประโยชน์กับเรามาก” เย่เชียนพูดอย่างช้าๆ “ผมเชื่อว่าหลังจากนี้เหล่าตระกูลนินจาจะต้องเกลียดสมาคมมังกรดำอย่างแน่นอนและพวกเขาก็จะเริ่มต่อต้านสมาคมมังกรดำอย่างบ้าคลั่งเพราะงั้นสิ่งนี้จะช่วยเราได้มาก”
“สิ่งต่างๆมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสมอไป..ฉันได้ยินบทสนทนาระหว่างฟูมะฮายาคุจิกับพวกสมาคมมังกรดำอย่างชัดเจน..ซึ่งเห็นได้ชัดว่าฟูมะฮายาคุจิตั้งใจจะใช้ตัวนายไปทำข้อตกลงกับสมาคมมังกรดำเพื่อแลกกับความมั่นคงของตระกูลฟูมะ..เพราะงั้นถึงแม้ว่าตอนนี้พวกผู้นำของตระกูลนินจาจะต่อต้านสมาคมมังกรดำก็ตามแต่สำหรับนักการเมืองแล้วพวกเขาจะได้รับผลประโยชน์อย่างมาก..บางทีคนเหล่านั้นอาจจะหักหลังนายเพื่อผลประโยชน์ของทางการเมืองก็เป็นได้..ด้วยเหตุนี้เราถึงต้องระมัดระวังเอาไว้” หลินเฟิงพูดอย่างช้าๆ
“ใช่!..สำหรับพวกเขาแล้วก็เราเป็นแค่คนนอก..ไม่ว่าความคิดเห็นทางการเมืองของพวกเขาจะแตกต่างกันยังไงแต่เมื่อต้องเผชิญกับความยุติธรรมของชาติแล้วพวกเขาจะละทิ้งทุกอย่างเสมอ..ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เบื้องหลังสิ่งต่างๆก็ยังเกี่ยวข้องกับกองทัพเพราะงั้นสิ่งต่างๆจึงซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ..แต่ทว่าในสถานการณ์ปัจจุบันดูเหมือนมันจะเป็นประโยชน์กับเรามากแต่มันก็เต็มไปด้วยความอันตรายเช่นกัน..ฉันจึงคิดว่าตอนนี้เราควรจะเคลื่อนไหวให้เร็วที่สุดเพราะพวกเขาคงไม่มีเวลาที่จะมาสนใจเราในตอนนี้อย่างแน่นอน” ไป๋ฮวยพูด
“พี่ไป๋..ผมรู้ว่าพี่มีแผนเพราะงั้นพี่มีอะไรจะแนะนำพวกเรามั้ย?” เย่เชียนถาม ซึ่งเย่เชียนได้ชื่นชมไป๋ฮวยมาโดยตลอดเกี่ยวกับแผนการและกลยุทธ์ สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้เพราะหลังจากที่ใช้เวลาอยู่กับไป๋ฮวยในเขี้ยวหมาป่ามานานเย่เชียนก็รู้ว่าการมองการณ์ไกลของไป๋ฮวยนั้นยอดเยี่ยมเสมอ เพราะถ้าเทียบกับตัวเองแล้วเย่เชียนนั้นมีสติปัญญาที่ดีแต่ก็เป็นเพียงเฉพาะหน้าเท่านั้นแต่สำหรับไป๋ฮวยแล้วเขามีสติปัญญาที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าโดยทุกๆแผนการล้วนมีมุมมองโดยรวมและวิเคราะห์ได้เฉียบขาดอย่างยิ่ง
“ที่จริงมันก็พูดยากเพราะงั้นไม่ง่ายเลย” ไป๋ฮวยพูดช้าๆ “ถ้าเราต้องการทำให้สมาคมมังกรดำไม่สนใจเราล่ะก็วิธีเดียวก็คือเราต้องสร้างสถานการณ์เพื่อเบี่ยงเบนสิ่งต่างๆและพวกเขาก็จะเพิกเฉยต่อการดำรงอยู่ของเราและจัดการกับเรื่องอื่นๆอย่างเต็มกำลัง..ซึ่งการเลือกตั้งพรรครัฐบาลก็กำลังจะมาถึงและฉันก็เชื่อว่าทุกฝ่ายคงจะกำลังยุ่งอยู่กับสิ่งต่างๆเพราะงั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่ดีของเรา”
“ไป๋ฮวยนายช่วยบอกรายละเอียดเพิ่มเติมหน่อยได้ไหมเพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ทุกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวาย” หลินเฟิงถาม ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าคำแนะนำของไป๋ฮวยนั้นดีมากแต่มันก็ยากมากที่จะให้สำเร็จได้
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มเพราะในเมื่อไป๋ฮวยให้คำแนะนำเช่นนี้เขาจึงต้องเตรียมพร้อมถ้าไม่เช่นนั้นไป๋ฮวยก็จะไม่เสนอแนะสิ่งต่างๆอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็เป็นคนที่รู้จักไป๋ฮวยดีที่และไป๋ฮวยเองก็รู้จักเย่เชียนดีที่สุดเช่นกัน ดังนั้นการร่วมมือของทั้งสองถึงแม้ว่าบางครั้งจะไม่มีการสื่อสารกัยด้วยวาจาแต่พวกเขาก็สามารถให้ความร่วมมือกันได้โดยปริยาย
ปากของไป๋ฮวยก็ฉีกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายและเมื่อเห็นรอยยิ้มนี้หลินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทาเพราะเขารู้สึกอย่างแผ่วเบาว่าแผนของไป๋ฮวยจะต้องโหดร้ายและแยบยลอย่างมาก ซึ่งในความเป็นจริงมันก็เป็นเรื่องจริงอย่างที่หลินเฟิงคิดเพราะเมื่อไหร่ที่ไป๋ฮวยบอกแผนการของเขาทุกคนก็จะต้องตกใจ ส่วนซ่งหลันเองก็สั่นสะท้านไปทั้งตัวเช่นกันและเธอก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูกเพราะผู้ชายที่ดูเย็นชาคนนี้ค่อนข้างน่ากลัว ซึ่งถ้าหากคนๆนี้กลายเป็นคู่ต่อสู้ไปล่ะก็มันคงจะน่ากลัวอย่างมาก
หากเป็นเย่เชียนล่ะก็เขาจะไตร่ตรองและพิจารณาถึงผลกระทบของสิ่งต่างๆ แต่สำหรับไป๋ฮวยแล้วเขาจะไม่พิจารณาสิ่งเหล่านี้เพราะสำหรับเขามีเพียงองค์กรของเขาและพรรคพวกของเขาเท่านั้นที่เขาสนใจ ส่วนสิ่งอื่นๆรวมถึงความสัมพันธ์ของแต่ละคนนั้นไป๋ฮวยก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเย่เชียนก็พูดต่อ “พี่ไป๋..แบบนี้มันไม่ลำบากไปหน่อยเหรอ?”
“อะไรกัน?..นายจะกังวลไปทำไมพวกนั้นไม่ใช่คนดี..เพราะงั้นมันก็สมควรแล้ว” ไป๋ฮวยก็พูดต่อ “ถ้านายทำไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง..นายรับบทเป็นพระเอกต่อไปเถอะเดี๋ยวฉันจะรับบทเป็นตัวร้ายให้!”
“ไม่..ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เย่เชียนก็พูดว่า “ผมรู้ว่าพี่ทำเพื่อประโยชน์ของสถานการณ์โดยรวม” จากนั้นเขาก็หันไปมองหลินเฟิงแล้วพูดว่า “พี่หลิน..พี่คิดยังไงบ้าง?”
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งหลินเฟิงก็พูดว่า “นี่เป็นวิธีที่ดีเพราะมันสามารถเบี่ยงเบนสายตาของศัตรูไปจากเราได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด..นอกจากนี้เครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ได้และเป็นโอกาสที่ดีที่จะขยายอิทธิพลและอำนาจของพวกเราในประเทศญี่ปุ่นอย่างรวดเร็วและเมื่อเรื่องได้รับการแก้ไขแม้ว่าทั้งสามฝ่ายจะต้องการย้ายเราพวกเขาก็ต้องพิจารณาผลที่ตามมา”
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “เอาล่ะ..ถ้างั้นก็เป็นไปตามนั้น..แต่เรื่องนี้มันต้องใช้กำลังคนจำนวนมาก..ผมเกรงว่ามันจะต้องมีการสูญเสียไม่น้อยเลย..ผมจะติดต่อคนอื่นๆและขอให้พวกเขาส่งคนมาช่วยก็แล้วกัน..นอกจากนี้คนของเราก็กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดอีกด้วย..ในตอนนี้พวกเราเคลื่อนไหวกันยากลำบากมาก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นไป๋ฮวยก็พูดว่า “เรื่องนี้ปล่อยให้ฉันกับคนของฉันจัดการเอง..เขี้ยวหมาป่าอย่างพึ่งเคลื่อนไหวจะดีกว่าเพราะในตอนนี้พวกกองทัพแห่งชาติกำลังจับตามองพวกนายอยู่..ถ้าพวกนายเริ่มเคลื่อนไหวกันมันจะไปดึงดูดความสนใจจากนั้นแผนของเราก็จะพัง”
ถึงแม้จะพูดอย่างนั้นแต่เย่เชียนก็รู้ดีว่าไป๋ฮวยกำลังช่วยแบ่งเบาภาระของเขี้ยวหมาป่าเพราะการแบบทำนั้นมันไม่ง่ายเลยและอาจจะต้องมีการเสียสละมากมายอย่างแน่นอน เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้จะเห็นได้ชัดว่าไป๋ฮวยกำลังปกป้องเขี้ยวหมาป่าทางอ้อม อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะเขาชัดเจนมากเกี่ยวกับทัศนคติของไป๋ฮวย เพราะฉะนั้นเนื่องจากไป๋ฮวยได้ตัดสินใจไปแล้วไม่ว่าเย่เชียนจะคัดค้านอย่างไรมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
เช่นเดียวกับครั้งที่แล้วที่ไป๋ฮวยไปพบชิงเฟิงเพียงลำพังเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนสำหรับครั้งนั้น ซึ่งอันที่จริงแล้วเย่เชียนเองก็รู้ดีว่าทั้งหมดทั้งมวลเป็นแผนการของไป๋ฮวยแต่ทว่าเรื่องต่างๆได้เกิดขึ้นไปแล้วดังนั้นเย่เชียนจึงไม่คิดที่จะโทษไป๋ฮวยหรือชิงเฟิงเพราะสิ่งเดียวที่เขาทำได้คือต้องทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จเพื่อตอบแทนพี่น้องที่ต้องเสียสละไปนั่นเอง
ตอนนี้เรื่องทั้งหมดก็ได้รับการตัดสินและทุกคนลงมติเป็นเอกฉันท์แล้วดังนั้นมันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอภิปรายกันอีกครั้ง สำหรับรายละเอียดแล้วพวกเขาก็จะพูดคุยกันอย่างละเอียดและนำไปใช้อย่างเป็นทางการหลังจากนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำและเขาก็ยังต้องรับผิดชอบในการติดต่อกับองค์กรอื่นๆเพื่อขอการสนับสนุนอีกและนี่เป็นแผนการระยะยาวดังนั้นเย่เชียนจะหย่อนยานหรือเพิกเฉยได้เลย
ระหว่างทางเย่เชียนก็ส่งไป๋ฮวยกับหลินเฟิงลงจากรถที่หน้าโรงแรมหลังจากนั้นเย่เชียนก็ขับรถไปที่ร้านอาหารพร้อมกับซ่งหลัน เพราะเมื่อพูดถึงเรื่องนี้มันก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่ที่เย่เชียนมาถึงประเทศญี่ปุ่นแต่เขาไม่ได้อยู่กับซ่งหลันเลย ดังนั้นเย่เชียนจึงรู้สึกขอโทษซ่งหลันจริงๆและถึงแม้ว่าเขาจะยอมรับเธอแล้วก็ตามแต่เขาก็ยังรู้สึกห่างเหินกับเธออยู่ดีและไม่ค่อยมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ดังนั้นเมื่อสถานการณ์โดยรวมมีเสถียรภาพแล้วเย่เชียนก็ควรใช้เวลาอยู่กับซ่งหลันเสียบ้างและพูดคุยกันอย่างจริงใจเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว
เมื่อไปถึงร้านอาหารแล้วเย่เชียนก็หยุดรถ ส่วนซ่งหลันก็มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดว่า “ทำไมนายถึงอยากกินข้าวกับฉันล่ะ?..นายมาร้านอาหารญี่ปุ่นทำไม..ฉันจำได้ว่านายเกลียดอาหารญี่ปุ่นไม่ใช่หรอ?”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย..อาหารญี่ปุ่นมันก็อร่อยดีมันไม่ได้แย่เสมอไปหรอก..อีกอย่างพี่หลันชอบอาหารญี่ปุ่นมากเพราะงั้นผมก็ควรจะพาพี่มากินเพื่อตอบแทนในหลายๆสิ่งหลายๆอย่างสิ”
ซ่งหลันก็ยิ้มเบาๆและรู้สึกหวานหอมในหัวใจ อย่างไรก็ตามเธอกลับนั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับและเหลือบมองไปที่เย่เชียนแล้วพูด “นายเป็นสุภาพบุรุษเพราะงั้นก็มาเปิดประตูให้ฉันสิ”
เย่เชียนก็ผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ฉีกยิ้มแล้วเปิดประตูรถเดินลงไป จากนั้นก็เปิดประตูรถให้ซ่งหลันอย่างสุภาพบุรุษและเชิญให้เธอลงจากรถ
.
.
.
.
.
.
.