ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 722 ทัศนคติติดลบ
ตอนที่ 722 ทัศนคติติดลบ
มารุยามะมิซูกิคือใคร? เธอคือผู้มีพระคุณของเย่เชียนและเป็นคนที่แนะนำกัปตันเทียนเฟิงให้นำตัวเย่เชียนกลับไปที่องค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าและได้ฝึกสอนเย่เชียนหลายๆอย่างและเป็นครูฝึกคนแรกของเย่เชียน ต่อมาเธอถอนตัวจากเขี้ยวหมาป่าและก่อตั้งองค์กรนักฆ่าดาร์คลิลลี่และในที่สุดองค์กรดาร์คลิลลี่ก็ได้มาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าเพราะเย่เชียนรู้สึกขอบคุณมารุยามะมิซูกิและเคารพเธออย่างมาก อย่างไรก็ตามมารุยามะมิซูกิก็คือมารุยามะมิซูกิส่วนมารุยามะไทจิก็คือมารุยามะไทจิ ดังนั้นไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะเป็นอย่างไรถึงยังไงเย่เชียนก็จะไม่มีวันเดิมพันชะตากรรมของทุกคนในเขี้ยวหมาป่าและนำมาเสี่ยงเพราะความกตัญญูต่อมารุยามะมิซูกิอย่างแน่นอน
มารุยามะไทจินั้นเป็นหัวหน้าแก๊งอินาดะและแก๊งอินาดะก็เป็นเครือข่ายและกองกำลังหลักของสมาคมมังกรดำ ซึ่งถึงแม้ว่ามารุยามะไทจิจะต้องการถอนตัวออกจากการควบคุมของสมาคมมังกรดำก็ตามแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามารุยามะไทจิจะเลือกร่วมมือกับเย่เชียน นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่มารุยามะไทจิคิดจะกำจัดเย่เชียนเพื่อได้รับความดีความชอบจากสมาคมมังกรดำและเพิ่มข้อต่อรองต่างๆซึ่งมันจะช่วยยกระดับสถานะของแก๊งอินาดะอย่างมาก เรื่องดังกล่าวนั้นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ดังนั้นเย่เชียนจึงต้องระมัดระวังอย่างมากเพราะอาจจะมีคนอื่นหลอกใช้ตัวเองเมื่อเขากำลังหลอกใช้คนอื่นอีกที
เมื่อเห็นว่าการแข่งขันศิลปะการต่อสู้กำลังจะจบลงเย่เชียนก็เหลือบมองหลินเฟิงและไป๋ฮวยจากนั้นก็พูดว่า “ไปกันเถอะ..ไปหานักโยคะคนนั้นกัน..ผมคิดว่าให้พี่ไป๋คุยกับเขาน่าจะง่ายกว่า”
ไป๋ฮวยก็ขดปากเล็กน้อยและไม่คัดค้านและเขาก็เหลือบมองไปที่หลินเฟิงแล้วเดินตามเย่เชียนออกไปด้านนอก เมื่อเขามาถึงที่ประตูจู่ๆเย่เชียนก็หยุดและหันไปมองช่างแต่งหน้าแล้วพูดว่า “จำเอาไว้นะว่าเรื่องนี้ต้องไม่รั่วไหลออกไปภายนอก..ไม่งั้น..” ณ จุดนี้เย่เชียนก็หยุดแล้วพูดต่อ “คุณควรจะรู้ผลที่ตามมานะ..เอาล่ะตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วคุณกลับไปได้และไปที่แผนกการเงินของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแล้วไปเบิกเงินส่วนนี้ได้เลย”
ช่างแต่งหน้าก็รู้เรื่องนี้ดีและเธอก็จะภักดีกับเย่เชียนเพราะจะมีประโยชน์มหาศาลแต่ก็ย่อมมีอันตรายโดยธรรมชาติ แต่ตราบใดที่เธอทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเธอก็จะมีอนาคตที่ดี หลังจากตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าช่างแต่งหน้าก็ยืนขึ้นแล้วแสดงความเคารพจนกระทั่งเย่เชียนออกไป จากนั้นเธอก็ออกไปเช่นกัน
จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าโชคของเย่เชียนนั้นจะดีจริงๆแต่ทั้งหมดนี้เป็นการจัดเตรียมของซ่งหลันเพราะซ่งหลันมีความชัดเจนมากเกี่ยวกับจุดประสงค์ของเย่เชียนในการเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้และถึงแม้ว่ารายการการแข่งขันจะถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ก็ตามแต่การเข้าไปแทรกแซงนั้นก็ง่ายมากเช่นกัน เนื่องจากจำนวนผู้เข้าร่วมการแข่งขันมีจำนวนมากซ่งหลันจึงจัดให้เย่เชียนเข้ารอบและจากผู้เข้าแข่งขันหกร้อยหนึ่งคนกลายเป็นสามร้อยหนึ่งคน จากนั้นพวกเขาก็ถูกโหวตออกไปด้วยคะแนนจนกระทั่งเหลือสิบหกอันดับแรก
ความฉลาดของซ่งหลันนั้นคือของจริงและบางอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้เย่เชียนอธิบายเลยเพราะเธอสามารถทำเพื่อเย่เชียนได้ทุกอย่างและรู้ใจเย่เชียนดีนี่คือสิ่งที่เย่เชียนชอบในตัวเธอเช่นกันเพราะผู้หญิงแบบนี้หาได้ไม่ง่ายนัก ซึ่งการได้อยู่เคียงข้างคนๆหนึ่งโดยปราศจากการตำหนิหรือความเสียใจนั้นมันสามารถช่วยให้คนๆนั้นทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จลุล่วงได้ ดังนั้นข้อดีของซ่งหลันจึงอยู่ที่สิ่งนี้ด้วย
ประเทศอินเดียเป็นประเทศของศาสนาพราหมณ์และเป็นประเทศที่มีลำดับชั้นที่เข้มงวด ดังนั้นการแยกแยกจากชนชั้นสูงกับสามัญชนนั้นจึงเข้มงวดอย่างมาก ในทางกลับกันดีห์ราห์เป็นเพียงสามัญชนที่อาศัยอยู่ที่ด้านล่างสุดของสังคมอินเดียและใช้ชีวิตที่ตกต่ำที่สุด ซึ่งเขาถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะและดูถูกเสมอมา
การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ครั้งนี้เป็นโอกาสของดีห์ราห์ที่จะก้าวไปข้างหน้าเพราะเขาไม่มีอะไรเลยแต่บางคนต่างก็มีทักษะเฉพาะของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้ทักษะนี้เพื่อแยกตัวออกจากโลกเดิมๆและขจัดความอัปยศก่อนหน้านี้ไปให้หมด ด้วยเหตุนี้เขาจึงลักลอบเข้าประเทศญี่ปุ่นด้วยความสิ้นหวังเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ครั้งนี้ ตราบใดที่เขาสามารถชนะการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ได้เขาก็จะสามารถเปลี่ยนชีวิตในอดีตได้โดยไม่ถูกเยาะเย้ยอีกต่อไปและเขาก็จะยืนหยัดได้อย่างสมกับการเป็นมนุษย์
ถึงแม้จะมีปัญหามากมายแต่เขาก็ต้องพยายามเพราะนี่เป็นโอกาสเดียวของเขาและเขาจะไม่ยอมแพ้ไปกับเรื่องพวกนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อเขามาถึงประเทศญี่ปุ่นเขาก็พบว่าคนที่รับผิดชอบในการลักลอบขนสินค้าต้องการเงินมากกว่าที่ตกลงกันไว้และต้องการแบล็กเมล์เขา ซึ่งเขาไม่ใช่คนรวยและชีวิตของเขานั้นก็ลำบากมากอยู่แล้ว ซึ่งเงินที่เขาใช้ลักลอบเดินทางข้ามทวีปมาในครั้งนี้ก็เป็นเพราะการกู้ยืมและเงินจากการทำงานหนักมาหลายปี นอกจากนี้เขายังเอาสินสอดทองหมั้นของแม่ไปจำนำเพื่อแลกกับเงินอีกด้วยแต่คนเหล่านั้นก็ยังไม่พอใจเช่นนั้นอีก ดังนั้นเขาจึงพลาดพลั้งไปขัดแย้งกับคนเหล่านั้น
เขารู้ว่าถ้าเขาทำให้คนเหล่านั้นขุ่นเคืองเขาจะลำบากมากแต่การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ก็เป็นเพียงโอกาสเดียวของเขา ดังนั้นเขาไม่สามารถยอมแพ้และจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะสิ้นชีพ ด้วยเหตุนี้เขาจึงกัดฟันฝืนทน
หลังจากการแข่งขันสองวันติดต่อกันดีห์ราห์ก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้มากมายแต่เขาก็ชัดเจนว่ายิ่งเข้ารอบลึกๆมากเท่าไหร่การแข่งขันมันก็จะยิ่งโหดร้ายและดุเดือดมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วดีห์ราห์ก็ออกจากสนามแข่งขันและเดินไปที่โกดังร้างที่เขาอาศัยอยู่ชั่วคราว ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้ใช้เวลานานพอสมควรและเขาก็ไม่มีเงินเหลือเขาจึงไม่มีเงินพอที่จะอาศัยอยู่ในโรงแรม ด้วยเหตุนี้เขาจึงอาศัยอยู่ในโกดังร้างที่ไม่มีใครอาศัยอยู่และตอนเย็นก็ออกไปทำงานพาร์ทไทม์เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเขา ซึ่งเขาก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากตราบใดที่เขาสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้จนการแข่งขันจบเขาก็พร้อมใจที่จะสู้ชีวิต
เมื่อดีห์ราห์เพิ่งออกจากสนามการแข่งขันศิลปะการต่อสู้เขาก็เห็นคนสองสามคนเดินเข้ามาหาเขาจนเขาขมวดคิ้วแน่นแต่มันก็สายเกินไปที่จะหลบหนีแล้ว “ไอ้หนู..การตามหาตัวแกมันง่ายมาก..แกกล้าเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ได้ยังไง?..คราวที่แล้วแกทำให้ลูกน้องของฉันบาดเจ็บสาหัสเพราะงั้นก็จ่ายค่ารักษาพยาบาลบวกกับเงินที่ค้างชำระอยู่มาซะ..ทั้งหมดหนึ่งแสนเยน” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูด
“หนึ่งแสนเยน?..ฆ่าผมให้ตายเถอะ..ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก..ตอนแรกเราก็ต่อรองราคากันแล้วไม่ใช่หรอ..ทำไมพวกคุณถึงกลับคำล่ะ?..อีกอย่างถ้าคนของคุณไม่เริ่มก่อนผมจะไปทำร้ายพวกเขาทำไมล่ะ?” ดีห์ราห์พูดอย่างโกรธเคือง อย่างไรก็ตามมันก็เหมือนกับเป็ดเพราะดีห์ราห์นั้นเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองเสมอมาและเขาก็เข้าใจแค่บางคำ แต่คนเหล่านั้นไม่เข้าใจเขาเลย
“แม่งเอ๊ย..มันหมายความว่าไง?..ไอ้หนู..ฉันบอกแล้วไงว่าถ้าวันนี้แกจ่ายเงินไม่ได้แกจะต้องจ่ายด้วยชีวิต” ชายหนุ่มพูด
“พี่ใหญ่..ชีวิตของพวกอินเดียนแดงมันมีค่าด้วยเหรอ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น
“เปล่า?..ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น” ชายหนุ่มหัวหน้าพูด หลังจากพูดจบทุกคนก็หัวเราะเยาะอย่างช่วยไม่ได้
ถึงแม้ว่าดีห์ราห์จะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไรแต่ดีห์ราห์ก็รู้ดีว่าพวกเขากำลังพูดไม่ดีเกี่ยวกับตัวเองและดูถูกเขา เนื่องจากการถูกเยาะเย้ยและโดนดูถูกมานานเขาจึงสูญเสียสมาธิและความอดทน ดังนั้นหลังจากที่ดีห์ราห์ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านและความโกรธก็ผุดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจเขาต้องการจะโจมตีคนเหล่านั้นในทันที อย่างไรก็ตามเขาก็รู้ดีว่านี่คือประเทศญี่ปุ่นและพวกพ่อค้าลักลอบขนมนุษย์หรือสินค้านั้นมักจะเป็นคนขององค์กรใต้ดิน ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเขาก็น่าจะถูกส่งตัวกลับประเทศอินเดียและความฝันของเขาและทุกอย่างก็จะพังทลายลงในเวลานั้น ยิ่งไปกว่านั้น เขายังรู้ถึงตัวตนของคนเหล่านี้และถ้าเขาทนไม่ได้ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า
“อะไรนะ..แกดูมั่นใจมาก..ถ้าแกไม่มีเงินให้พวกเราล่ะก็อย่ามาโทษที่พวกฉันโหดร้ายก็แล้วกัน” ชายคนนั้นออกคำสั่งและทุกคนก็รีบวิ่งไปที่ดีห์ราห์ทันที
ดีห์ราห์รู้สึกสับสนอย่างมากและไม่รู้ว่าควรทำหรือไม่ทำดีและเขาก็แน่นิ่งอยู่ตรงนั้น “โพล๊ะ!” หลังจากได้ยินเสียงดังเขาก็เห็นว่าคนเหล่านั้นกระเด็นกลับไป เมื่อเห็นเช่นนั้นดีห์ราห์ก็หันกลับไปด้วยความประหลาดใจและเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก เมื่อมองไปที่อีกสองคนเขาก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเพราะหนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มที่ช่วยตัวเองให้รอดในวันก่อน “ไป๋ฮวย..นั่นคุณหรอ?. ดีห์ราห์พูดด้วยความประหลาดใจและเขาก็พูดภาษาจีนได้คล่องมากซึ่งเกินความคาดหมายของเย่เชียนอย่างมาก เหตุผลก็คือคนรักของดีห์ราห์นั้นเป็นชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศอินเดียดังนั้นเขาจึงพูดภาษาจีนได้คล่อง
แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดมากเพราะเขาต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ก่อน เมื่อได้ยินคำพูดของดีห์ราห์แล้วไป๋ฮวยก็พยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรใดๆ
“แกเป็นใคร..แกกล้าที่จะอวดดีขนาดนี้เลยเหรอ..แกรู้มั้ยว่าพวกเราเป็นใคร?..มันจะจบไม่สวยถ้าแกทำให้พวกเราต้องขุ่นเคือง” หัวหน้ากลุ่มพูด
เย่เชียนก็หันหน้าไปเหลือบมองที่ดีห์ราห์แล้วพูดว่า “ลูกผู้ชายควรตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าควรทำอะไรบางอย่างหรือไม่ทำอะไรเลย..ผู้ชายอย่างเราห้ามเสียจิตวิญญาณของนักสู้เป็นอันขาด” ดีห์ราห์รู้สึกประหลาดใจและจ้องมองเย่เชียนด้วยความสงสัย แต่เขาก็เข้าใจว่าเย่เชียนนั้นหมายความว่าการกระทำของเขาโง่เกินไป อย่างไรก็ตามเขาก็มองเย่เชียนขึ้นและลงจากหัวจรดเท้าเพื่อดูเสื้อผ้าของเย่เชียนและรู้ว่าเย่เชียนจะต้องเป็นคนที่ร่ำรวย ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยชอบคำแนะนำแบบนี้มากนักเพราะการเห็นคุณค่าในตนเองและการถ่อมตัวนั้นเป็นสิ่งที่คนดีเขาทำกัน ซึ่งภายใต้ความนับถือตนเองอย่างแรงกล้ามันก็มักมีการถ่อมตัวโดยธรรมชาติ
เย่เชียนก็หันไปมองเหล่าชายหนุ่มที่เพิ่งพูดโดยไม่สนใจดีห์ราห์อีกต่อไปและเย่เชียนก็พูดว่า “ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่แกพูดหรอก..แต่ฉันรู้ว่าพวกแกมาจากแก๊งอินาดะ..เพราะงั้นกลับไปบอกมารุยามะไทจิด้วยว่าอย่ามายุ่งกับเด็กคนนี้อีกไม่งั้นฉันจะไปหาเขาด้วยตัวเอง..แต่ถ้าเขาไม่พอใจล่ะก็บอกให้เขามาหาเย่เชียนคนนี้เลยก็แล้วกัน”