ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 727 ได้เวลาแก้แค้น
ตอนที่ 727 ได้เวลาแก้แค้น
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะตกลงกับดีห์ราห์แล้วว่าจะไม่แทรกแซงการแข่งขันศิลปะการต่อสู้และทำเพียงแค่ป้องกันดีห์ราห์จากคนอื่นและปล่อยให้เขาสู้เพื่อชนะการแข่งขันด้วยศิลปะการต่อสู้ของเขาเองก็ตามแต่ในบรรดาผู้เข้าแข่งขันที่เข้าร่วมการแข่งขันนั้นต่างก็มีฝีมือและศิลปะการต่อสู้หลากหลายแขนงที่ยอดเยี่ยมกว่าของดีห์ราห์ ซึ่งในความเป็นจริงทักษะการต่อสู้ของดีห์ราห์นั้นไม่เพียงพอที่จะคว้าตำแหน่งแชมป์ได้เลย
เนื่องจากเขาตัดสินใจเช่นนี้แล้วแน่นอนว่าเย่เชียนก็จะไม่นั่งอยู่เฉยๆแต่การแทรกแซงและทำให้ดีห์ราห์ชนะการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ครั้งนี้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายและผู้เข้าแข่งขันหลายคนในการแข่งขันครั้งนี้ต่างก็เป็นปรมาจารย์และยอดฝีมือจากสำนักนินจาอิงะและตระกูลดันโซทั้งนั้นและบางทีแม้แต่องค์กรชาโด้ซากุระกับคนของกองทัพแห่งชาติญี่ปุ่นก็อาจจะมาปะปนอยู่ในคนเหล่านี้ก็เป็นได้ ดังนั้นการที่คนๆหนึ่งมีกองกำลังอันทรงพลังอยู่เบื้องหลังพวกเขาเช่นนั้นเย่เชียนก็ไม่มีทางกำจัดพวกเขาออกไปได้เลย เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ทว่าเย่เชียนเองก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันดังนั้นเย่เชียนก็สามารถช่วยดีห์ราห์กำจัดผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่งได้สองสามคนอย่างแนบเนียน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เย่เชียนรู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องพูดคุยกับซ่งหลันเกี่ยวกับการดำเนินการเฉพาะเพราะท้ายที่สุดแล้วซ่งหลันก็เป็นผู้ดำเนินการและบริหารจัดการการแข่งขันศิลปะการต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบ
เย่เชียนไม่ได้สนใจการแข่งขันศิลปะการต่อสู้มากนักแต่การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ครั้งนี้มันสามารถดึงดูดความสนใจของกองกำลังส่วนใหญ่ได้และด้วยวิธีนี้เย่เชียนจะสามารถดำเนินตามแผนการที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าได้ ตราบใดที่เป็นไปตามแผนสิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นนั้นกองกำลังต่างฝ่ายก็จะไม่สามารถควบคุมได้เลยและเย่เชียนก็จะสามารถควบคุมสิ่งต่างๆได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้นในตอนนี้การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าแผนการนี้ไม่ง่ายเลยที่จะสำเร็จได้เพราะยังต้องใช้เวลาในการวางแผนและเตรียมการเพราะการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นมีความสำคัญมาก อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องให้เย่เชียนเพราะถึงแม้ว่าไป๋ฮวยกับหลินเฟิงจะไม่ได้พูดอะไรแต่เย่เชียนก็เชื่อว่าพวกเขานั้นเริ่มดำเนินการเพื่อจัดเตรียมงานการรวบรวมข้อมูลเอาไว้แล้วเพราะครั้งนี้เป็นแผนสำหรับการเผชิญหน้ากับประเทศญี่ปุ่นทั้งประเทศและไม่ใช่เพียงแค่เมืองโตเกียวเพียงเมืองเดียว ดังนั้นแผนการครั้งนี้ถึงต้องขยายตัวไปเป็นปฏิบัติการระดับภูมิภาคจึงต้องมีการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น
ด้วยการที่ไป๋ฮวยและหลินเฟิงที่มาสมทบและช่วยเหลือนั้นเย่เชียนจึงรู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูกและผ่อนคลายมากขึ้นซึ่งทำให้เขาสามารถโฟกัสสิ่งต่างๆในประเทศญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็รู้ดีว่าสิ่งนี้จะคงอยู่อีกไม่นานเพราะเมื่อใดก็ตามที่สิ่งต่างๆในประเทศญี่ปุ่นจบลงพวกเขาทั้งสามก็จะแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางอย่างแน่นอน
“ถ้านายหิวหรือต้องการอะไรก็ติดต่อพนักงานได้เลย..ฉันแจ้งพวกเขาแล้วเพราะงั้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะถูกส่งไปยังบัญชีของฉัน” เย่เชียนพูด “ฉันยังมีบางอย่างที่ต้องทำนายควรจะพักผ่อนให้เพียงพอ..เอาไว้เจอกัน!” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็หันหลังเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน!” ดีห์ราห์รีบตะโกนขณะที่เย่เชียนกำลังจะจากไป เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นก็หยุดและถามว่า “หืม..มีอะไรอีกเหรอ?” ดีห์ราห์เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผมอยากไปกับคุณด้วย”
ดีห์ราห์นั้นไม่ได้สงสัยว่าเย่เชียนจะออกไปแจ้งตำรวจว่าเขาเป็นนักลักลอบเข้าประเทศแต่อย่างใดเพราะถ้าหากเย่เชียนต้องการทำแบบนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเลย อย่างไรก็ตามในเมื่อเขาตัดสินใจติดตามเย่เชียนแล้วดีห์ราห์จึงต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเย่เชียนเพื่อที่จะได้รู้จักเย่เชียนมากขึ้น แน่นอนว่าหากต้องการเช่นนั้นดีห์ราห์ก็ต้องติดตามเย่เชียนไปและต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เย่เชียนทำด้วย
เย่เชียนก็ยิ้มจางๆแล้วพูดว่า “ถ้านายต้องการแบบนั้นก็ตามมา” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “นายมีชื่อเล่นหรือเปล่า..ถ้าไม่ทีงั้นฉันจะเรียกนายว่าดีห์ราห์..ส่วนนายจะเรียกฉันว่าพี่เย่หรือบอสก็ได้แล้วแต่นายเลย”
หลังจากพูดจบเย่เชียนก็เปิดประตูและเดินออกไป ซึ่งดีห์ราห์นั้นไม่สามารถเรียกเย่เชียนว่าบอสได้จริงๆเพราะเขาไม่ได้อุทิศตัวเองให้กับบทบาทนี้และเขาก็ไม่ได้มองว่าเย่เชียนเป็นพี่ชายเลย ซึ่งยิ่งเย่เชียนปล่อยให้ดีห์ราห์หยิ่งผยองมากเท่าไหร่การโน้มน้าวใจเขาก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อมั่นใจแล้วมันก็จะเปลี่ยนไปเป็นความจงรักภักดีโดยธรรมชาติ
เนื่องจากรอคิวที่โรงพยาบาลนานไปหน่อยเวลามันก็ผ่านพ้นไปจนหัวค่ำแล้วและไฟนีออนที่ด้านข้างของถนนก็สว่างไสวด้วยแสงหลากสีและครอบคลุมทั้งเมืองโตเกียวอย่างสวยงาม
เมืองโตเกียวนั้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล ซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของเมืองโตเกียวนั้นก็ชัดเจนสำหรับทุกคนและถึงแม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นจะซบเซาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาและอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนก็ตามแต่มันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเพราะชาวญี่ปุ่นเป็นคนประเภทที่กดดันตัวเองอย่างมาก ดังนั้นเมื่อถึงเวลากลางคืนผู้คนเหล่านี้ก็ถอดหน้ากากออกและเปิดเผยด้านที่แท้จริงของพวกเขาออกมาและเข้าหาแอลกอฮอล์เพื่อขจัดความเศร้าโศกและความเครียดภายในใจ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้สถานบันเทิงทั้งเมืองโตเกียวดำเนินไปได้อย่างรุ่งเรือง อย่างไรก็ตามชาวญี่ปุ่นก็ดื่มไม่เก่งเพราะแม้แต่แอลกอฮอล์ดีกรีต่ำๆเพียงไม่กี่แก้วก็สามารถทำให้พวกเขาเมาและหมดสติได้แล้ว ดังนั้นข้างถนนจึงมักจะเห็นชาวญี่ปุ่นยืนอาเจียนอยู่ตามท้องถนน
เย่เชียนนั้นไม่มีอารมณ์ที่จะชื่นชมค่ำคืนแสงสีของเมืองโตเกียวมากนักและไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความรู้สึกแบบนั้นเพียงแต่เขาไม่มีอารมณ์แบบนั้นในตอนนี้เพราะสถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและความประมาทเพียงครั้งเดียวก็อาจจะนำไปสู่หายนะและความพ่ายแพ้ของเขา ดังนั้นเย่เชียนจึงต้องระมัดระวังอย่างมากกับสิ่งต่างๆรอบตัว
เย่เชียนที่เพิ่งออกจากประตูโรงแรมและเมื่อเขากำลังจะเดินไปที่รถของเขาจู่ๆเขาก็เห็นคนประมาณหนึ่งร้อยกว่าคนกำลังเดินเข้ามาทางประตูรั้วโรงแรมพร้อมกับมีดและแท่งเหล็กจากระยะไกลจนเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะผงะและขมวดคิ้วพลางคิดว่าพวกองค์กรใต้ดินของประเทศญี่ปุ่นเหล่านี้ดูเหมือนจะเกรงกลัวกฎหมายเลยและลืมไปแล้วว่าเมื่อสองปีก่อนรัฐบาลญี่ปุ่นก็เพิ่งจะกวาดล้างองค์กรใต้ดินไปส่วนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นช่วงเวลานี้ก็ใกล้จะถึงกำหนดการณ์เลือกตั้งพรรครัฐบาลแล้ว ดังนั้นรัฐบาลญญี่ปุ่นก็ควรจะมีมาตรการป้องกันและการรักษาความปลอดภัยสาธารณะที่เข้มงวดไม่ใช่หรือ?
เมื่อเห็นเช่นนั้นดีห์ราห์ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทาและขมวดคิ้วแน่น แต่เย่เชียนนั้นไม่ได้พูดอะไรเขาจึงไม่ได้ขยับ ซึ่งเมื่อมองดูแล้วก็พบว่ามารุยามะทาโร่เป็นผู้นำกลุ่มยากูซ่าเหล่านั้นและไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าคนเหล่านี้ต้องมาหาเย่เชียนเพราะเหตุการณ์ที่ร้านอาหารในวันนั้น การที่คนเหล่านี้สามารถค้นพบตัวตนของเขาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ก็ทำให้เย่เชียนแปลกใจเล็กน้อย ปรากฏว่าองค์กรใต้ดินและยากูซ่าเหล่านี้ก็มีช่องทางและเครือข่ายที่ไม่เลวเลย
เมื่อพวกเขามาถึงด้านหน้าของประตูโรงแรมพวกเขาก็เห็นเย่เชียนยืนอยู่ตรงนั้นและมารุยามะทาโร่ก็ผงะไปจากนั้นเขาก็หัวเราะและพูดว่า “ฮ่าๆ..ในที่สุดฉันก็หาแกจนเจอ”
เย่เชียนก็แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “คุณจะทำอะไรผม?..นี่คุณลืมบทเรียนที่ผมสอนคุณเมื่อวันก่อนไปแล้วเหรอ..อยากลองอีกมั้ยล่ะ?”
“หืม..แกดูถูกฉันในวันนั้นเพราะงั้นมันต้องจบลงในวันนี้..แกเก่งนักใช่มั้ย?..ฉันล่ะอยากรู้จริงๆว่าพวกของฉันร้อยกว่าคนที่นี่แกจะสู้ยังไง..แกจะสู้ไหวเหรอ?” มารุยามะทาโร่พูดอย่างมีชัย เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นมารุยามะทาโร่ก็รู้สึกขมขื่นและโกรธเกรี้ยวอย่างมากและวันนี้ในที่สุดเขาก็คว้าโอกาสที่จะได้แก้แค้นแล้ว ซึ่งมารุยามะทาโร่ต้องการแก้แค้นเย่เชียนอย่างรุนแรง ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะเอาหน้าของเขาไปไว้ที่ไหนในอนาคต? ซึ่งเมื่อคนที่เขาส่งออกไปพบที่อยู่ของเย่เชียนแล้วแต่ไม่พบรายละเอียดตัวตนของเย่เชียนเลย ดัวนั้นหากมารุยามะทาโร่รู้ความจริงว่าเย่เชียนเป็นถึงผู้นำขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าและได้รู้ว่าเย่เชียนคือผู้ลอบสังหารหัวหน้าแก๊งยามากุจิถึงสองครั้งแล้วเขาจะมีสีหน้าและปฏิกิริยาอย่างไร?
อย่างไรก็ตามคนหุนหันพลันแล่นอย่างมารุยามะทาโร่จะไม่คิดอะไรให้ปวดหัวเพราะถึงแม้ว่าเขาจะรู้ก็ตามแต่เขาก็จะแก้แค้นเย่เชียนอยู่ดี
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คนจำนวนมากมันก็ใช่ว่าจะได้เปรียบเสมอไป..เพราะถ้าผมจัดการคุณก่อนมันก็เท่านั้น” ทันทีที่เสียงนั้นจบลงเย่เชียนก็พุ่งออกไปพร้อมกับมีดคลื่นโลหิตหมาป่าในมือของเขา ซึ่งมีดคลื่นโลหิตนั้นได้สะท้อนด้วยแสงนีออนจนมีสีแดงสว่างไสวและภายในเวลาเพียงชั่วพริบตาเขาก็ไปถึงตัวของมารุยามะทาโร่แล้ว
จากนั้นเย่เชียนก็หมุนตัวไปทางด้านหลังของมารุยามะทาโร่และใช้มือข้างหนึ่งคว้าแขนของมารุยามะทาโร่เอาไว้อย่างรวดเร็วและบิดไปข้างหลังจากนั้นก็ใช้มีดคลื่นโลหิตจ่อไปที่คอของมารุยามะทาโร่ การสังหารผู้นำเพียงคนเดียวนั้นง่ายกว่าการทำลายล้างทั้งกองทัพซึ่งเย่เชียนก็เข้าใจถึงความจริงข้อนี้เป็นอย่างดีเพราะเขาไม่ได้โง่พอที่จะเผชิญหน้ากับเหล่าสมาชิกแก๊งยากูซ่าอาวุธครบมือมากกว่าหนึ่งร้อยคน ซึ่งมันไม่จำเป็นเลย
เย่เชียนก็แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นไง?..ผมบอกคุณไปแล้วนะว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรต่อให้คุณมีคนมากมายก็เถอะ..เป็นไง?..ต่อหน้าลูกน้องมากกว่าร้อยคนคุณจะยังกลัวตายอยู่อีกมั้ย?..เจ้าชายแห่งแก๊งอินาดะผู้สง่าผ่าเผย?”
มารุยามะทาโร่ก็ตกตะลึงและหวาดกลัวอย่างยิ่งเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น ซึ่งเขานั้นรู้ว่าเย่เชียนไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นดังนั้นเขาจึงใช้ภาษาจีนในตอนนี้ เพราะในความเห็นของเขาแล้วเขาต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอนและเขาก็สามารถฆ่าเย่เชียนได้ในเวลาเพียงไม่นาน ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลอะไรเลย อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตรงหน้ากลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือและก่อนที่เขาจะได้ตอบโต้เขาก็ถูกเย่เชียนนำมีดมาจ่อที่คอแล้ว ซึ่งลูกน้องของเขาที่เขาพามาหนึ่งร้อยกว่าคนทั้งหมดกลายเป็นแค่ของประดับตกแต่งฉากเท่านั้น ถ้าหากเขารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้เขาก็จะไม่ทำตัวโออ่าวางท่าและมั่นใจเหมือนก่อนหน้านี้และเลือกที่จะหลบอยู่ข้างหลังเหล่าลูกน้องแทน
เมื่อได้ยินเย่เชียนเรียกเขาว่าเจ้าชายแห่งแก๊งอินาดะแล้วดีห์ราห์ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเพราะคนที่ไล่ล่าเขาก่อนหน้านี้ก็คือคนของแก๊งอินาดะ ดังนั้นดีห์ราห์จึงเกลียดชังคนเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อเห็นเช่นนี้ทัศนคติของดีห์ราห์ที่มีต่อเย่เชียนจึงดีขึ้นอย่างมาก
มารุยามะทาโร่นั้นรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ออกมาจากลำคอของเขาจนเขาอดไม่ได้ที่สั่นสะท้านและพูดอย่างสั่นกลัวว่า “เอ่อใช่ครับคุณเย่..ผมแค่ล้อเล่นเฉยๆ..คุณเย่อย่าจริงจังนักสิครับ..ผมคือเจ้าชายแห่งแก๊งอินาดะ..ถ้าคุณปล่อยผมไปล่ะก็คุณจะให้ผมเป็นหมูหรือหมาผมก็ยอม..หากคุณต้องการให้ผมทำอะไรในอนาคตผมก็ยินดีทำ”