ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 730 ความเกลียดชังทางเชื้อชาติ ตอนที่ 3
ตอนที่ 730 ความเกลียดชังทางเชื้อชาติ ตอนที่ 3
ชิงเฟิงก็พยักหน้าเห็นด้วยและเปิดทีวี ซึ่งในทีวีผู้ประกาศข่าวก็กำลังแถลงการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถึงแม้ว่าจะเป็นการรายงานข่าวแต่ทว่าคำพูดและบทความนั้นเอนไปในทางที่เสียๆหายๆจนความโกรธของชิงเฟิงปะทุขึ้นในทันทีและเมื่อเขากำลังจะพูดชิงเฟิงก็เหลือบไปเห็นใบหน้าที่มืดมนของเย่เชียนจนอดไม่ได้ที่จะกลืนสิ่งที่เขากำลังพูดออกมาในทันที
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่รัฐของประเทศญี่ปุ่นก็ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้โดยแสดงความรับผิดชอบต่อประเทศจีนว่าพวกเขาต้องลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างรุนแรงแต่ในทางกลับกันพวกเขาระบุอย่างชัดเจนถึงอำนาจอธิปไตยของชาติญี่ปุ่นนั้นอยู่เหนือประเทศจีน เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐพูดจบใบหน้าของเย่เชียนก็มืดมนและน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีกและเย็นยะเยือกราวกับสะเก็ดน้ำแข็งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
“พี่หลิน..พี่ไป๋..พวกพี่คิดยังไงกับเรื่องนี้” เย่เชียนเหลือบมองพวกเขาและพูด
“แผนการเดิมของเราจะไม่เปลี่ยนแปลง..ว่าแต่นายจะทำอะไร?” ไป๋ฮวยพูด
“ตาต่อตา..ฟันต่อฟัน” เย่เชียนพูดเบาๆหลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “ถ้างั้นพวกเราก็มาเตรียมตัวกันตามแผนก่อนหน้านี้กันเลยดีกว่า..ผมจะไปที่สถานีโทรทัศน์เองส่วนชิงเฟิงนายไปหาที่อยู่แหล่งกบดานของผู้ก่อการร้ายมาให้ได้โดยเร็วที่สุด..ถ้าพบแล้วอย่าเพิ่งทำอะไรเพราะฉันจะเป็นคนลงมือเอง”
“รับทราบครับบอส!” ชิงเฟิงตอบแล้วพูดว่า “บอส!..ว่าแต่บอสจะไปทำอะไรที่สถานีโทรทัศน์?”
“นายก็น่าจะรู้หนิ” ใบหน้าของเย่เชียนมืดมนน่ากลัวและคำพูดของเขาก็หนักหน่วงอย่างมาก หลังจากพูดจบเย่เชียนก็ลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก ส่วนดีห์ราห์ก็ตกตะลึงเล็กน้อยและลุกขึ้นเดินตามเย่เชียนไป เมื่อได้ยินเช่นนั้นชิงเฟิงก็แสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
หลังจากนั้นเย่เชียนก็ขับรถตรงไปยังสถานีโทรทัศน์โตเกียวและระหว่างทางเย่เชียนก็ไม่ได้พูดอะไรใดๆแต่ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างน่าหวาดผวาซึ่งทำให้ดีห์ราห์ที่ด้านข้างตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ในเมื่อเย่เชียนไม่ได้พูดอะไรดังนั้นดีห์ราห์ก็ไม่กล้าพูดเช่นกันเขาทำได้เพียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆโดยหวังว่าจะทำให้สมาธิของเขาคงที่ เดิมทีอาจารย์ของเขานั้นเป็นคนจีนด้วยเหตุนี้ดีห์ราห์จึงสามารถเข้าใจความเกลียดชังที่ชาวจีนมีต่อชาวญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดีแต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องของเขาแต่เป็นความเกลียดชังของคนทั้งประเทศ ดังนั้นหลังจากเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้วควบคู่กับใบหน้าที่มืดมนของเย่เชียนนั้นเขาก็รู้ดีว่ามันต้องเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน แต่เย่เชียนกลับพูดสิ่งต่างๆต่อหน้าเขาอย่างไม่ปิดบัง นี่หมายความว่าอย่างไร? นั่นก็หมายความว่าเย่เชียนให้ความไว้วางใจและไม่ว่ากรณีใดสิ่งที่เขาเห็นก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ประมาณสองชั่วโมงต่อมารถของเย่เชียนก็มาหยุดอยู่ที่ประตูทางเข้าสถานีโทรทัศน์โตเกียว ซึ่งเย่เชียนก็มองผ่านหน้าต่างกระจกและเห็นว่าอาคารทั้งหลังกำลังสว่างไสวและเห็นได้ชัดว่าที่ด้านในยังคงวุ่นวายกันอยู่ แน่นอนว่าเมื่อสถานเอกอัครราชทูตจีนในเมืองโตเกียวได้ประสบเหตุการณ์ครั้งใหญ่เช่นนี้เจ้าหน้าที่ผู้สื่อข่าวเหล่านี้ก็ต้องยุ่งวุ่นวายกันทั้งวัน ซึ่งพวกเขาล้วนมีข่าวที่รวดเร็วที่สุดและแม่นยำที่สุดเพื่อที่พวกเขาจะได้ผลงานที่ดีนั่นเอง
อาสึนะเป็นดอกไม้ประจำสถานีโทรทัศน์ของเมืองโตเกียวและเป็นน้องใหม่เพราะหลังจากเดบิวต์ได้เพียงสองปีเธอก็เข้ารับตำแหน่งผู้ประกาศข่าวแล้วและอนาคตของเธอก็ไร้ขีดจำกัด ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเธอจะเป็นผู้หญิงในฝันของผู้ชายชาวญี่ปุ่นจำนวนมากและจำนวนแฟนคลับของเธอก็ค่อนข้างมากเช่นกัน เป็นเพียงว่าโลกอาจมองเห็นแต่ความสดใสเบื้องหน้าของเธอและเห็นแต่ภาพลักษณ์ที่ดีของเธอเพราะอันที่จริงไม่มีใครเลยรู้ว่าเบื้องหลังของเธอนั้นมีสิ่งสกปรกมากมายแค่ไหน
ดูเหมือนว่าจะมีเพียงทางเดียวเท่านั้นสำหรับผู้หญิงที่ไม่มีภูมิหลังและไม่มีใครคอยสนับสนุนที่จะสามารถเข้ามาโด่งดังในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์เพื่อให้มีชื่อเสียงได้และนั่นคือกฎที่ไม่มีใครพูด ซึ่งทักษะการแสดงที่เรียกกันว่าทักษะการแสดงละครตบตานั้นล้วนแล้วแต่หลอกผู้ลวงคนมาเสมอ แต่ทว่าตราบใดที่ใครมีทีมงานขนาดใหญ่และผู้สนับสนุนล่ะก็มันก็ไม่ยากที่จะมีชื่อเสียงได้ เครือน่านฟ้ากรุ๊ปเป็นบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์และสื่อการบันเทิงและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่เคยมีส่วนร่วมในธุรกิจหรือการจัดการเลยแต่ส่วนใหญ่เขาก็รู้เรื่องราวภายในบ้างและวิธีดำเนินการและวิธีการทำให้คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ากลายเป็นซุปเปอร์สตาร์นั้นก็ง่ายมาก แต่มันต้องแลกมาด้วยชีวิตและความขมขื่นอย่างยิ่ง
“นายอยู่ในรถไปก่อน..หลังจากที่ฉันทำอะไรเสร็จแล้วนายค่อยขับรถมารับฉัน..นายน่าจะขับรถเป็นใช่มั้ย?” เย่เชียนพูดอย่างใจเย็น อย่างไรก็ตามน้ำเสียงที่ดูสงบนั้นก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่นถึงกระดูก
“คุณจะไปฆ่านักข่าวคนนั้นหรอ?” ดีห์ราห์ถาม
“นายก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าเธอทำอะไร..นายคิดว่าฉันถูกหรือผิดล่ะ?” เย่เชียนถามอย่างไม่สบอารมณ์
ดีห์ราห์ก็ถึงกับตกตะลึงไปกับคำถามว่าใครถูกหรือผิด? สิ่งที่เย่เชียนทำดูเหมือนจะเข้าใจได้เพียงแค่ว่าดีห์ราห์นั้นไม่เคยคิดเกี่ยวกับการฆ่าคนเลย
“ความกล้าคือการแสดงความเป็นลูกผู้ชาย” เย่เชียนพูด “ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จเราก็ต้องมีความกล้าที่จะฆ่าและยอมรับในสิ่งที่ทำ..โลกในสมัยนี้เป็นโลกที่กลืนกินคนที่อ่อนแอ..ถ้านายไม่ฆ่านายก็จะเป็นฝ่ายถูกฆ่า..เว้นแต่นายอยากมีชีวิตที่โดนดูถูกเหยียดหยามและเป็นได้แค่สุนัขรับใช้ของคนอื่น”
“แล้วคุณฆ่าคนไปกี่คนแล้ว?” ดีห์ราห์เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถาม
“ฉันจำไม่ได้” เย่เชียนพูดเบา ๆ “จำนวนคนที่ฉันฆ่าตายไปก็อาจจะราวๆแปดร้อยหรือหนึ่งพันคนฉันไม่แน่ใจ..ฉันไม่เคยคิดที่จะก้มหัวให้ใคร..ทั้งชีวิต..ทั้งศักดิ์ศรี..ทั้งพวกพ้อง..ทั้งครอบครัว..ถ้าใครไม่มีใครความกล้าแล้วคนๆนั้นก็จะใช้ชีวิตอย่างอัปยศหลังความตาย..ถ้าวันใดวันหนึ่งเมื่อนายไปถึงจุดสูงสุดของอำนาจแล้วมันจะมีใครในโลกใบนี้กล้าดุนายมั้ย?..สิ่งสำคัญที่สุดคือนายต้องเลือกโลกที่คู่ควรสำหรับตัวเอง”
ดีห์ราห์ก็ถึงกับเงียบไปและตกตะลึงอย่างสมบูรณ์และคิดเกี่ยวกับคำพูดของเย่เชียน ซึ่งเป็นเวลาหลายปีที่เขายอมอดทนกับการเยาะเย้ยและดูถูก ดังนั้นเขาจึงต้องการเปลี่ยนบทบาทที่สามารถยืนในตำแหน่งนั้นได้ในอนาคตแต่เขาจำคำพูดของอาจารย์ของเขาว่าสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นลูกผู้ชายคือการรู้คุณค่าและการเป็นคนดี ดังนั้นเขาจะไม่ทำชั่วอย่างแน่นอน
เย่เชียนก็ไม่สนใจเขาแล้วเปิดประตูเดินออกไป ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่ได้ต้องการยัดเยียดความคิดให้ใครเพราะนี่เป็นความจริงและเป็นเพียงไม่กี่คำที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ชีวิตของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งเหล่านี้เย่เชียนยังเป็นคนบอกหลินฟานอีกด้วย
ในขณะนี้อาสึนะก็กำลังเดินออกมาจากอาคารสถานีโทรทัศน์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและขณะเดินเธอก็ถือกุญแจรถในมือและนี่คือรถที่เพิ่งซื้อมาใหม่และเป็นของขวัญแสดงความยินดีให้กับตัวเองที่ได้รับตำแหน่ง เมื่อลองคิดดูมีกี่คนในแวดวงนี้ที่สามารถปีนขึ้นไปถึงจุดที่เธออยู่ทุกวันนี้ได้เร็วขนาดนี้? ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพอใจเมื่อนึกถึงมันและเธอก็ไม่สนใจว่าเธอจะต้องใช้วิธีการใดหรือจะขายร่างกายของเธอเพื่อมันเพราะถ้าหากเธอสามารถแลกร่างกายของเธอกับสิ่งต่างๆได้ล่ะก็เธอก็เต็มใจที่จะทำร้ายร่างกายของเธออย่างไร้ความปรานีตราบเท่าที่เธอได้ในสิ่งที่เธอต้องการ
“คุณคืออาสึนะหรือเปล่า?” เมื่อเย่เชียนเดินไปถึงที่ด้านข้างของอาสึนะเย่เชียนก็มองมาที่เธอและถามเธอเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้มาพบผิดคน
อาสึนะก็เหลือบมองเย่เชียนขึ้นและลงด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ ซึ่งชายหนุ่มตรงหน้าเธอก็เต็มไปด้วยความหล่อเหลาโดยเฉพาะรอยแผลเป็นบนใบหน้าที่ทำให้ใครก็ตามที่เห็นต่างก็หลงใหล ส่วนหนึ่งที่สำคัญชุดของผู้ชายคนนี้ล้วนเป็นแบรนด์ดังและมีมูลค่าแพงอย่างมาก ดังนั้นแน่นอนว่าอาสึนะจะไม่ยอมปล่อยคนแบบนี้ไปอย่างแน่นอน ดังนั้นตั้งแต่แรกพบเธอก็จะพยายามทำตัวให้ดูดีเพื่อที่เธอจะได้มีโอกาสหลอกใช้เขาให้ได้มาซึ่งตำแหน่งที่สูงขึ้นในอนาคต
เย่เชียนไม่ได้สังเกตสิ่งนี้เพราะเขาไม่ได้สนใจชุดของเขามากนัก ซึ่งเสื้อผ้าเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกซื้อมาโดยเหล่าสาวๆของเขาและเขาก็ไม่รู้แม้แต่ราคาเลยด้วยซ้ำ
“ใช่ค่ะ..มีอะไรหรือเปล่าคะ?..พอดีวันนี้ฉันมีนัดก็เลยไม่ว่าง” อาสึนะพูดด้วยรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “หืม..คุณคิดว่าผมจะมานัดเดทกับคุณงั้นเหรอ?”
อาสึนะก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มเล็กน้อยโดยไม่หงุดหงิดกับน้ำเสียงที่เย็นชาของเย่เชียนเพราะเธอเคยพบเจอผู้ชายที่หยิ่งยโสมาเยอะแล้ว จากมุมมองของเธอผู้ชายก็เหมือนกันทุกคนและตราบใดที่อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงที่สวยงามผู้ชายก็จะหลงรักเธอคนนั้นโดยปริยาย ไม่ต้องพูดถึงความสวยของเธอเลยเพราะพฤติกรรมของเย่เชียนในความเห็นของเธอนั้นเป็นเพียงความพยายามของเย่เชียนที่จะกระตุ้นความอยากของเธอเท่านั้น ดังนั้นทำไมเธอถึงไม่กระตุ้นความอยากของเขากลับล่ะ? “แล้วคุณมาเพื่อขอลายเซ็นของฉันหรอ?” อาสึนะก็ยิ้มอย่างสบายใจ “ถึงวันนี้ฉันจะไม่ว่างแต่ถ้าคุณอยากพบฉันจริงๆล่ะก็ฉันจะไปนัดหมายกับผู้จัดการล่วงหน้าให้”
ปากของเย่เชียนก็ฉีกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายเพราะเย่เชียนไม่คิดที่จะพูดอะไรเพิ่มเติมอยู่แล้วและไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับคนแบบนี้เลยจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ที่คิดว่าตัวเองดีเลิศมักจะคิดว่าผู้ชายทุกคนในโลกใบนี้จะต้องหลงใหลในตัวเธอแต่แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลย
อย่างไรก็ตามเมื่อเย่เชียนกำลังจะทำอะไรบางอย่างจู่ๆดีห์ราห์ก็ออกมาจากรถตอนไหนก็ไม่รู้ ซึ่งเมื่อเห็นอีกทีเขาก็เอื้อมมือไปรัดคอของอาสึนะอย่างเงียบๆและหักมันอย่างรุนแรงและมีเพียงเสียง “กรึก” จากนั้นอาสึนะก็ล้มลงไปอย่างช้าๆ
เย่เชียนก็หันไปมองดีห์ราห์ด้วยความประหลาดใจ ซึ่งดีห์ราห์ก็พูดเบาๆว่า “คำพูดของคุณมีเหตุผลมาก..เพราะงั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมจะฆ่าคนเลวและผมจะไม่ปล่อยให้ใครหัวเราะเยาะหรือดูถูกผมอีกต่อไป..ผมไม่อยากจมปลักกับชีวิตเดิมๆอีกต่อไปแล้ว”
เย่เชียนก็แสยะยิ้มและพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจแล้วพูดว่า “ตราบใดที่นายเดินตามเส้นทางของฉัน.ฉันสัญญาเลยว่านายจะต้องประสบความสำเร็จภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีและนายจะสามารถเผชิญหน้ากับทุกคนได้อย่างภาคภูมิใจ..ส่วนคนที่รังแกและหัวเราะเยาะนาย..พวกที่เหยียบย่ำนายมาก่อนหน้านี้พวกเขาจะต้องละอายใจที่ทำแบบนั้นกับนาย”
.