ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 733 ความเกลียดชังทางเชื้อชาติ ตอนที่ 6
ตอนที่ 733 ความเกลียดชังทางเชื้อชาติ ตอนที่ 6
ในขณะนี้คนเหล่านั้นก็หมอบลงกับพื้นโดยเอามือไว้บนหัวและใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเคียดแค้น ซึ่งเหล่าผู้ก่อการร้ายเมื่อเห็นเย่เชียนเข้ามาแล้วทุกคนในที่นี้ต่างก็ทำความเคารพแบบทหารดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าเย่เชียนเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ หลังจากมึนงงอยู่ชั่วขณะหนึ่งในนั้นก็เอ่ยปากพูดว่า “พวกแกเป็นใคร?”
เย่เชียนนั้นไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นดังนั้นเขาจึงหันไปหานากาจิมะชินนะซึ่งเธอก็แปลให้เย่เชียนฟังอย่างรวดเร็วและเย่เชียนก็พยักหน้าและมองไปที่คนพูดจากนั้นก็พูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นหัวหน้าสินะ..ในเมื่อพวกคุณตัดสินใจทำแบบนั้นแล้วพวกคุณก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าผลลัพธ์มันจะต้องจบลงแบบนี้..ผมเป็นคนจีนและคนจีนก็มีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจในชาติเกิด..ซึ่งสิ่งที่พวกคุณทำลงไปนั้นมันเกินความอดทนของผมอย่างมาก..เพราะงั้นจุดจบของพวกคุณคงจะไม่สวยนัก!”
นากาจิมะชินนะก็แปลคำพูดของเย่เชียนอย่างรวดเร็วอีกครั้งและเมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วและดวงตาก็เต็มไปด้วยความโกรธและการดูถูกเหยียดหยามในทันที เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนเหล่านี้แล้วเย่เชียนก็รู้ดีว่าเขาจะไม่สามารถขุดคุ้ยอะไรกับคนพวกนี้ได้ ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่คิดที่จะไว้ชีวิตพวกเขาอยู่แล้วส่วนสิ่งที่เย่เชียนให้นากาจิมะชินนะช่วยแปลให้คนเหล่านี้ฟังก็เพื่ออยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสของความหวาดกลัวก่อนตายนั่นเอง
เย่เชียนก็หันไปมองชิงเฟิงแล้วพูดว่า “ชิงเฟิงนายจะทำยังไงกับพวกมัน?”
“หึ..จับถลกหนักและเผาพวกมันทั้งเป็น!” ชิงเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
“แม่งเอ๊ย!” ชายหนุ่มตะโกนอย่างเดือดดาล “เราคือซามูไรและบุตรแห่งเทพสุริยัน..ถ้าเรากลัวตายแล้วเราจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษได้ยังไง?”
เย่เชียนก็แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “วิธีการตายมีมากมายเพราะงั้นคุณสามารถเลือกวิธีตายที่คุณชอบได้..แต่ในเมื่อคุณพูดแบบนั้นมันก็ช่วยไม่ได้..เพราะงั้นถ้าไม่อยากตายอย่างทรมานก็พูดมาซะว่าใครอยู่เบื้องหลัง..นี่เป็นการแลกกับโอกาสรอดของคุณเพราะงั้นอย่าตายโดยเสียเปล่าเลย”
ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลอกผิวหนังของมนุษย์ออกและจุดไฟเผาแต่ทว่าชิงเฟิงนั้นยังมีวิธีการทรมานที่โหดร้ายอื่นๆอยู่บ้างแต่เขาไม่เก่งเรื่องการทรมานเพื่อดึงคำสารภาพออกมาแต่เป็นการทรมานจนตายเสียมากกว่า ดังนั้นหลังจากที่เห็นเย่เชียนโบกมือชิงเฟิงก็เดินเข้าไปอย่างช้าๆพร้อมกับควงมีดในมือ ซึ่งเสียงฝีเท้าทุกๆครั้งเขาก้าวออกไปนั้นดูน่าหวาดผวาอย่างยิ่งและพวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าใครจะเป็นเหยื่อรายแรกหรือไม่ ซึ่งการกระทำของชิงเฟิงนั้นทำให้พวกเขารู้สึกหนาวไปถึงกระดูกอย่างอธิบายไม่ถูกและถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่กลัวความตายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่กลัวความเจ็บปวดเพราะบางครั้งการมีชีวิตอย่างทรมานก็เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก
สมาชิกเขี้ยวหมาป่าทุกคนได้รับการฝึกฝนด้านกายวิภาคศาสตร์ที่เข้มงวดของร่างกายมนุษย์และพวกเขาก็เข้าใจโครงสร้างของร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดี ดังนั้นรอยแผลดังกล่าวจะเป็นที่จุดไม่ร้ายแรงถึงตายแต่ก็เจ็บกว่าส่วนอื่นอย่างมาก ซึ่งชิงเฟิงนั้นมีความสามารถพิเศษในการทรมานอย่างโหดเหี้ยม
เมื่อชิงเฟิงเดินไปถึงตรงหน้าของหนึ่งในผู้ก่อการร้ายและเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกแกรู้มั้ยว่าร่างกายของมนุษย์มีข้อต่ออยู่ 78 ข้อและฉันสามารถหักข้อต่อออกทีละข้อได้..แต่ตอนที่ฉันเรียนวิชากายวิภาคของมนุษย์ตอนนั้นฉันขี้เกียจมากฉันเลยเรียนไม่เก่งเพราะงั้นฉันก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าข้อต่อของพวกแกจะสมานได้เหมือนเดิม”
ถึงแม้ว่าชิงเฟิงจะพูดอย่างตรงไปตรงมาแต่ก็ฟังดูเหมือนเป็นคำข่มขู่คนเหล่านั้นจนทำให้พวกเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัวและไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นเพราะแต่แม้แต่สมาชิกของหน่วยกรงเล็บหมาป่าเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดผวา ซึ่งพวกเธอไม่เคยคิดเลยว่าชิงเฟิงที่หัวเราะและอารมณ์ดีทั้งวันจะมีด้านที่โหดร้ายเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่ชิงเฟิงพูดพวกเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุก
“แกจะหยามเกียรติพวกเราแบบนี้ไม่ได้” ชายหนุ่มหัวหน้ากลุ่มพูด
ชิงเฟิงก็พูดว่า “ไม่ต้องกังวลไปเพราะฉันจะจัดการกับแกเป็นคนสุดท้าย..ฉันขอบอกเลยว่าสิ่งที่พวกแกจะโดนน่ะมันจะไม่เหมือนกัน” เมื่อเสียงจบลงก็มีเพียงเสียง “กรึก” และหนึ่งในผู้ก่อการร้ายก็กรีดร้องและกระดูกแขนของเขาถูกหลุดออกจากไหล่
“ฟังนะ..ฉันอนุญาตให้แกกรีดร้องคร่ำครวญงั้นเหรอ” ชิงเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ลูกน้องของเขาไม่ได้นิ่งเฉยเลยเพราะมือของพวกเขายังคงขยับและดิ้นรนอย่างสุดชีวิตและมีเพียงหัวหน้ากลุ่มเท่านั้นที่กรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นไม่นานข้อต่อกระดูกของชายหนุ่มคนนี้ก็ถูกหักออกจากข้อและนอนทรุดอยู่ที่พื้น
ที่ด้านข้างเมื่อดีห์ราห์เห็นสิ่งนี้เขาก็กำลังจะเปิดปากพูดแต่ก็พบว่าเย่เชียนกำลังจ้องมองเขาอย่างดุเดือดเขาจึงสั่นไปทั้งตัวและกลืนสิ่งที่เขากำลังจะพูดลงไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะค่อนข้างเป็นคนง่ายๆแต่เมื่อปฏิบัติภารกิจแล้วเขาก็ไม่เคยหย่อนยานแต่อย่างใดและเมื่อออกคำสั่งทางทหารแล้วมันก็เหมือนกับลูกศรที่ถูกปล่อยออกจากคันธนูที่ไม่มีการดึงกลับและมันก็เป็น เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าองค์กรดังนั้นหากสถานที่ใดที่ไร้กฎเกณฑ์ก็จะเป็นเพียงแค่กลุ่มคนเท่านั้น ซึ่งถ้าหากต้องการเติบโตและพัฒนาล่ะก็คุณต้องมีกฎเกณฑ์และการลงโทษและปฏิบัติต่อบุคลากรอย่างเท่าเทียมกัน
สิ่งที่ดีห์ราห์ทำเมื่อครู่นี้ทำให้เย่เชียนรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากแต่เนื่องจากมันเกิดข้อผิดพลาดขึ้นแล้วเย่เชียนก็ไม่คิดที่จะใส่ใจกับมัน ยิ่งไปกว่านั้นการลงโทษก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และไม่ว่าดีห์ราห์จะมีทัศนคติยังไงก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นดีห์ราห์ก็เพิ่งจะเข้าร่วมและเย่เชียนกำชับเอาไว้หลายครั้งแล้วดังนั้นแน่นอนว่าเย่เชียนจะไม่ปล่อยดีห์ราห์ไปอย่างแน่นอน
ชิงเฟิงก็ดำเนินการทรมานต่อไปเรื่อยๆจนผู้ก่อการร้ายทุกคนประสบกับการทรมานทุกรูปแบบจนสมาชิกของหน่วยกรงเล็บหมาป่าบางคนก็เกือบจะอาเจียนออกมา แต่ใบหน้าของเย่เชียนนั้นไม่แยแสและสงบนิ่งอย่างมากโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเย่เชียน ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนไม่เคยมีความเห็นอกเห็นใจต่อศัตรูเลยแม้แต่น้อย
เหลือชายหนุ่มหัวหน้ากลุ่มเพียงคนสุดท้ายและเขาก็หวาดกลัวอย่างมากเพราะในตอนนี้รอบๆตัวเขาเป็นแอ่งเลือดขนามย่อมและคนของเขาก็ตายไปทีละคนภายใต้การทรมานของชิงเฟิงจนในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าความกลัวหมายถึงอะไรและการอยากตายนั้นคืออะไร ซึ่งในตอนนี้เขาต้องการให้ใครสักคนแทงเขาจนตายด้วยมีดเพียงครั้งเดียวและเขาจะรู้สึกขอบคุณอย่างมาก อย่างไรก็ตามโชคชะตาของเขาไม่ใช่สิ่งที่จะหวังพึ่งพระเจ้าได้อีกต่อไปเพราะชะตากรรมของเขาตกอยู่ในกำมือของเย่เชียนแล้ว ไม่ว่าเย่เชียนจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อหรือจะทำให้เขาตายทุกสิ่งทุกอย่างเย่เชียนคือผู้กำหนด
เมื่อเห็นชิงเฟิงกำลังเดินไปหาชายหนุ่มหัวหน้ากลุ่มเย่เชียนก็พูดขึ้นว่า “คนสุดท้ายเดี๋ยวฉันจัดการเอง” หลังจากพูดจบแล้วเย่เชียนก็เดินช้าๆไปทางชายหนุ่มและชิงเฟิงก็ก้าวออกไปและเช็ดเลือดบนมือของเขาด้วยผ้าเช็ดหน้าและเมื่อเขากำลังจะโยนมันทิ้งไปเขาก็เหลือบไปเห็นนากาจิมะชินนะที่จ้องมาที่เขาด้วยความโกรธเคือง เมื่อเห็นเช่นนั้นชิงเฟิงก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์และรีบเก็บผ้าเช็ดหน้าของเขากลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว
ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ถูกปักโดยนากาจิมะชินนะและบนนั้นก็มีลายผีเสื้อคู่หนึ่งเพราะนับตั้งแต่ที่เธอได้ยินชิงเฟิงเล่าเรื่องเกี่ยวกับตำนานรักของชาวจีนจนเธออิจฉาความรักของพวกเขา ดังนั้นเธอจึงทำผ้าเช็ดหน้ารูปผีเสื้อและมอบให้ชิงเฟิงแต่ใครจะรู้ว่าชิงเฟิงไม่รู้จักหวงแหนและหยิบมันออกมาเช็ดเลือดและยิ่งไปกว่านั้นชิงเฟิงก็เกือบจะโยนมันทิ้งไป
หลังจากที่อยู่กับชิงเฟิงมาเป็นเวลานานนากาจิมะชินนะก็รู้ว่าชิงเฟิงนั้นรักตัวเองอย่างมากเธอจึงเดินไปข้างๆชิงเฟิงและยื่นมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วพูดเบาๆว่า “ถ้ามันสกปรกก็โยนทิ้งไปเถอะเดี๋ยวฉันจะปักให้คุณอีกครั้งเมื่อฉันมีเวลา”
ชิงเฟิงก็รีบคว้ามันมาแล้วพูดว่า “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก..ถึงแม้ว่ามันจะมีเลือดติดอยู่แต่มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย..เดี๋ยวผมจะไปหาคนมาทำสีดอกบ๊วยสักสองสามดอกลงไปทับสีเลือดด้วย”
นากาจิมะชินนะก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและจ้องมองไปที่ชิงเฟิงโดยไม่ได้พูดอะไรใดๆและมีเพียงอารมณ์เล็กๆน้อยๆที่ไหลผ่านระหว่างดวงตาของเธอ
เย่เชียนก็เดินไปหาชายหนุ่มและนั่งยองๆลงจากนั้นก็ปิดจมูกของเขาแล้วพูดว่า “เมื่อกี้นี้แกยังอวดดีอยู่เลยไม่ใช่เหรอแล้วทำไมตอนนี้แกถึงได้ฉี่รดกางเกงล่ะมันน่าอายจริงๆ..แต่แกไม่ต้องกังวลไปเพราะฉันจะไม่ฆ่าแกถ้าหากแกสามารถยืนหยัดอยู่ได้ถึงห้านาที”
“แกจะฆ่าฉันก็ฆ่าซะเลยสิ!” ชายหนุ่มพูดอย่างขมขื่น สำหรับเขาตอนนี้ความตายช่างน่ายินดีอย่างมากเพราะถ้าเขาตายอย่างมีความสุขได้เขาก็คงจะตายตาหลับอย่างแน่นอน
เย่เชียนก็หัวเราะอย่างเย็นชาและคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันในทันทีและมือขวาของเขายื่นออกมาอย่างรวดเร็วและใช้นิ้วสองนิ้วเจาะเข้าไปในบาดแผลของชายหนุ่มจนมันกลายเป็นบาดแผลจากกระสุนปืน “เป็นไงบ้างเจ็บมั้ย?” นิ้วของเย่เชียนก็กดลงไปอย่างแรงและลึกจนไปถึงกระดูกและเส้นเลือดใหญ่ในร่างกายของชายหนุ่มโดยตรง
ความเจ็บปวดนั้นมันเจ็บแสบอย่างไม่สามารถอดทนได้จนชายหนุ่มตัวสั่นด้วยความเจ็บปวดและหยาดเหงื่อเม็ดใหญ่บนหน้าผากของเขาก็หยดลงมาอย่างไม่หยุดยั้งและปากของเขาพึมพำด้วยความเกลียดชังอย่างยิ่ง