ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 739 ความเกลียดชังทางเชื้อชาติ ตอนที่ 12
ตอนที่ 739 ความเกลียดชังทางเชื้อชาติ ตอนที่ 12
ท่ามกลางสงครามนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนท้ายของสงครามไม่ใช่อาวุธและยุทโธปกรณ์แต่เป็นความอดทนและความตั้งใจในการต่อสู้และนี่คือสิ่งที่สนับสนุนให้พวกเขายังคงสู้ต่อไป ยกตัวอย่างเช่นเหตุใดในสงครามต่อต้านญี่ปุ่นนั้นชาวจีนถึงได้รับชัยชนะเพราะนั่นไม่ใช่อาวุธและยุทโธปกรณ์เพราะเหนือกว่าสิ่งอื่นใดก็คือชาวจีนนั้นยึดมั่นในหัวใจของพวกเขาและชาติ ดังนั้นแน่นอนว่าเรื่องนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆในประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน
การระดมพลก่อนสงครามเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้เพราะนี่คืออาวุธและกำลังรบที่อันตรายที่สุดที่สามารถขยายอำนาจของมนุษย์ได้โดยไม่มีขีดจำกัดและไม่ว่ามันจะเป็นสงครามแบบไหนมันก็ต้องใช้จิตใจที่แน่วแน่และความตั้งใจในการต่อสู้เสมอ
เย่เชียนก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจและชี้ไปที่แผนที่ประเทศไต้หวันแล้วพูดกับเหล่าทหารเรือไอร่อนบลัดอย่างเสียงดังว่า “พวกคุณรู้ไหมว่าที่นี่คืออะไร?”
“ประเทศไต้หวัน!” ทุกคนตอบพร้อมกัน
“แล้วพวกเราเป็นใคร!” เย่เชียนถามต่อ
“ชาวจีน!”
“ประเทศจีนเป็นเหมือนประเทศพ่อเพราะงั้นประเทศไต้หวันก็เหมือนประเทศลูก..พวกเขาเป็นลูกของประเทศจีนแล้วถ้าหากมีคนมารังแกลูกของพวกคุณล่ะ?..พวกคุณจะทำยังไง?” เย่เชียนยังคงปลุกเร้าความฮึกเหิมของเหล่าทหารเรือไอร่อนบลัด
“ทำลาย!” เหล่าทหารเรือไอร่อนบลัดตะโกนพร้อมกันและเสียงของพวกเขาก็บดบังคลื่นที่โหมกระหน่ำไปอย่างสมบูรณ์แบบและเผยให้เห็นเจตนาฆ่าที่รุนแรงอย่างยิ่ง
“ถ้ามีคนมารังแกพี่น้องของเราและเพื่อนร่วมชาติของเรา..เราควรทำยังไง?” เย่เชียนตะโกนเสียงดัง
“กวาดล้างพวกมัน!”
“พวกคุณกลัวตายมั้ย?” เย่เชียนพูดกระตุ้นความฮึกเหิมอีกครั้ง
“อยู่อย่างรุ่งโรจน์..ตายไปอย่างไร้ตัวตน!” ทหารเรือไอร่อนบลัดพูดพร้อมกัน ซึ่งประโยคนี้แพร่หลายอย่างกว้างขวางในฐานทัพเรือไอร่อนบลัดแห่งนี้และเกือบจะเป็นคติประจำใจของพวกเขาและนี่ก็เป็นความเชื่อที่หลี่เหว่ยถ่ายทอดให้พวกเขานั่นเอง ซึ่งทุกๆองค์กรนั้นคติและคำขวัญประจำองค์กรจะอยู่เหนือสิ่งอื่นใดเสมอ
“เอาล่ะ..เกาะไต้หวันอยู่ข้างหน้าพวกเราอีกไม่ไกล..เตรียมตัวกวาดล้างทุกคนที่ดูถูกพี่น้องและเพื่อนร่วมชาติของเรา..เราจะไม่เสียใจในสิ่งที่เราทำและจะไม่โศกเศร้าในความตายของศัตรู!” เย่เชียนโบกมือแล้วพูดว่า “เคลื่อนพลไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มที่!”
เหล่าทหารเรือไอร่อนบลัดทั้งหมดก็เริ่มเตรียมตัวและความเร็วของเรือรบก็เพิ่มขึ้นเป็นความเร็วสูงสุดและมุ่งหน้าไปยังเกาะไต้หวันอย่างรวดเร็ว จากนั้นผู้ที่มีหน้าที่ในการโหลดกระสุนใส่อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดก็เตรียมพร้อมแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงระยะยิงที่เหมาะสมเมื่อไหร่ปืนใหญ่และอาวุธทั้งหมดก็สามารถยิงได้ทันที จากนี้ไปเย่เชียนไม่ได้กำกับและบัญชาการอีกต่อไปเพราะคราวนี้เป็นการแสดงของเหล่าทหารเรือไอร่อนบลัดและแน่นอนหลี่เหว่ยจะต้องบัญชาการอย่างเต็มที่
เย่เชียนก็พยักหน้าให้หลี่เหว่ยจากนั้นก็มองออกไปยังเกาะที่อยู่ไม่ไกลออกไป เมื่อหันกลับมาหลี่เหว่ยก็เริ่มสั่งการเรือรบทั้งหมดเพื่อเริ่มปฏิบัติการและเนื่องจากครั้งนี้มีเรือรบของกองทัพเรือแห่งชาติญี่ปุ่นเพียงสองลำลาดตระเวนอยู่บริเวณน่านน้ำประเทศไต้หวันในครั้งนี้ดังนั้นกองทัพเรือไอร่อนบลัดจึงไม่ส่งเรือรบไปทั้งหมดและมีเพียงเรือพิฆาต 2 ลำและเรือดำน้ำ 2 ลำประสานกันและแล่นไปข้างหน้า ซึ่งนี่เป็นการการรบจริงและเป็นบททดสอบผลการฝึกของพวกเขาในหลายๆปีที่ผ่านมา ดังนั้นเหล่าทหารเรือไอร่อนบลัดจึงมีจิตใจที่แน่วแน่และไม่กล้าหย่อนยานเลยแม้แต่น้อย
ในสงครามครั้งนี้พวกเขาห้ามพลาดหรือพ่ายแพ้เป็นอันขาดเพราะถ้าหากพวกเขาแพ้พวกเขาจะไม่เพียงสูญเสียแค่ชื่อเสียงของกองทัพเรือไอร่อนบลัดเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงชื่อเสียงขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าและศักดิ์ศรีของประเทศจีนอีกด้วย
ภายใต้คำสั่งของหลี่เหว่ยทันใดนั้นขีปนาวุธบนเรือพิฆาตทั้งสองลำพุ่งเข้าหาเรือรบของกองเรือทัพแห่งชาติญี่ปุ่น ด้วยเสียงระเบิด “บึ้ม..บึ้ม” สองครั้งและเรือรบของกองทัพเรือแห่งชาติญี่ปุ่นก็ไฟลุกท่วมเป็นทะเลเพลิงและค่อยๆจมลงไปใต้น้ำ ซึ่งในเวลานี้ท้องฟ้าก็มืดแล้วดังนั้นเปลวไฟบนเรือรบของกองทัพเรือแห่งชาติญี่ปุ่นก็ส่องสว่างขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับว่ามันเป็นเมฆยามพระอาทิตย์ตกและมันช่างสวยงามจริงๆ
ในเวลานี้ทหารญี่ปุ่นกว่าสองร้อยนายที่ประจำการเฝ้าระวังอยู่บนเกาะไต้หวันก็ได้ยินการะเบิดครั้งใหญ่ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเมื่อสังเกตจากแสงไฟของสปอร์ตไลท์ที่หอสังเกตการณ์บนเกาะไต้หวันเย่เชียนก็เห็นทหารจำนวนมากวิ่งไปที่ชายหาดอย่างตื่นตระหนก
“เหล่าพี่น้องไอร่อนบลัดยกเว้นคนคุมเรือและเดินเรือทุกคนลงจากเรือและไปฆ่าพวกมันให้หมด!” หลี่เหว่ยออกคำสั่งและกระโดดลงไปในเรือยางก่อน เนื่องจากเรือรบจอดอยู่ใกล้กับเกาะจึงมีหลายแนวปะการังที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำดังนั้นเรือรบไม่ควรเข้าใกล้ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องหย่อนเรือยางลงและมุ่งหน้าไปยังชายหาย เมื่อได้ยินคำสั่งของหลี่เหว่ยแล้วเหล่าทหารเรือทั้งหมดของกองทัพเรือไอร่อนบลัดก็ฮึกเหิมและกระโดดลงเรือรบไปอย่างโกรธเกรี้ยวและมุ่งหน้าไปยังชายหาดเกาะไต้หวันอย่างรวดเร็ว
พวกเขาได้รับการฝึกอบรมมาอย่างเข้มงวดในการปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบกทั้งทางบกและทางน้ำดังนั้นแต่ละคนจึงเทียบได้กับนาวิกโยธินและหน่วยซีลของกองทัพ ซึ่งทั้งหมดที่พวกเขาฝึกล้วนเป็นหลักสูตรบังคับที่ได้มาตรฐานและแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีปัญหาอะไรใดๆทั้งสิ้นในการปฏิบัติการครั้งนี้
ความมืดมิดเปรียบเสมือนปีศาจที่กลืนกินแสงสว่างของโลกไปทีละน้อยและภายในช่วงเวลาสั้นๆหลี่เหว่ยและเหล่าทหารเรือไอร่อนบลัดก็หายไปท่ามกลางความมืดมิดทันที
“ปัง..ปัง..ปัง” ไม่นานก็มีเสียงปืนลั่นมาจากชายหาดเหมือนยมทูตที่พรากชีวิตของผู้คนไป
เย่เชียนก็หันไปเหลือบมองม่อหลงแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ..ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นพระเอกของเรื่องนี้แต่เราก็ไม่สามารถรอดูอยู่เฉยๆได้” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็ลงไปที่เรือยาง จากนั้นม่อหลงกับดีห์ราห์ก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิดและขับเรือยางไปยังชายหาดอย่างรวดเร็ว
ทหารญี่ปุ่นที่ประจำการอยู่ในเกาะไต้หวันนึกว่าคนเหล่านี้เป็นชาวประมงจีนติดอาวุธที่บุกเข้ามา อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขาเผชิญนั้นไม่ใช่เสียงกรีดร้องและคร่ำครวญอันน่าสลดใจแต่เป็นเสียงปืนที่ดังกระหน่ำซึ่งทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างมากและเมื่อพวกเขาได้เห็นอย่างใกล้ชิดแล้วพวกเขาก็พบกลุ่มคนชุดดำติดอาวุธและเกราะจำนวนมากอยู่ข้างหน้าพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะตกใจและคิดว่ากองทัพของจีนได้บุกมาแล้ว
ถึงแม้ว่ากองกำลังทหารญี่ปุ่นเหล่านี้จะเย่อหยิ่งแต่พวกเขาก็ต้องหวาดกลัวเมื่อพบกับกองทัพแห่งชาติของจีนจริงๆ ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงหาที่หลบและตะโกนถามว่า “พวกแกเป็นใคร?..กล้าบุกเข้ามาในเขตปกครองพิเศษของประเทศญี่ปุ่นงั้นเหรอ?”
คนพวกนี้พูดด้วยภาษาญี่ปุ่นดังนั้นเย่เชียนจึงไม่เข้าใจแต่ทว่าเย่เชียนก็มีม่อหลงอยู่ข้างๆคอยตีความและแปลให้เย่เชียนฟังอย่างช้าๆ
เย่เชียนโบกมือเพื่อให้เหล่าทหารเรือไอร่อนบลัดหยุดการโจมตี ซึ่งหลังจากเห็นเหล่าทหารเรือไอร่อนบลัดล้มตายไปทีละคนหัวใจของเย่เชียนก็กระตุกในทันที ซึ่งท่ามกลางสงครามแน่นอนว่ามันจะต้องมีความตายและการสูญเสียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่มันก็เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันเพราะไม่ว่าความตายจะเป็นสิ่งที่น่าโศกเศร้าแต่เห็นได้ชัดว่าเหล่าทหารไอร่อนบลัดที่ตายไปก็ตายอย่างสมเกียรติ
“ถอยทัพออกไปจากที่นี่ซะ!” เย่เชียนตะโกนอย่างเดือดดาล
สงครามก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมันก็จบลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน เดิมทีทหารญี่ปุ่นเหล่านี้ที่ประจำการอยู่บนเกาะไต้หวันคิดว่ากองทัพของจีนไม่กล้าที่จะทำอะไรพวกเขาดังนั้นพวกเขาจึงกล้าที่จะปักหลักอยู่เช่นนี้แต่ทว่าตอนนี้พวกเขาถูกโจมตีจริงๆ ดังนั้นความตั้งใจในการต่อสู้ของพวกเขาจึงหมดไปและยิ่งไปกว่านั้นกองทัพแห่งชาติญี่ปุ่นที่มีคนมากกว่าสองร้อยคนได้เสียชีวิตไปแล้วในการปะทะที่ดุเดือดเมื่อครู่นี้และตอนนี้ก็มีคนที่รอดชีวิตไม่ถึงร้อยคนเท่านั้น ซึ่งเมื่อได้ยินเสียงของเย่เชียนแล้วพวกเขาก็ไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้อีกต่อไปแล้วและพวกเขาก็วางปืนลงกับพื้นและยกมือขึ้นอย่างเชื่อฟัง
“พวกแกสังกัดกองทัพไหน?..พวกแกไม่รู้เหรอว่านี่คือเขตปกครองพิเศษของประเทศญี่ปุ่น..พวกแกไม่กลัวเรื่องข้อพิพาทระหว่างประเทศกันเหรอไงที่คิดมาโจมตีอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้” ทหารชาวญี่ปุ่นพูด
เย่เชียนก็แสยะยิ้มอย่างเย็นชาและหันไปมองหลี่เหว่ย เมื่อเห็นเช่นนั้นหลี่เหว่ยก็เตะเข่าของชายคนนั้นอย่างแรงจนชายคนนั้นคุกเข่าลง จากนั้นหลี่เหว่ยเหลือบมองคนอื่นๆแล้วพูดว่า “คุกเข่าลงซะ!” เมื่อได้ยินเช่นนั้นทหารญี่ปุ่นก็ถึงกับหวาดผวาและตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้และบางคนก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเพราะด้วยศักดิ์ศรีและเกียรติของชายชาติทหารแล้วถ้าคุกเข่าต่อหน้าศัตรูมันเสื่อมเสียเกียรติไม่ใช่หรือ? แต่ถ้าหากไม่คุกเข่าพวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องเผชิญกับอะไร
ในที่สุดพวกเขาก็ทนความกลัวตายในใจไม่ได้และเลือกที่จะคุกเข่าลง
เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็หัวเราะอย่างเย็นชาและพูดว่า “เกาะไต้หวันเป็นอาณาเขตของจีนมาตั้งแต่สมัยโบราณและมันไม่ใช่ที่ที่คนอย่างพวกแกจะมาเหยียบย่ำได้..ผู้ที่ท้าทายประเทศจีนของเราจะต้องถูกลงโทษ..พวกเราไม่ใช่กองทัพแห่งชาติของจีน..พวกเป็นเพียงกลุ่มคนที่ไม่สนใจเหตุผลระหว่างประเทศ..ดูเหมือนว่าแกน่าจะเป็นผู้บัญชาการกองร้อยนี้สินะ..แกเป็นคนที่สั่งให้จมเรือประมงจีนใช่มั้ย?”
เมื่อถูกสายตาอันเย็นยะเยือกของเย่เชียนจ้องมองแล้วชายชาวญี่ปุ่นคนนี้ก็สั่นสะท้านโดยไม่ตั้งใจจากนั้นเขาก็พูดว่า “กองทัพแห่งชาติญี่ปุ่นเป็นทหารที่เก่งที่สุดในโลกและเป็นบุตรของเทพสุริยันวิถีบูชิโดเพราะงั้นเราจะไม่ยอมพ่ายแพ้ให้กับกลุ่มกบฏเด็ดขาด..ในเมื่อพวกแกกล้าที่จะอ้างเหตุผลที่ไร้สาระออกมาฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด..เนื่องจากพวกแกเองก็เป็นทหารเพราะงั้นเรามาสู้แบบตัวต่อตัวและใช้จิตวิญญาณของบูชิโดเพื่อต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรีของชายชาติทหารกันดีกว่า” ผู้บัญชาการกองร้อยคนนี้ก็ดูเหมือนจะรู้ว่าวันนี้เขาไม่มีทางหนีพ้นความตายและหายนะนี้ไปได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงพูดแบบนี้ออกมาเพื่อที่จะหาโอกาสรอดชีวิตและต่อให้มันจะใช้ไม่ได้ผลก็ตามแต่อย่างน้อยๆเขาก็สามารถคว้าโอกาสรอดและกู้คืนศักดิ์ศรีของทหารญี่ปุ่น
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างดูถูกและพูดว่า “แม้ว่าจิตวิญญาณบูชิโดของพวกแกมันจะเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับฉันก็ตามแต่ฉันจะให้โอกาสพวกแก..เพราะงั้นตราบใดที่พวกแกสามารถชนะได้พวกแกก็จะรอดชีวิต” หลังจากพูดเย่เชียนก็มองไปที่ม่อหลงที่อยู่ด้านข้างและโบกมือให้ม่อหลงลงมือ
นี่เป็นศึกชี้ชะตาชีวิตดังนั้นแน่นอนว่าความกดดันก็ย่อมมีมากโดยธรรมชาติ ซึ่งเหตุผลที่เย่เชียนมอบการต่อสู้ให้ม่อหลงรับผิดชอบก็เพราะว่าในบรรดาคนเหล่านี้ทักษะการต่อสู้ของม่อหลงนั้นยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้นถ้าหากม่อหลงได้แสดงสิ่งที่เขาฝึกฝนมาตลอดหลายปีมันคงจะเป็นฉากที่ดีเลยทีเดียว
“บอสไหนบอสบอกว่าคราวนี้พระเอกของงานเป็นทหารเรือไอร่อนบลัดไง..เราจะให้ม่อหลงออกหน้าได้ยังไงเพราะมันควรจะเป็นพี่น้องไอร่อนบลัดของเราสิ” หลี่เหว่ยก้าวไปข้างหน้าและพูดเบาๆ
“ทุกคนคือพี่น้องแต่ม่อหลงนั้นไม่ได้แสดงฝีมือมาเป็นเวลานานแล้ว..ฉันกลัวว่าฝีมือของเขาจะตกหากไม่ได้ใช้มันมานานเพราะงั้นฉันถึงให้เขาออกโรงบ้าง” เย่เชียนพูด
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหว่ยก็เปิดปากของเขาแต่เมื่อเขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่างเขาก็พบว่าดวงตาของเย่เชียนดูจริงจังอย่างมากดังนั้นหลี่เหว่ยจึงรีบหุบปากและกลืนคำเหล่านั้นลงไปในทันที
ม่อหลงก็ก้าวออกมาและเหลือบมองเหล่าทหารของกองทัพแห่งชาติญี่ปุ่นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและพูดอย่างดูถูกพูด “ใครอยากตายก่อนก็ออกมา!”
ผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นก็เหลือบมองคนที่อยู่ข้างหลังเขาและหันไปหาทหารคนหนึ่งและโบกมือให้เขาออกมา ซึ่งทหารคนนั้นก็เดินไปข้างหน้าอย่างสั่นเทาและเหลือบมองม่อหลง ซึ่งเขาก็ตกใจไปกับใบหน้าของม่อหลงที่ดูเคร่งขรึมและไม่หวั่นเกรงใดๆจนเขาคุกเข่าลงโดยไม่ตั้งใจ
“แม่งเอ๊ย!” ผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นก็เตะลูกน้องของเขาอย่างโกรธเกรี้ยวจนเหล่าทหารเรือไอร่อนบลัดหัวเราะเยาะเสียงดังเพราะคนเหล่านี้ไม่กล้าแม้แต่จะต่อสู้แต่กล้าที่จะตะโกนเกี่ยวกับจิตวิญญาณของบูชิโดทุกวันซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระจริงๆ