ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 740 ความเกลียดชังทางเชื้อชาติ ตอนที่ 13
ตอนที่ 740 ความเกลียดชังทางเชื้อชาติ ตอนที่ 13
การปะทะกันในครั้งนี้เป็นช่วงเดียวกันกับที่สถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นกำลังวุ่ยวาย ด้วยวิธีนี้จึงทำให้สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของประเทศญี่ปุ่นไปได้ ดังนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นจึงไม่มีเวลาดูแลและไม่มีเวลาในการตรวจสอบเหตุการณ์นี้
ดังนั้นสิ่งต่างๆในประเทศญี่ปุ่นจะไม่ถูกกล่าวถึงในตอนนี้
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่น่าอับอายของอีกฝ่ายแล้วม่อหลงก็หมดความสนใจแลความตื่นเต้นท้าทายในทันทีจนดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูกเหยียดหยาม ดังนั้นม่อหลงจึงเหลือบมองคนเหล่านั้นแล้วพูดว่า “อย่าขี้ขลาดนักสิ..ถ้างั้นพวกแกก็เข้ามาพร้อมๆกันทีเดียวยี่สิบคนเลย!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นผู้บัญชาการกองร้อยก็สั่งให้ทหารญี่ปุ่น 20 คนก้าวออกมาอีกครั้งและเมื่อมีพรรคพวกมากมายจึงทำให้พวกเขามีพลังอันยิ่งใหญ่และมีความมั่นใจอย่างมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกลัวแต่ด้วยจำนวนคนที่มากกว่าแล้วพวกเขาจึงกลับมามีความตั้งใจที่จะต่อสู้ เมื่อเห็นเช่นนั้นม่อหลงก็ได้ดึงกริชดาวตกออกมาและในทันใดนั้นก็มีแสงสะท้อนออกมาจากใบมีดจนเหล่าทหารญี่ปุ่นอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวและสั่นสะท้านไปทั้งตัว จากนั้นพวกเขาก็รีบวิ่งเข้าไปหาม่อหลงด้วยเสียงตะโกนที่บ้าคลั่ง
ทหารญี่ปุ่นเหล่านั้นใช้ดาบคาตานะและถึงแม้ว่ากริชดาวตกจะสั้นเหมือนมัดแต่พลังและอนุภาคของมันก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่ใช้มัน กริชนี้อยู่ในมือของม่อหลงราวกับว่ามันมีชีวิตที่บินไปมาและมีแสงวิบวับตามการเคลื่อนไหว ซึ่งกริชดาวตกได้แทงเข้าไปที่หัวใจของคู่ต่อสู้เพื่อให้คู่ต่อสู้ได้มีโอกาสโต้กลับและในช่วงเวลาสั้นๆก็มีคนเหลือเพียงห้าคนจากยี่สิบคน
เมื่อมองดูเพื่อนที่ล้มลงไปทีละคนพวกที่เหลือก็ยิ่งหวาดผวาและสูญเสียความกล้าที่จะต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเห็นเช่นนั้นม่อหลงก็ยิ้มอย่างดูถูกและร่างกายของเขาก็พุ่งออกไปทันทีและกริชก็แทงทะลุหัวใจของทหารคนหน้าสุดในทันทีและโดยไม่ลังเลใดๆม่อหลงก็หมุนตัวกลับแล้วใช้หลังมือสับเข้าไปที่คอของอีกคนและเมื่อมองไปที่คนอีกสองคนที่เหลืออยู่ม่อหลงก็ดึงกริชออกมาจากคนแรกและเมื่อมันกำลังจะไปถึงหน้าอกของทหารญี่ปุ่นอีกคนที่อยู่ด้านหลังจู่ๆม่อหลงก็หยุดและเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ทหารญี่ปุ่นคนสุดท้ายจากนั้นก็ใช้กริชดาวตกแทงเข้าไปที่หน้าอกของทหารญี่ปุ่นคนนั้นแล้วใช้มืออีกข้างคว้ามีดสั้นที่เอวของทหารญี่ปุ่นคนนั้นแล้วหมุนตัวกลับไปยังทหารญี่ปุ่นคนก่อนหน้าแล้วใช้มีดเล่มนั้นปักเข้าไปที่ศีรษะจนใบมีดจมอยู่ในกะโหลกอย่างสมบูรณ์แบบและมีเพียงด้ามจับเท่านั้นที่โผล่ออกมาให้เห็น
จากนั้นม่อหลงก็ค่อยๆดึงกริชดาวตกของเขาออกมาและเช็ดเลือดด้วยเสื้อผ้าของคู่ต่อสู้และเตะร่างอันไร้วิญญาณด้วยเท้าข้างหนึ่ง จากนั้นเขาก็หันไปมองเหล่าทหารญี่ปุ่นอย่างเย็นชาและกลับมาที่ด้านข้างของเย่เชียน
ในองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่านั้นม่อหลงน่าจะเป็นคนที่เก่งที่สุดรองจากเย่เชียนและหมาป่าผีไป๋ฮวย ซึ่งม่อหลงนั้นได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนมาเป็นเวลาเกือบสองปีแล้วและเขาก็ได้ฝึกฝนทักษะการต่อสู้ของสำนักม่อจื๊อที่สืบต่อกันมานับพันปี ดังนั้นแน่นอนว่าคนธรรมดาย่อมเทียบกับม่อหลงไม่ได้เลย
ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะความพิเศษในร่างกายของเย่เชียนแล้วเกรงว่าเย่เชียนอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของม่อหลงเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ในคืนนั้นระดับพลังชี่ในร่างกายของเย่เชียนก็ทะลวงขอบเขตศิลปะการต่อสู้โบราณขั้นสูงระดับสามได้แล้ว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพก็ยิ่งก้าวกระโดดและทักษะที่ผ่านมาในอดีตก็เทียบไม่ได้กับตอนนี้เลย
หลี่เหว่ยก็ไม่ต้องการเสียศักดิ์ศรีในฐานะผู้บัญชาการทหารเรือไอร่อนบลัดดังนั้นเขาจึงรีบก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและเหลือบมองทหารญี่ปุ่นที่เหลือแล้วพูดว่า “สามสิบคน!”
เดิมทีพวกเขาก็ตกใจกับความเก่งกาจของม่อหลงแล้วและในตอนนี้เหล่าทหารญี่ปุ่นก็ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัวหลัง ซึ่งจากได้ฟังคำพูดของหลี่เหว่ยแล้วก็ไม่มีใครกล้าก้าวออกมาข้างหน้าแต่ก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่อผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นเห็นก็ตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ไอ้พวกบ้า” จากนั้นก็ผลักผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปอย่างแรงทีละคนและไม่นานนักทหารญี่ปุ่นทั้งสามสิบคนก็ถูกผลักออกมา
หลี่เหว่ยก็มองดูทหารญี่ปุ่นสามสิบคนที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างเย็นชาและมือทั้งสองข้างของเขาก็ถือมีดคารัมบิตคู่ ทันใดนั้นก็มีแสงวาบในดวงตาของเขาและเขาก็พุ่งออกไปข้างหน้า หลังจากนั้นทหารญี่ปุ่นหกคนก็ล้มลงซึ่งคอของพวกเขาทั้งหมดถูกปาดด้วยมีดคารัมบิตและเมื่อพวกเขากำลังจะตายพวกเขาก็เอามือจับคอของตัวเองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเขานั้นได้ตายไปแล้ว ในองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่านั้นตราบใดที่คู่ต่อสู้ยังไม่ตายอย่างสมบูรณ์ล่ะก็พวกเขาห้ามละเลยเป็นอันขาดและไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูกี่คนเขาก็ไม่สามารถประมาทได้และจะผ่อนคลายได้หลังจากที่ศัตรูทั้งหมดตายไปแล้วเท่านั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นทหารญี่ปุ่นที่เหลืออีกยี่สิบสี่คนรีบเร่งด้วยความหวาดกลัวแต่ถ้าหากหนีก็ต้องตายดังนั้นพวกเขาจึงทำใจสู้เสียดีกว่าตายไปอย่างไม่พยายามเพราะบางทีอาจจะยังมีโอกาสชนะอยู่แต่น่าเสียดายที่เห็นได้ชัดว่าพวกเขานั้นไม่มีโอกาสเผชิญหน้ากับหลี่เหว่ยเลย ในเวลานี้ชองเฟิงนั้นเปล่งประกายไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างเย็นชาและแสงอันเยือกเย็นผสมกับเลือดสดๆและมีกลิ่นคาวของเลือดจนความน่าสยดสยองกัดเซาะจิตใจผู้ที่ได้เห็น แน่นอนว่าหลี่เหว่ยนั้นก็ไม่ได้เกรงกลัวใดๆเขาก็ยังคงพุ่งออกไปและโจมตีด้วยมือซ้ายและขวาพร้อมๆกัน ไม่นานนักทหารญี่ปุ่นทั้งยี่สิบสี่คนก็จับคอของตัวเองและล้มลงไปกับพื้นทีละคน
หลี่เหว่ยก็เหลือบมองคนที่เหลืออย่างเดือดดาลและดวงตาของหลี่เหว่ยก็เต็มไปด้วยความดูถูกจากนั้นเขาก็เดินกลับมาที่ด้านข้างของเย่เชียนอย่างเงียบๆ
ในการประลองแค่สองครั้งคนสองคนก็ฆ่าศัตรูไปถึง 50 คนจนทำให้กองทัพแห่งชาติญี่ปุ่นสูญเสียประสิทธิภาพในการรบไปอย่างสิ้นเชิงและหัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความกลัวจนสั่นไปทั้งตัวและถอยกลับโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะสู้ต่อ
จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองดีห์ราห์และเมื่อเห็นเช่นนั้นดีห์ราห์ก็พยักหน้าแล้วเดินออกไป ซึ่งเย่เชียนก็ยื่นมีดคลื่นโลหิตให้แล้วพูดว่า “นี่เป็นอาวุธที่ฉันรักที่สุด..ฉันจะให้นายืมเพราะงั้นอย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ”
ดีห์ราห์ก็เอื้อมมือไปหยิบมันแล้วเสียบเอาไว้ที่เข็มขัดของเขาจากนั้นก็ชี้ไปที่ทหารญี่ปุ่นที่เหลืออยู่แล้วพูดว่า “ออกมาพร้อมกันทีเดียวเลย!”
เมื่อเห็นเช่นนั้นผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นก็หันกลับมาและพบว่าทหารผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาสูญเสียประสิทธิภาพและกำลังใจในการต่อสู้ไปแล้วและพวกเขาก็มองหน้ากันอย่างสยดสยอง ซึ่งภายใต้ค่ำคืนที่ลมหนาวของทะเลพัดผ่านก็สามารถทำให้เหล่าทหารญี่ปุ่นเหงื่อตก ซึ่งนี่หรือคือวิถีแห่งบูชิโดเกรงว่ามันคงไม่ต่างอะไรกับเรื่องไร้สาระเลย
“ในเมื่อพวกแกไม่เข้ามาถ้างั้นฉันจะเป็นฝ่ายเข้าไปหาเองก็แล้วกัน” เมื่อเสียงของดีห์ราห์จบลงร่างของเขาก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับหมัดโยคะอันทรงพลังที่กระทบหน้าอกเหล่าทหารญี่ปุ่นอย่างรุนแรงจนกระเด็นออกไปทันที แม้แต่คนที่อยู่ข้างหลังก็ไม่สามารถหนีความโชคร้ายนี้ไปได้
ฉากนี้ทำให้เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเพราะทักษะการต่อสู้นี้ไม่เหมือนโยคะแต่เหมือนมวยปาจี๋ที่เผยแพร่ในประเทศจีน แต่ในเวลานี้เย่เชียนไม่สะดวกที่จะถามเพิ่มเติมและได้แต่สังเกตต่อไป
การกระทำของดีห์ราห์ก็ไม่ได้มีแค่นี้เพราะเขาใช้หมัดปล่อยออกไปเป็นชุดๆและหมัดแต่ละหมัดก็จะมาพร้อมกับเสียง “กรึก” เสียงกระดูกของคู่ต่อสู้ที่หักและแตกอย่างน่าหวาดผวาเหมือนกับเพลงจังหวะ ในสายตาของเย่เชียนที่ดีห์ราห์เหลือบไปเป็นนั้นเขาก็เข้าใจความหมายของเย่เชียนได้เป็นอย่างดีและนั่นคืออย่าปล่อยให้คนเหล่านี้ตายอย่างมีความสุข ดังนั้นทุกๆหมัดของดีห์ราห์จึงเป็นการทำลายกระดูกและข้อต่อของเหล่าทหารญี่ปุ่นและไม่ใช่กระดูกไหล่หรือข้อมือและแขนเท่านั้นแต่ทั้งกระดูกขา หรือซี่โครงก็ด้วย ซึ่งทหารญี่ปุ่นที่ล้มลงไปกับพื้นก็ยังคงคร่ำครวญอย่างน่าอนาถ หากม่อหลงและหลี่เหว่ยทำให้เหล่าทหารญี่ปุ่นกลัวแล้วล่ะก็ไม่ต้องพูดถึงดีห์ราห์เลยเพราะดีห์ราห์ทำให้พวกเขาสูญเสียทั้งจิตวิญญาณและกำลังใจในการต่อสู้ ซึ่งมันไม่ใช่แค่การทรมานทางร่างกายเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการทรมานทางจิตใจด้วย
ผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นก็มองดูผู้ใต้บังคับบัญชาของตนล้มลงไปทีละคน จากนั้นเขาก็ค่อยๆเอามือขวาของเขาเอื้อมไปที่หลังของเขาซึ่งมีปืนพกซ่อนอยู่ ซึ่งจิตวิญญาณของชาวญี่ปุ่นที่เรียกว่าวิถีแห่งบูชิโดนั้นจะแสดงให้เห็นก็ต่อเมื่อมั่นใจว่าจะชนะเท่านั้นเพราะถ้าหากล้มเหลวพวกเขาก็จะคิดหาทางอื่นอย่างน่ารังเกียจและเสื่อมเสียเกียรติอย่างยิ่ง
แต่น่าเสียดายที่กลุ่มคนที่เขาเผชิญอยู่นั้นไม่ใช่คนที่มีศีลธรรมและความยุติธรรมบนบ่านัก ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ใช่สุภาพบุรุษที่แท้จริงแต่เย่เชียนนั้นเป็นวายร้ายตัวจริงต่างหาก ซึ่งเย่เชียนเคยเห็นคนเหล่านี้มามากมายที่มักจะชักหอกและดาบออกมาในสถานการณ์ที่ตนเองจนตรอก โดยไม่มีใครรู้ตัวเลยแม้แต่คนเดียวจู่ๆร่างของเย่เชียนก็หายวับไปแล้วมาโผล่ตรงหน้าของผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นจนเขาก็ตกตะลึงและถอยกลับไปโดยไม่รู้ตัวและเขาก็พูดไม่ออกด้วยความตกใจจนแม้แต่การเคลื่อนไหวของเขาด้วยมือก็หยุดชะงักไปในทันที
“หืม..นี่คือจิตวิญญาณแห่งบูชิโดที่ชาวญี่ปุ่นภาคภูมิใจนักภาคภูมิใจหนาไม่ใช่เหรอ?” เย่เชียนถามด้วยการเยาะเย้ยและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยการดูถูก จากนั้นเย่เชียนก็ใช้มือซ้ายจับไหล่ขวาของผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นและบีบอย่างรุนแรงจากนั้นก็มีเสียง “กรึก” สะบักไหล่ทั้งหมดของผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นก็ถูกเย่เชียนบดขยี้และเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากคร่ำครวญ
“ดีห์ราห์..ส่งพวกมันไปลงนรกซะ!” เย่เชียนเหลือบมองไปที่ดีห์ราห์และพูดเบาๆ
“ได้ครับ!” ดีห์ราห์ก็ตอบโดยไม่ลังเลใดๆและหลังจากนั้นมันก็เหมือนกับการเข่นฆ่าสัตว์และได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องอันคร่ำครวญของเหล่าทหารญี่ปุ่น
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้สิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณและวิถีแห่งบูชิโดในหัวใจของผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นก็แตกสลายและขาของเขาก็อ่อนแรงจนคุกเข่าลงเสียงดับ “พรึบ”
“หืม..นี่แกกำลังทำอะไรอยู่..นี่เหรอจิตวิญญาณแห่งบูชิโด..แกไม่ได้เป็นคนพูดเหรอว่าศักดิ์ศรีและเกียรติของชาวญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่น่ะ..ทำไมแกถึงคุกเข่าต่อหน้าศัตรูล่ะ?” เย่เชียนพูดประชดประชัน
“ไม่..จิตวิญญาณแห่งบูชิโดของเรามีอะไรประดับให้คำพูดสวยหรูเท่านั้น..ตราบใดที่คุณไม่ฆ่าผมล่ะก็ผมจะสัญญากับคุณทุกอย่าง..ผมจะให้เงินและผู้หญิงกับคุณ..ขอแค่คุณอย่าฆ่าผมก็พอแล้ว” ผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นอ้อนวอนอย่างคร่ำครวญ
“แกคิดว่าฉันขาดเงินหรือผู้หญิงอย่างงั้นเหรอ?….” เย่เชียนพูดลากเสียงอย่างจงใจและมองไปที่คนข้างหน้าเขาอย่างสนุกสนาน
ผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นมองไปที่เย่เชียนอย่างคาดหวังโดยคาดหวังว่าเย่เชียนจะยอมรับข้อเสนอและปล่อยเขาไป
“แกจะแนะนำผู้หญิงให้ฉันงั้นเหรอ?” เย่เชียนแกล้งถามอย่างสนุกสนาน “ฉันชอบผู้หญิงสวยๆและต้องเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์ด้วย”
“มีครับๆ!” ผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นพูดอย่างกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความหวังโดยคิดว่าเย่เชียนนั้นสนใจข้อเสนอและตราบใดที่เขาสามารถตอบสนองความต้องการของเย่เชียนได้เขาก็จะไม่เป็นอะไร “เอ่อ..ลูกสาวของผมปีนี้เธออายุสิบหกปี..เธอยังเป็นสาวพรหมจารี..ส่วนภรรยาของผมคุณก็สามารถพาเธอไปได้เช่นกัน” ผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นพูดอย่างเร่งรีบ
“บอสอย่าไปสนใจข้อเสนอของมัน..ลูกสาวของมันอาจจะสวยแต่บอสอาจจะต้องตกใจเมื่อภรรยาของมันถอดเสื้อผ้าออก” หลี่เหว่ยตะโกนจากด้านหลัง
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เพราะหลี่เหว่ยนั้นไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ซึ่งสิ่งที่เขาพูดออกไปก็แค่เป็นการล้อเล่นเท่านั้น
“ไม่ๆ..ภรรยาของฉันก็เหมือนกับลูกสาวเลย..เธอสวยจริงๆ” ผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นอธิบายอย่างเร่งรีบ
“แกหมายถึงลูกสาวเป็นเหมือนภรรยาของแกเหรอ?” เย่เชียนถามอย่างสนุกสนาน
“ไม่ใช่อย่างนั้น..ผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น” ผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นรีบตอบ
“หืม..เธอไม่ใช่ลูกของแกใช่มั้ย?..ภรรยาของแกปิดบังอะไรแกหรือเปล่า..แต่มันก็ไม่สำคัญหรอกเพราะใครๆก็บอกเสมอว่าผู้ชายชาวญี่ปุ่นดูเหมือนไม้จิ้มฟัน” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่!..เธอไม่ใช่ลูกของผม..ภรรยาของผมตั้งครรภ์ระหว่างที่ผมเข้ากรมทหารและผมก็ไม่รู้เลยว่าเธอเป็นลูกของใครกันแน่” ผู้บัญชาการกองร้อยญี่ปุ่นตอบ
“แม่งเอ๊ยนี่มันบ้าไปแล้วเหรอ!..ไอหมอนี่โง่จริงๆ” หลี่เหว่ยอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
.