ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 743 ความกังวลที่ฝังอยู่ในใจ
ตอนที่ 743 ความกังวลที่ฝังอยู่ในใจ
เมื่อพูดถึงหลินฟานแล้วจิตใจของหลินเฟิงก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะความปรารถนาของเด็กกำพร้าที่โหยหาญาติและครอบครัวนั้นรุนแรงอย่างมาก หลินเฟิงเองก็คิดเสมอว่าครอบครัวของเขานั้นเสียชีวิตในกองเพลิงในเหตุการณ์ครั้งนั้นไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตามหลังจากได้ยินไป๋ฮวยพูดเกี่ยวกับหลินฟานแล้วหลินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะจุดไฟแห่งความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มคนนั้นจะใช่น้องชายที่หายไปของเขาหรือไม่? หลินเฟิงไม่รู้อะไรเลยแต่เขาก็คาดหวังอย่างใจจดใจจ่อว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นน้องชายของเขาและเขาก็จะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป
หลังจากอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ได้สองสามวันเย่เชียนก็พาหลินเฟิงเดินทางไปที่หมู่บ้านเล็กๆในพื้นที่ภูเมืองเซวียนเฉิงเขาทางตอนใต้
มันเป็นช่วงเวลายามว่างที่หาได้ยากดังนั้นเย่เชียนจึงใช้เวลาสองสามวันนี้เพื่อใช้เวลากับเหล่าผู้หญิงของเขาแต่จ้าวหยานั้นได้เดินทางไปที่เขตการปกครองพิเศษไต้หวันแล้วและกำลังยุ่งอยู่กับธุรกิจของเดอะมัวร์กรุ๊ปในภูมิภาคเอเชียและปัจจุบันเธอก็เป็น CEO ของเดอะมัวร์กรุ๊ปประจำภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นเธอจึงไม่ว่างเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
ทางด้านของหลินโรวโร่วก็ยุ่งอยู่กับการจัดการโครงการและมูลนิธิกองทุนแห่งอนาคตภายใต้เครือน่านฟ้ากรุ๊ปแต่โชคดีที่โครงการเหล่านี้จัดตั้งอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ดังนั้นเธอจึงสามารถพบเย่เชียนได้ทุกคืน ส่วนฉินหยูตอนนี้เธออยู่ที่บ้านคอยดูแลเย่ฮ่าวหรานกับเย่หลินราวกับว่าเธอเป็นแม่คนอย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนหูวเค่อเธอก็คอยดูแลสถานการณ์โดยรวมในฝั่งไต้หวันและเกรงว่าเธอคงจะไม่มีเวลากลับมาก่อนเทศกาลปีใหม่เลย
เย่ฮ่าวหรานนั้นก็อายุ 1 ขวบกว่าๆแล้วแต่เขาก็ไม่รู้วิธีเรียกพ่อเพราะเมื่อเขาเห็นเย่เชียนเขาก็ไม่คุ้นเคยและขี้อาย ซึ่งเย่เชียนรู้สึกว่าเย่หลินนั้นดูเหมือนลูกของเขาเองเสียมากกว่าแต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าเย่ฮ่าวหรานนั้นเป็นเลือดเนื้อและทายาที่แท้จริงของเขา
หลังจากผ่านไปสองสามวันเจ้าตัวเล็กก็ค่อยๆคุ้นเคยกับเย่เชียนและเริ่มกล้าที่จะเข้าหามากขึ้น บางครั้งถึงแม้ว่าเขาจะเรียกร้องหาพ่อแต่เขาก็ยังปฏิเสธที่จะอยู่กับเย่เชียนตามลำพังและร้องเรียกหาฉินหยูแทน ส่วนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเย่หลินนั้นเธอก็ค่อนข้างโตไวเลยทีเดียวเพราะเธอสามารถควบคุมเพื่อนร่วมชั้นเหล่านั้นอยู่ในกำมือของเธอราวกับว่าเธอเป็นหัวหน้าใหญ่ เกรงว่าเธอจะเป็นอู๋เจ๋อเทียนคนที่สองที่มีไหวพริบและฉลาดเกินจนสามารถควบคุมจิตใจคนได้อย่างสมบูรณ์ให้อยู่ในกำมือได้
ครั้งนี้เย่เชียนไปพื้นที่ภูเขาทางตอนใต้ของมณฑลอานฮุยและมีเพียงเย่เชียนกับหลินเฟิงเท่านั้นเพราะเมื่อม่อหลงกลับมาถึงประเทศจีนเขาก็เดินทางไปยังเมืองปักกิ่งต่อเพื่อไปหาหวงฟู่ชิงเตี๋ยน ซึ่งเย่เชียนก็รู้ดีว่าในหัวใจของม่อหลงเป็นดั่งเปลวไฟแห่งการแก้แค้นที่แผดเผาและไม่เพียงแค่มันไม่ลดน้อยลงเท่านั้นแต่ในทางกลับกันมันกลับยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆตามกาลเวลา ม่อหลงนั้นได้เรียนรู้จากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนว่าสำนักม่อจื๊อนั้นแข็งแกร่งเพียงใดและสาวกสายธรรมะนั้นก็ได้แยกทางและสลายกลุ่มกันไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะรวบรวมพวกเขาเข้าด้วยกัน ด้วยพลังของม่อหลงในตอนนี้ก็ไม่มีทางรับมือกับสาวกม่อจื๊อสายอธรรมและฟื้นฟูสำนักกับตำแหน่งที่เขาควรจะอยู่ได้เลย
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับม่อหลงในตอนนี้คือการฝึกฝนตัวเองและพยายามพัฒนาขอบเขตของขั้นศิลปะการต่อสู้โบราณของเขาและรอจนกว่าจะสามารถติดต่อสาวกม่อจื๊อสายธรรมะเพื่อให้สามารถรับมือกับสาวกสายอธรรมได้ก่อน อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้นเพราะถ้าหากไม่ใช่เพราะการสนับสนุนของเย่เชียนและหวงฟู่ชิงเตี๋ยนแล้วม่อหลงคงจะสิ้นหวังและคงจะเสียชีวิตก่อนที่เขาจะสามารถทำสิ่งต่างๆได้
สำหรับดีห์ราห์นั้นเย่เชียนก็พึงพอใจกับการกระทำของเขาหลายครั้งติดต่อกัน อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าการให้เขาอยู่ข้างๆเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆมันจะเป็นสิ่งที่ดีก็ตามแต่มันก็ไม่ได้สะดวกตลอดเวลาดังนั้นเย่เชียนจึงย้ายเขาไปยังประเทศเมียนมาร์และให้เฟิงหลานคอยดูแลดีห์ราห์ ตอนนี้การพัฒนาของประเทศเมียนมาร์ก็เป็นไปอย่างราบรื่นมาก โดยพื้นฐานแล้วมันก็เริ่มถึงจุดอิ่มตัวและถึงเวลาที่จะขยายอำนาจขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าไปยังส่วนอื่นๆของโลกแล้ว ซึ่งนี่เป็นโอกาสสำหรับดีห์ราห์ที่จะแสดงความสามารถโดยการเพิ่มอิทธิพลและอำนาจขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าไปยังประเทศอินเดีย
ถึงแม้ว่าการกระทำล่าสุดของดีห์ราห์จะทำให้เย่เชียนพึงพอใจมากแต่เวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นยังน้อยมาก ดังนั้นแน่นอนว่าเย่เชียนยังไม่ได้เชื่อใจดีห์ราห์อย่างเต็มที่เย่เชียนจึงแอบสั่งเฟิงหลานจับตาดูดีห์ราห์เอาไว้และอย่าปล่อยให้ดีห์ราห์ทำอะไรเกินขอบเขตไป ถึงแม้ว่าเย่เชียนหวังที่จะขยายอำนาจขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าไปยังอินเดียและหาคนที่รับผิดชอบสาขานั้นแต่เย่เชียนก็ไม่อาจตั้งความหวังทั้งหมดเอาไว้ที่ดีห์ราห์ได้เพราะท้ายที่สุดเย่เชียนก็ยังไม่ได้รู้จักดีห์ราห์มากพอดังนั้นเย่เชียนจึงยังไม่เชื่อใจดีห์ราห์ ถึงแม้ว่าการพัฒนาขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าทั้งหมดจะเชื่อมโยงถึงกันและมีอยู่อย่างอิสระ ด้วยเหตุนี้ต่อให้มีสิ่งต่างๆผิดพลาดที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดียมันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาโดยรวมขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าแต่มันจะล่าช้าและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในแผนการโดยรวมของเย่เชียน ทั้งหมดทั้งมวลไม่สามารถตรึงความหวังไว้กับบุคคลที่ไม่รู้จักได้
หลังจากนั่งรถมาเป็นเวลานานในที่สุดพวกเขาก็มาถึงตัวเมืองในช่วงเย็นของวัน จากนั้นเขาก็นั่งแท็กซี่และตรงไปที่หมู่บ้านซูชูระหว่างทางหลินเฟิงไม่ได้พูดอะไรใดๆเพราะเขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยและอารมณ์ของเขาก็ปั่นป่วนอย่างมากและสมองของเขาก็ไม่อาจหยุดคิดเรื่องน้องชายได้เลย
เมื่อเห็นหลินเฟิงที่ครุ่นคิดอยู่ด้านข้างเย่เชียนก็ตบไหล่เขาและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไปหรอก..กว่าเราจะไปถึงก็ประมาณพรุ่งนี้เช้าเพราะถนนบนภูเขามันไม่ค่อยดี..ถ้าเราไปถึงพี่หลินก็จะได้รู้ทุกอย่าง..ไม่ต้องใจร้อนถึงขนาดนั้น”
หลินเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เย่เชียนนายไม่เข้าใจหรอกตอนนี้ฉันประหม่ามาก..ฉันไม่เคยกังวลขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต..เย่เชียนนายลองคิดดูสิว่าถ้าหลินฟานเป็นน้องชายของฉันจริงๆเขาจะจำฉันได้มั้ย?..เขาจะโทษฉันที่ทิ้งเขามั้ย?”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “พี่หลินรู้ไหมว่าตอนนี้พี่เหมือนอะไร?..พี่ทำตัวเหมือนผู้หญิงที่ขมขื่นและกังวลกับทุกสิ่งทุกอย่าง..แบบนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยและไม่ว่าตอนนี้พี่จะกังวลมากแค่ไหนแต่มันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี..พี่พักผ่อนเถอะไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าถ้าหลินฟานมาเห็นสภาพที่ดูซีดเซียวของพี่หลินมันคงไม่ดี..นั่นจะไม่ทำให้เขาลำบากใจมากกว่าเดิมเหรอ?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหลินเฟิงก็พยักหน้าเบาๆและเริ่มผ่อนคลายจากนั้นก็หลับตาลง อย่างไรก็ตามเขาก็ยังมีความกังวลอยู่ในใจของและไม่มีทางที่จะลบมันออกไปได้ แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นเข้าใจอารมณ์ของหลินเฟิงได้เป็นอย่างดีโดยรู้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโน้มน้าวหรือพยายามทำให้เขาใจเย็นลงดังนั้นเย่เชียนจึงหลับตาและพักผ่อนเช่นกัน
เมื่อท้องฟ้ามืดลงทิวทัศน์ริมถนนก็มองไม่เห็นอีกต่อไป ในเวลานี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสถานการณ์เมื่อตอนที่เขามาที่นี่ในวันนั้นเป็นครั้งแรก ที่มีฝูงหมาป่ากำลังไล่ล่าหลินฟานอยู่จนเย่เชียนนั้นมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับเด็กคนนี้ว่าตราบใดที่หลินฟานมีโอกาสในชีวิตเขาก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้ในอนาคตและอาจจะดียิ่งกว่าตัวของเย่เชียนเองด้วยซ้ำ
“ถึงแล้วครับท่าน!” คนขับแท็กซี่ก็ค่อยๆหยุดรถแล้วเรียก
เย่เชียนและหลินเฟิงก็ค่อยๆลืมตาขึ้นจากนั้นเย่เชียนก็มองออกไปข้างนอกแล้วพบว่ามันรุ่งเช้าแล้ว จากนั้นเย่เชียนก็หันมองไปที่หลินเฟิงแล้วพูดว่า “นี่พี่หลินเราลงจากรถกันเถอะ”
หลินเฟิงก็มองออกไปข้างนอกและพยักหน้าเบาๆจากนั้นก็เปิดประตูแล้วเดินลงไป ส่วนเย่เชียนก็เอื้อมมือไปยื่นเงินให้คนขับแท็กซี่ 400 หยวนและคนขับก็รับเงินไปจากนั้นก็เหลือบมองแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชายเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?..ทำไมถึงให้มาแค่สี่ร้อยหยวนล่ะ?..ค่าโดยสารมาที่นี่มันอย่างน้อยๆต้องสองพันหยวนนะ”
อันที่จริงระยะทางจากตัวเมืองถึงหมู่บ้านซูชูนั้นไม่ไกลมากแต่เนื่องจากหนทางถนนไม่ค่อยจะดีมันจึงทำให้การเดินทางไม่สะดวกนักดังนั้นพวกเขาจึงมาถึงช้ากว่าปกติ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็เงยหน้าขึ้นมองคนขับแท็กซี่แล้วพูดว่า “พี่ชายจะเอาเปรียบคนต่างถิ่นอย่างพวกเรางั้นเหรอ..ตอนเราถามว่าค่าโดยสารเท่าไหร่คุณก็ตอบว่าสี่ร้อยหยวนแต่ตอนนี้คุณกลับบอกว่าสองพันหยวนมันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ?”
เย่เชียนนั้นเข้าใจถึงความคิดที่ชั่วร้ายของคนขับแท็กซี่คนนี้อย่างแน่นอนเพราะเขาแค่คิดว่าเย่เชียนกับหลินเฟิงนั้นเป็นคนต่างถิ่นที่ไม่รู้อะไรดังนั้นเขาจึงต้องการโก่งราคาค่าโดยสาร แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้โง่เพราะถ้าคนขับแท็กซี่พูดกับเขาดีๆโดยบอกว่าถนนมันไม่ค่อนข้างเดินทางลำบากจนอาจทำให้รถเสื่อมสภาพหรืออะไรทำนองนั้นเย่เชียนก็จะไม่ขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าคนขับแท็กซี่คนนี้ได้ขู่กรรโชกและโก่งราคาโดยสารอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้เย่เชียนจึงไม่พอใจอย่างมาก
“โถ่น้องชาย..อย่าหาว่าฉันเอาเปรียบคนต่างถิ่นสิ..รีบๆจ่ายมาเถอะ” คนขับแท็กซี่พูด
“ผมขอเตือนคุณเอาไว้เลยนะว่าตั้งแต่ผมอยู่มาไม่มีใครกล้าข่มขู่หรือโก่งราคาโดยสารแบบนี้เลย..เพราะงั้นก็รับไปซะ!” เย่เชียนเปิดประตูรถออกไปแล้วเดินออกไปในทันที
คนขับแท็กซี่ก็รีบลงรถตามมาแล้วพูดว่า “เฮ้ยน้องชายเมื่อกี้นี้แกพูดว่าไงนะ?..ถ้าแกเก่งนักล่ะก็มาเจอกันหน่อยสิ”
เย่เชียนก็แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ผมไม่อยากเสียเวลาเพราะงั้นก็รับเงินสี่ร้อยหยวนไปซะมันไม่ได้น้อยเลย..ตอนที่ผมมาที่นี่ครั้งที่แล้วผมก็จ่ายให้แท็กซี่ไปสี่ร้อยหยวน..ผมไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นหรอก”
เมื่อเห็นเช่นนั้นหลินเฟิงก็เหลือบมองคนขับแท๊กซี่อย่างโกรธเกรี้ยวและพูดอย่างเย็นชาว่า “นี่แกจะทำอะไร?..แกเชื่อมั้ยว่าฉันสามารถฆ่าแกซะตรงนี้เลยก็ยังได้?” เดิมทีหลินเฟิงนั้นมีแต่ความกังวลใจเพราะเขาต้องการไปพบหลินฟานแต่กลับมาเจอคนขับแท็กซี่ที่งี่เง่าเช่นนี้มันก็เท่ากับว่าคนขับแท็กซี่คนนี้กำลังมองหาความตายไม่ใช่หรือ?
“หืม..ทำไม?..แกเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?..ฉันไม่กลัวหรอกเพราะฉันจะเป็นฝ่ายฆ่าพวกแกในวันนี้เอง” คนขับแท็กซี่พูดจบเขาก็หันหลังเดินกลับไปที่รถและหยิบท่อเหล็กกล้าออกมาเพื่อจะมาต่อสู้กับหลินเฟิงอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อเห็นฉากนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มและส่ายหัวเบาๆ ในเวลานี้ใบหน้าของหลินเฟิงก็มืดมนลงและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า เมื่อเห็นเช่นนั้นคนขับแท็กซี่ก็พูดว่า “แม่งเอ๊ยไอ้พวกบ้านนอก..ฉันจะฆ่าพวกแกและโยนศพลงจากภูเขาซะ” หลังจากนั้นคนขับแท็กซี่ก็พุ่งเข้าไปหาหลินเฟิงพร้อมกับท่อเหล็ก
หลินเฟิงก็ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์และเขาก็รีบพุ่งเข้าไปหาคนขับแท็กซี่ในทันทีแล้วใช้มือซ้ายเอื้อมมือไปคว้าท่อเหล็กในมือของคนขับแท็กซี่อย่างรวดเร็วจากนั้นหลินเฟิงก็บิดข้อมือแล้วตอกข้อศอกไปที่คอคนขับอย่างรุนแรง