ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 744 พลัดพราก
ตอนที่ 744 พลัดพราก
ในทุกๆที่ดูเหมือนว่าจะมีแกะดำอยู่เสมอ ซึ่งในประเทศจีนดูเหมือนจะมีคนที่คอยเอาเปรียบผู้คนต่างถิ่นเสมอ ไม่รู้ว่านี่อุปนิสัยหรือทัศนคติของคนในชาติเพราะเวลาผู้คนเดินทางไปสถานที่ต่างถิ่นพวกเขาก็มักจะถูกแบล็กเมล์และถูกเอาเปรียบเสมอ เช่นคนขับแท็กซี่คนนี้และการขึ้นราคาค่าโดยสารโดยเจตนานั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
คราวนี้น่าเสียดายที่คนขับแท็กซี่ดวงซวยเพราะหลินเฟิงในตอนนี้กำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะเขาอยากไปพบหลินฟานโดยเร็วที่สุดเพื่อให้รู้ความจริงว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้หรือไม่ ดังนั้นเมื่อคนขับแท็กซี่ทำเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่หลินเฟิงจะโกรธ
อย่างไรก็ตามหลินเฟิงก็ยังคงมีสติและเขาก็ไม่ได้ลงมือรุนแรงจนเกินไปแต่เพราะความโกรธจุงทำให้มันรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคนขับแท็กซี่ที่ถูกข้อศอกของหลินเฟิงกระแทกเข้าไปที่คอและเขาก็รู้สึกมึนๆและหน้ามืดจนล้มลงไปกับพื้นพร้อมดาวสีทองกะพริบระยิบระยับในดวงตาของเขา
“ไอ้กระจอก!” หลินเฟิงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เย่เชียนได้ยินหลินเฟิงพูดคำสบถ เห็นได้ชัดว่าหลินเฟิงนั้นโกรธจริงๆ
คนขับแท็กซี่ก็ล้มลงไปครู่หนึ่งและดิ้นรนเพื่อลุกขึ้นและพึมพำว่า “แม่งเอ๊ยฉันจะฆ่าแก..ฉันสาบานเลยว่าฉันจะฆ่าแกให้ตาย!”
“อยากตายนักเหรอ?..ฉันจะสนองให้แกเอง!” ทันทีที่เสียงของหลินเฟิงจบลงเขาก็ใช้มือขวาของเขาหยิบมีดในเสื้อของเขาออกมาและกำลังจะแทงเข้าไปที่คนขับแท็กซี่ในทันที เมื่อเห็นสิ่งนี้เย่เชียนก็รีบก้าวไปข้างหน้าและคว้าแขนของหลินเฟิงเอาไว้เพราะถึงแม้ว่าคนขับแท็กซี่จะทำตัวน่ารังเกียจแค่ไหนก็ตามแต่มันก็ไม่ถึงกับต้องฆ่าเขา “พี่หลินช่างมันเถอะลืมมันไปซะ!” เย่เชียนรีบห้ามปราม
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนขับแท็กซี่ก็พูดว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ..พวกแกระวังตัวเอาไว้!”
คนขับไม่ใช่คนที่ไม่กลัวตายและไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งหรืออะไรเพียงแต่คำพูดเมื่อกี้นี้เป็นเพียงคำพูดเย่อหยิ่งเพราะผู้ชายมักจะมีศักดิ์ศรีที่โออ่าจองหองเสมอ แต่ทว่าตอนนี้เขาก็มีโอกาสหนีและเขาก็ไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไปเขาจึงรีบขึ้นรถและขับออกไปอย่างเร่งรีบ
จากนั้นเย่เชียนก็ปล่อยแขนหลินเฟิงแล้วพูดว่า “ก็แค่ไอ้พวกโง่..เราไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลากับคนแบบนี้..ไปกันเถอะไปหาหลินฟานกันเถอะ”
หลินเฟิงก็พยักหน้าและเดินไปที่หมู่บ้านพร้อมกับเย่เชียน
ชาวชนบทดูเหมือนจะตื่นแต่เช้าและแม้จะเป็นฤดูหนาวและไม่มีอะไรทำในทุ่งนาแต่เช้าตรู่เราก็ยังสามารถเห็นควันจากทุกครัวเรือน ซึ่งนอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้หญิงที่ริมแม่น้ำคอยซักเสื้อผ้าที่นี่และผู้คนต่างก็คุยซุบซิบกันทั่วไปเกี่ยวกับครอบครัวต่างๆในหมู่บ้าน สภาพแวดล้อมนั้นมีเสียงนกร้องและอากาศในหมู่บ้านบนภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกก็สดชื่นเป็นพิเศษจนทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจอย่างหาที่เปรียบมิได้
ธรรมชาติเป็นผู้รักษาจิตใจที่มีมนต์ขลังมากที่สุดและสามารถบรรเทาความเกลียดชังและความเครียดของผู้คนจนทำให้จิตใจสงบสุขได้เป็นอย่างดี
เย่เชียนและหลินเฟิงก็เดินผ่านหมู่บ้านและจากระยะไกลพวกเขาก็เห็นบ้านซากปรักหักพังหลังเล็กอยู่บนยอดเขาและอยู่ตรงนั้นอย่างไร้ชีวิตชีวาและไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เมื่อเห็นฉากนี้หลินเฟิงก็รู้สึกเจ็บปวดในใจอย่างอธิบายไม่ถูกเพราะนี่คือที่ที่น้องชายของเขาอาศัยอยู่จริงๆงั้นหรือ? หลินเฟิงรู้สึกเพียงว่าเขาไม่ได้ดูแลน้องชายของเขาอย่างที่ควรจะเป็นและปล่อยให้เขาอยู่ในที่แห่งนี้และทนทุกข์ทรมานมานานหลายปี
ยิ่งอยู่ใกล้บ้านหัวใจของหลินเฟิงก็ยิ่งกังวลและเขารู้สึกว่ามันหายใจลำบากเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพของหลินเฟิงเช่นนี้เย่เชียนก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาเข้าใจอารมณ์ปัจจุบันของหลินเฟิงและรู้ว่าเขาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย คนเดียวที่สามารถช่วยได้คือตัวของหลินเฟิงเอง
เมื่อผลักประตูเข้าไปกลิ่นเหม็นพุ่งตรงมาที่ใบหน้าของเขาและเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเพราะบ้านถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและเห็นได้ชัดว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว ส่วนเครื่องเรือนในบ้านก็ยังคงเหมือนเดิมตั้งแต่ที่เย่เชียนมาครั้งก่อนและไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย
“เสี่ยวฟาน..เสี่ยวฟาน!” ห้องมีขนาดเล็กมากจนคุณสามารถมองเห็นได้ทั้งหมดเกือบจะทันที เย่เชียนตะโกนเสียงดังแต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทุกอย่างช่างไร้ชีวิตชีวาและเมื่อผลักประตูห้องนอนเข้าไปผ้าห่มก็ถูกพับเก็บไว้บนหัวเตียงอย่างเรียบร้อยแต่มีฝุ่นปกคลุมเห็นได้ชัดว่าไม่มีใครนอนที่นี่มาเป็นเวลานานแล้วจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะตะลึงและสับสนเล็กน้อย
“เด็กนั่นอยู่ที่ไหน?..น้องเย่..หลินฟานอยู่ที่ไหน?” หัวใจของหลินเฟิงก็เริ่มกระวนกระวายใจและถามอย่างกังวลเพราะในที่สุดเขาก็เกือบจะได้พบกับน้องชายแต่แล้วเขาต้องพลาดพลั้งกันอีกครั้งอย่างงั้นหรือ?
“อย่ากังวลไปเลย..ไป๋ฮวยก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าหลินฟานจะทำตามเจตนารมณ์ของปู่ของเขาเป็นเวลาสามปี..ผมว่าเขาไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้วเพราะเด็กคนนั้นมีความสามารถที่แข็งแกร่งในการใช้ชีวิตอย่างอิสระเพราะงั้นถ้าพี่กังวลใจผมจะสั่งคนไปสืบให้เอง” เย่เชียนตบไหล่หลินเฟิงเบาๆและเดินออกไป
ทันทีที่เดินออกจากบ้านพวกเขาก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งหอบเฮือกมาพร้อมกับถือหัวเสือโคร่งและเมื่อเขาเห็นเย่เชียนเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมได้ยินคนในหมู่บ้านคุยกันว่ามีคนแปลกหน้ามาที่นี่เพื่อมาหาพี่ฟาน..ผมเลยคิดว่าน่าจะเป็นพี่ชาย..ว่าแต่พี่ชายไม่ได้มาที่นี่ตั้งนานเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลินเฟิงก็หันไปชำเลืองมองเด็กคนนี้จากนั้นเขาก็หันกลับไปหาเย่เชียนท่าทางงงงวย จากนั้นเย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เขาคือเพื่อนของหลินฟานชื่อหูจื้อ” จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองหูจื้อแล้วถามว่า “หูจื้อ..ทำไมหลินฟานถึงไม่อยู่ที่บ้านล่ะ?”
หูจื้อก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆแล้วพูดว่า “พี่ชายมาช้าไป..พี่หลินฟานเพิ่งจะออกจากหมู่บ้านไปเมื่อวานนี้เอง”
“อะไรนะ?..เขาไปไหน?..บอกฉันมา” หัวใจของหลินเฟิงก็กระวนกระวายอย่างมากและจู่ๆเขาก็วิ่งไปข้างหน้าและคว้าไหล่ของหูจื้อเอาไว้และถามอย่างกังวลใจ เนื่องจากความตึงเครียดและความกระวนกระวายจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะสูญเสียสมาธิและความอดทน หูจื้อที่เจ็บปวดไหล่ก็พูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นว่า “พี่ชายผมเจ็บนะ”
หลินเฟิงตระหนักถึงมารยาทและการกระทำของเขาแล้วเขาจึงรีบปล่อยมือและพูดว่า “ฉันขอโทษ..โทษทีนะน้องชายเอ็งรู้ไหมว่าหลินฟานไปไหน?”
หูจื้อก็ส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “ผมไม่รู้เลย..พี่หลินฟานไม่ได้บอกว่าเขาจะไปไหนแต่ก่อนที่เขาจะไปเขาบอกว่าให้ผมรอเขาและในอนาคตเขาจะพาผมออกไปสู่โลกภายนอกและสร้างอนาคตที่ดีด้วยกัน..ว่าแต่พี่ชายครับความรุ่งโรจน์มันคืออะไรมันกินได้หรือเปล่า?”
เย่เชียนก็ตบไหล่หูจื้อเบาๆแล้วพูดว่า “เมื่อเอ็งโตขึ้นเอ็งจะเข้าใจเอง” หูจื้อเป็นคนซื่อสัตย์ดังนั้นเย่เชียนจึงคิดว่าเด็กคนนี้อาจเป็นมือขวาของหลินฟานในอนาคตได้ หลังจากหยุดชั่วขณะเย่เชียนก็ถามว่า “หลินฟานไม่ได้บอกว่าเขาจะทำตามเจตนารมณ์ของปู่ของเขาเป็นเวลาสามปีหรอกเหรอ..ทำไมเขาถึงตัดสินใจไปที่อื่นล่ะ?”
หลินฟานเป็นเด็กที่ดิ้นรนสู้ชีวิตซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านโคลนสีเหลืองที่ทรุดโทรมกับปู่ของเขาตั้งแต่เด็ก ซึ่งประมาณสิบหรือยี่สิบปีที่แล้วมันอาจจะยังสวยและสวยอยู่แต่ตอนนี้มันดูเสื่อมสภาพอย่างมาก หลินฟานนั้นเขาออกล่าสัตว์บนภูเขาและตกปลาในแม่น้ำหรือซักผ้าและทำอาหารทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง
เดิมทีเขามีปู่ที่อาศัยอยู่ด้วยกันแต่มันก็เป็นความสุขในครอบครัวเช่นกัน แต่ทว่าสวรรค์กลับกลั่นแกล้งเพราะไม่ได้ไม่มีใครคิดว่าหลินจินไท่จะเป็นโรคที่รักษาไม่หายดังนั้นหลินจินไท่จึงจากโลกใบนี้ไป เนื่องจากหลินจินไท่ไม่ได้รู้จักใครมากนักตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่และไม่ได้ทิ้งเงินออมเอาไว้เลย ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปก็ไม่มีงานฝังศพและไม่มีแม้แต่ผู้คนที่มาไว้อาลัยหลุมศพเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเป็นเช่นนั้นหลินฟานก็ล่าสัตว์เพื่อหาเงินแต่ทว่าคนในหมู่บ้านนั้นเป็นชาวชนบทและไม่มีใครร่ำรวยแต่สุดท้ายแล้วหลินฟานก็สามารถหาเงินได้เพียงพอและด้วยเงินจำนวนเล็กๆน้อยๆหลินฟานก็ได้ขอให้ช่างไม้ในหมู่บ้านทำโลงศพและเอาร่างของปู่ของเขาเข้าไปแต่ไม่มีใครช่วยแบกโลงศพของปู่ดังนั้นหลินฟานจึงค่อยๆขนโลงศพขึ้นไปบนยอดเขาเพียงลำพังและขุดหลุมเอาไว้แล้วฝังปู่ของเขา ซึ่งหลินจินไท่นั้นเคยบอกว่าวิวบนยอดเขานั้นสวยงามและมองเห็นได้กว้างไกลดังนั้นหลินฟานจึงอยากให้ปู่ของเขามองดูท้องฟ้าและพักผ่อนอย่างสบายไปตลอดกาล
จากนั้นหลินฟานก็คุกเข่าอยู่หน้าสุสานเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เสียงร่ำไห้ก็ยังคงดังกึกก้องและในที่สุดก็กลายเป็นเสียงแหบและทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่นเมื่อได้ยิน อากาศบนภูเขานั้นหนาวเย็นและกว่าจะมีคนมาเห็นหลินฟานเขาก็สลบไปเสียแล้วและคนส่วนใหญ่ก็คิดว่าเขาตายแล้วแต่สุดท้ายหลินก็รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์
ทุกคนในหมู่บ้านก็ดูขมขื่นอย่างมากแต่ทุกคนก็รู้ว่าในเวลานี้ไม่มีใครที่สามารถช่วยหลินฟานได้เลย หลังจากที่หลินฟานตื่นขึ้นมาเขาก็ไปที่หลุมศพของปู่อีกครั้งและไม่รู้ว่าทำไมจนวันหนึ่งหลังจากที่หลินฟานกลับบ้านไปหลังจากทำความเคารพศพจู่ๆหลินฟานก็ตัดสินใจออกจากหมู่บ้านไป
การไม่มีหลินฟานอยู่ในหมู่บ้านนั้นมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือแปลกไปจากเดิมเพราะพวกชาวบ้านก็ยังใช้ชีวิตอยู่ตามปกติโดยไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆและมีเพียงหูจื้อเท่านั้นที่นึกถึงเพื่อนคนเดียวที่เคยวิ่งเล่นด้วยตั้งแต่เด็กๆและเป็นพี่ชายคนที่พาเขาขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจับหมูป่าและฆ่าหมาป่าและสอนเขาในสิ่งต่างๆมากมาย
หลังจากได้ยินสิ่งที่หูจื้อพูดเย่เชียนก็ไม่สบอารมณ์อย่างมากและความโกรธก็ระเบิดออกมาราวกับคลื่นทะเล อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์และเย่เชียนก็ไม่สามารถตำหนิชาวบ้านเหล่านี้ได้ แต่ทว่าหลินเฟิงนั้นจิตใจของเขาปั่นป่วนอย่างมากจนไม่สามารถบรรยายได้
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆเย่เชียนก็ตบไหล่หูจื้อเบาๆและหยิบหนังสือออกมาจากเสื้อของเขาแล้วยื่นให้หูจื้อโดยกล่าวว่า “นี่เป็นหนังสือลับเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้..ถ้าเอ็งทำตามวิธีที่บันทึกเอาไว้ทุกวันและฝึกฝนทุกวันมันจะสามารถช่วยหลินฟานสร้างอนาคตที่รุ่งโรจน์ได้..ถ้าเขาบอกว่าเขาจะมาหาเอ็งดังนั้นเขาก็จะมาหาเอ็งอย่างแน่นอน..จำเอาไว้ว่าเอ็งต้องไม่บอกใครเกี่ยวกับการปฏิบัติและการฝึกฝนของเอ็งรวมไปถึงพ่อและแม่ของเอ็งด้วยรู้มั้ย?”
หนังสือเล่มนี้เป็นตำราศิลปะการต่อสู้โบราณที่สมาชิกเขี้ยวหมาป่าฝึกฝนกัน เดิมทีเย่เชียนนั้นต้องการนำไปให้ หลินฟานแต่ทว่าหลินฟานไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วดังนั้นเขาจึงมอบตำรานี้ให้หูจื้อเพราะเด็กคนนี้ซื่อสัตย์และภักดีและเขาก็จะกลายเป็นกำลังและพรรคพวกที่สำคัญของหลินฟานในอนาคตได้อย่างแน่นอนและเขาก็จะสามารถช่วยหลินฟานได้อย่างมาก
หูจื้อตื่นเต้นมากและเขาก็ถือหนังสือไว้ในอ้อมแขนราวกับเด็กทารกและขอบคุณเย่เชียนครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองหลินเฟิงและตบไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “พี่หลินไม่ต้องกังวลไปหรอก..ประเทศจีนน่ะกว้างใหญ่ก็จริงแต่ตราบใดที่เรามีความพยายามเราก็สามารถตามหาเขาพบได้..ผมจะบอกให้แจ็คช่วยด้วยและผมก็เชื่อว่ามันจะมีข่าวเร็วๆนี้..ไม่ต้องห่วงเพราะหลินฟานเป็นเด็กฉลาด..เขาเรียนทักษะการต่อสู้จากอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็กเพราะงั้นโลกภายนอกทำอะไรเขาไม่ได้หรอก”
.