ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 747 การปรากฏตัว
ตอนที่ 747 การปรากฏตัว
ถ้าหากเย่เชียนเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานจริงๆล่ะก็เขานั้นไม่สามารถไปทำให้ขุ่นเคืองได้เลย ถึงแม้ว่าตระกูลเย่จะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแล้วก็ตามแต่ระบบลำดับชั้นศักดินาก็ยังคงจริงจังมากและความแตกต่างระหว่างชนชั้นสูงและชนชั้นคนธรรมดาในตระกูลก็เป็นสิ่งที่ลูกหลานของทุกตระกูลจะต้องปฏิบัติตามเสมอ
เมื่อได้ยินคำพูดของอันซือแล้วอีกฝ่ายก็ไม่อยากทำอะไรเกินเลยและการโดนตบนั้นเขาก็ทำได้เพียงแค่อดทนอย่างเงียบๆและท่าทีของเขาก็ยังคงอ่อนน้อมถ่อมตนแล้วพูดว่า “ในกรณีนี้พวกคุณกรุณารอสักครู่เดี๋ยวผมจะรีบไปแจ้งให้นายท่านทราบเพราะทุกอย่างนายท่านเป็นคนตัดสินใจ”
อันซือก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆแต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรอีกต่อไป จากนั้นคนเฝ้าประตูก็รีบหยิบเครื่องวิทยุออกมาแล้วเดินออกไปที่ด้านข้างแล้วรายงานเรื่องดังกล่าว เนื่องจากมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้ที่ประตูดังนั้นเย่เจิ้งเซียงจึงสามารถมองเห็นฉากภายนอกและภายในได้โดยตรง เดิมทีเขายุ่งอยู่กับการทักทายแขกที่มาร่วมงานวันเกิดของพ่อของเขาแต่หลังจากได้ยินรายงานจากคนเฝ้าประตูแล้วเขาก็ถึงกับประหลาดใจ
เย่เจิ้งเซียงนั้นรู้ดีว่าเย่เจิ้งหรานมีลูกชายจริงๆแต่เด็กคนนั้นก็หายตัวไปเมื่อตอนที่เขายังเด็กและผู้คนในตระกูลเย่ก็ใช้เครือข่ายทั้งหมดในการค้นหาแต่ก็หาไม่เจอ แต่ทว่าตอนนี้มีคนอ้างว่าเป็นลูกของเย่เจิ้งหรานซึ่งทำให้เย่เจิ้งเซียงประหลาดใจอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ลูกชายของเขาทักทายแขกแล้วเย่เจิ้งเซียงก็เดินเข้าไปในห้องรักษาความปลอดภัยและเมื่อเขาเห็นอันซือยืนอยู่ที่ด้านนอกประตูสีหน้าของเขาก็ตกตะลึงทันที จากนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดว่า “หืม..แกยังกล้ามาที่นี่อีกเหรอ?..อยากตายขนาดนั้นเลยรึไง?”
แต่เมื่อเย่เจิ้งเซียงเห็นเย่เชียนที่อยู่ถัดจากอันซือเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างสมบูรณ์เพราะชายหนุ่มคนนี้ดูคล้ายคลึงกับเย่เจิ้งหรานอย่างมากโดยเฉพาะดวงตาและคิ้ว ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเย่เชียนที่เหมือนดูอันธพาลล่ะก็เย่เจิ้งเซียงก็คงจะคิดว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นเย่เจิ้งหรานตอนสมัยหนุ่มๆ
“คุณชายครับ..ชายหนุ่มคนนั้นดูเหมือนคุณชายรองจริงๆ..เขาเป็นลูกชายของคุณชายรองจริงๆหรอครับ?” เย่เจิ้งหยางพ่อบ้านที่อยู่ข้างๆพูดอย่างสงสัย
เย่เจิ้งเซียงก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ลูกของน้องสองหายไปตั้งแต่ยังเป็นเด็กและฉันเองก็ไม่เคยได้ยินข่าวนับตั้งแต่นั้นมา..ถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะยังมีชีวิตอยู่แต่ก็ไม่ควรจะจำตัวตนของเขาได้ใช่มั้ย?..เด็กคนนั้นจะมาที่นี่ได้ยังไง?..ฉันคิดว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นแผนการของผู้หญิงคนนั้น..เธอคงจะพบคนที่มีหน้าตาเหมือนน้องสองแล้วเธอก็คงจะคิดแผนการชั่วๆขึ้นมา”
“คุณชายคุณคิดว่าเขาเป็นลูกชายของผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า?” เย่เจิ้งหยางถาม
“มันเป็นไปไม่ได้..ฉันจำได้ว่าเธอกับน้องสองมีแค่ลูกสาวเพียงคนเดียวและไม่มีลูกชาย..นายเห็นผู้หญิงข้างๆอันซือมั้ย?..ฉันคิดว่าเธอนั่นแหละคือลูกสาวของอันซือกับน้องสอง” เย่เจิ้งเซียงพูด หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เจิ้งเซียงก็พูดต่อ “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามแต่วันนี้มันเป็นวันครบรอบแปดสิบปีของพ่อและตอนนี้ก็มีแขกและคนใหญ่คนโตมาร่วมงานมากมายเพราะงั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นที่หน้าทางเข้าตระกูลเย่ของเราก็คงจะดูไม่ดี..เอาล่ะคุณออกไปบอกให้พวกเขาเข้ามาแล้วมานั่งรอข้างในก่อน..เดี๋ยวเราต้อนรับแขกเสร็จค่อยตัดสินใจกันว่าจะทำยังไง”
“แล้วถ้าพวกเขาก่อปัญหาในงานวันเกิดของนายท่านมันคงจะไม่ดีเหมือนกัน..ผมคิดว่าเราควรขับไล่พวกเขาออกไปจะดีกว่า..รับรองว่าผมจะทำให้มันดูไม่โจ่งแจ้งและไม่มีผลกระทบต่องาน” เย่เจิ้งหยางพูด “เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจัดการเอง..คุณชายไปรอรับแขกท่านอื่นๆเถอะครับ”
“ไม่!” เย่เจิ้งเซียงพูด “ถึงยังไงผู้หญิงคนนั้นก็เป็นสมาชิกและทายาทของตระกูลเย่และยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของน้องสองอีก..ถึงแม้ว่าน้องสองของฉันจะหายตัวไปแต่ฉันก็กลับไม่สามารถดูแลลูกๆของได้ด้วยซ้ำ..ฉันรู้สึกผิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเพราะแค่ลูกสาวคนเดียวของน้องชายฉันยังไม่สามารถดูแลได้เลย..ทำตามที่ฉันบอกเถอะบอกให้พวกเขารอก่อนแล้วฉันจะไปพบพวกเขาหลังจากงานวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของพ่อจะจบลง..แต่ฉันจะไม่ยกให้อันซือถ้าหากเธอมาสร้างปัญหาอีก”
“ได้ครับคุณชาย” เย่เจิ้งหยางตอบและเดินออกไปและเขาก็แอบถอนหายใจอย่างลับๆและครุ่นคิดในใจว่า ‘ท้ายที่สุดคุณชายก็ยังเป็นคนที่ไม่เด็ดขาด..เขายังไม่มีความกล้าที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเหมือนคุณชายสองและคุณชายสาม” อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมันเป็นคำสั่งของเย่เจิ้งเซียงเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตาม ซึ่งสิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเฝ้าดูคนเหล่านั้นให้ดีและอย่าปล่อยให้พวกเขาสร้างปัญหาใดๆ
เย่เจิ้นหยางนั้นไม่ใช่ลูกหลานตระกูลเย่ที่แท้จริงเพราะเขาเคยเป็นแค่ลูกน้องคนหนึ่งของเย่เจียอู๋ อย่างไรก็ตามเนื่องจากความจงรักภักดีของเขาที่เขาสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างยอดเยี่ยมในที่สุดเย่เจี๋ยอู๋ก็มอบแซ่สกุลของตระกูลเย่และเปลี่ยนชื่อเขาเป็นเย่เจิ้งหยางและทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านในตระกูลเย่มาโดยตลอดและโดยพื้นฐานแล้วเขามีหน้าที่รับผิดชอบในทุกๆเรื่องของคฤหาสน์เพราะทุกวันนี้เย่เจียอู๋นั้นแก่ชราแล้วและได้ละทิ้งตำแหน่งผู้นำและดำเนินชีวิตแบบสันโดษเสมอมา ซึ่งเย่เจิ้งหยางนั้นคอยติดตามเย่เจิ้งเซียงเพื่อช่วยดูแลจัดการทุกๆเรื่องเกี่ยวกับตระกูลเย่ ดังนั้นถึงแม้ว่าเย่เจิ้งหยางจะเป็นเพียงคนรับใช้ก็ตามแต่ตำแหน่งและสถานะของเขาในตระกูลเย่ก็ยังคงสูงมากเพราะเย่เจียอู๋ให้ความสำคัญกับเขามาก
อันซือก็พยายามอดทนในเวลานี้และรออยู่ข้างนอกและไม่แสดงความหงุดหงิดใดๆออกมาอีกเพราะเธอรู้ว่าตราบใดที่เย่เจิ้งเซียงรู้ว่าเธอมาเขาก็จะยอมให้เธอเข้าไปอย่างแน่นอนเพราะเธอรู้จักเย่เจิ้งเซียงเป็นอย่างดี ส่วนเย่เชียนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะในตอนนี้เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้วและเย่เชียนก็ทำได้เพียงแค่คอยดูสถานการณ์ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร
ที่ประตูทางเข้าก็ยังมีรถเข้ามาเรื่อยๆและในขณะนั้นจู่ๆก็มีรถคันหนึ่งมาจอดข้างๆเย่เชียนแล้วกระจกรถก็ถูกเลื่อนลงจากนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งก็ยื่นศีรษะออกมาแล้วมองเย่เชียนขึ้นและลงจากหัวจรดเท้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “อ้าวคุณเย่..คุณเข้าไปไม่ได้งั้นหรอ..อยากให้ผมพาคุณเข้าไปหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็หันศีรษะและชำเลืองมองเขาแล้วถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นเย่เชียนก็ยิ้มจางๆแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรครับขอบคุณ” ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นชายหนุ่มที่เขาเจอที่เมืองเซี่ยงไฮ้ที่เป็นศิษย์พี่ของหูวเค่อ ซึ่งเย่เชียนนั้นรู้ว่าทักษะการต่อสู้ของชายหนุ่มคนนี้นั้นสูงกว่าหูวเค่ออีก เป็นไปได้ที่ชายหนุ่มคนนี้จะเป็นทายาทของตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณ ดังนั้นซงเจิ้งหยวนคนนี้จึงมางานวันเกิดวันครบรอบที่เป็นศูนย์รวมของตระกูลศิลปะการต่อสู้เช่นนี้ ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ประหลาดใจ
“ครั้งก่อนเรายังไม่สามารถตัดสินกันได้เพราะงั้นเราจะมาประลองกันอีกครั้งเมื่อมีโอกาส” ซ่งเจิ้งหยวนพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“พี่..นี่พี่กำลังคุยกับใครอยู่” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังออกมาจากรถแล้วโผล่หน้าออกมามองเมื่อเห็นว่าเป็นเย่เชียนเธอก็ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “คุณเย่..คุณช่างเป็นคนที่ลึกลับจริงๆ..ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณเองก็เป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณด้วย..คุณสามารถซ่อนมันเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ..เออใช่ๆพี่สาวของฉันกำลังจะกลับมาที่ประเทศจีนในอีกไม่กี่วันนี้..คุณอย่าลืมเลี้ยงข้าวฉันล่ะถือว่าเป็นการตอบแทนที่ฉันบอกข่าวของพี่สาวก็แล้วกัน”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเหยาอย่าล้อผมเล่นสิ..ถ้าผมสามารถชวนคุณเหยาไปดินเนอร์ได้มันคงจะเป็นเกียรติด้วยยินดีเป็นอย่างยิ่งเลย”
ผู้หญิงคนนี้คือคนที่เย่เชียนเจอที่ประเทศไต้หวันในวันนั้น ซึ่งเหยาซื่อฉีเป็นดาราภาพยนตร์และเพลงทางโทรทัศน์ที่โด่งดังที่สุดในทวีปเอเชียและเป็นน้องสาวของหูวเค่ออีกด้วย ดังนั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูดเหยาซื่อฉีก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันไม่กล้าไปดินเนอร์กับคุณเป็นการส่วนตัวหรอกเพราะถ้าพี่สาวรู้เธอคงจะโกรธฉัน..ถึงแม้ว่าฉันจะไม่กลัวก็เถอะแต่คุณคงจะต้องคุกเข่าลงบนเตียงต่อหน้าเธออย่างแน่นอน”
ถ้าอันซือไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเย่เชียนก็คงจะพูดหยอกล้อกับเหยาซื่อฉีแล้ว อย่างไรก็ตามน้องสะใภ้ที่มีสัมพันธไมตรีและอัธยาศัยดีนั้นก็เป็นน้องสาวในฝันของผู้ชายหลายๆคนโดยเฉพาะผู้หญิงที่อารมณ์ดีอย่างเหยาซื่อฉี อย่างไรก็ตามตอนนี้อันซือก็อยู่ที่นี่ด้วยดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ได้ตอบเธอและทำได้เพียงยิ้มตอบเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเหยาซื่อฉีดูสนิทสนมกับเย่เชียนมากถึงขนาดนี้ซงเจิ้งหยวนก็ไม่สบอารมณ์อย่างมาก เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์และไม่สนใจว่าเหยาซื่อฉีจะยังคงคุยกับเย่เชียนอยู่หรือไม่แต่เขาก็ขับรถเข้าไปข้างในทันที หลังจากเห็นรถคันนั้นขับเข้าไปแล้วอันซือก็หันไปมองเย่เชียนแล้วถามว่า “ลูกรู้จักพวกเขาหรอ?”
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “แค่คนรู้จักเฉยๆครับไม่ด้าสนิทกันมาก”
อันซือก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “อืม” แล้วพูดต่อ “ถ้าพวกเขามาจากสำนักหยุนหยานเหมินก็คงจะดี..ถ้าเราได้มีโอกาสติดต่อกับพวกเขาล่ะก็มันจะช่วยลูกได้มากในอนาคต..หากเรามีสำนักหยุนหยานเหมินคอยสนับสนุนมันก็จะง่ายกว่ามากสำหรับลูกที่จะสามารถขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเย่”
เย่เชียนก็ยิ้มแหยๆแล้วครุ่นคิดสักพัก ติดต่อกับสำนักหยุนหยานเหมินงั้นหรือ? เย่เชียนนั้นไม่กล้าที่จะคิดเลยแต่ก็จะคงจะดีกว่าถ้าไม่มีความขัดแย้งกับสำนักหยุนหยานเหมิน ถึงแม้ว่าหูวเค่ออาจจะสามารถเป็นคนกลางให้ได้แต่ทว่าซงเจิ้งหยวนนั้นนี้มองว่าเขาเป็นศัตรูและอาจจะไม่ช่วยอะไรเขาเลย
ขณะที่พูดเย่เจิ้งหยางก็เดินออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูจริงจังแล้วมันก็หายไปในทันทีเมื่อเขาเดินมาถึงหน้าอันซือ เขายิ้มแล้วพูดว่า “คุณผู้หญิงอันนี่เอง..ผมต้องขอโทษจริงๆที่ลูกน้องของผมไม่มีมารยาท..เดี๋ยวผมจะตำหนิเขาให้ครับ” จากนั้นเขาก็หันไปมองเย่เชียนที่อยู่ข้างๆแล้วพูดว่า “คุณคือ…”
“ใช่..เขาเป็นลูกชายของฉันกับเจิ้งหราน” อันซือไม่รอให้เย่เจิ้งหยางพูดจบและเธอก็พูดอย่างเร่งรีบว่า “เขาเป็นทายาทของตระกูลเย่เพราะงั้นงานครบรอบวันเกิดของผู้อาวุโสเขาก็ควรจะมาร่วมยินดีด้วยใช่มั้ย?..คุณเจิ้งหยางจะไม่ให้พวกเราเข้าไปข้างในหรือ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ” เย่เจิ้งหยางพูดต่อ “ผมเป็นแค่คนรับใช้เท่านั้น..ที่ผมได้รับแซ่สกุลเย่มาจากผู้อาวุโสและให้ผมเป็นพ่อบ้านก็เพื่อดูแลความเรียบร้อยของตระกูลเย่..ผมไม่สามารถจัดการทุกอย่างได้เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้อาวุโส..ซึ่งผู้อาวุโสสั่งเอาไว้ว่าให้พวกคุณทั้งสามเข้าไปกับผมและให้พวกคุณทั้งสามไปพักผ่อนในห้องส่วนตัวกันก่อน!”
อันซือก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ฝากบอกเย่เจิ้งเซียงด้วยว่าสิ่งที่เขาทำในตอนนั้นฉันจำได้เสมอและจะไม่มีวันลืมแล้วสักวันหนึ่งฉันจะทวงมันกลับคืนมา”
.
.