ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 748 คนแปลกหน้าที่ดูคุ้นเคย
ตอนที่ 748 คนแปลกหน้าที่ดูคุ้นเคย
ความสามารถในการเป็นพ่อบ้านของตระกูลเย่นั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถทำได้ ซึ่งความสามารถของเย่เจิ้งหยางที่ได้รับคำชมเชยและความไว้วางใจจากเย่เจียอู๋ก็เพียงพอแล้วที่จะบ่งบอกถึงความสามารถของเขา เมื่อเผชิญกับการยั่วยุของอันซือแล้วเย่เจิ้งหยางก็เพียงแค่ยิ้มเบาๆโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองมากนักเพราะหลายปีที่ผ่านมามีผู้คนมากมายได้ท้าทายความยิ่งใหญ่ของตระกูลเย่แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถเผชิญหน้าอย่างยืนหยัดได้ ดังนั้นเมื่อเผชิญกับการยั่วยุของอันซือแล้วเย่เจิ้งหยางจึงยังสามารถยิ้มได้อย่างมั่นใจ
การใช้ความสุขุมและสงบเสงี่ยมเพื่อเอาชนะสถานการณ์ตรงหน้าบางครั้งก็เป็นวิธีที่ดี
เย่เชียนก็ขอโทษเย่เจิ้งหยางด้วยรอยยิ้มและทัศนคติของเขาไม่ได้เหมือนกับอันซือเพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นศัตรูของเขาจริงๆหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากเย่เชียนต้องการทราบตัวตนที่แท้จริงเกี่ยวกับชีวิตของเขานั้นเขาก็อาจจะค้นพบข้อมูลต่างๆจากคนเหล่านี้ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่วิธีที่ดีที่จะทำให้พวกเขาขุ่นเคือง
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่สื่อการขอโทษของเย่เชียนแล้วเย่เจิ้งหยางก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อยซึ่งเห็นได้ชัดว่ารู้สึกประหลาดใจเพราะในความเห็นของเขาเย่เชียนน่าจะเป็นคนที่มาสร้างปัญหาพร้อมกับอันซือแต่ทว่าตอนนี้ชายหนุ่มคนนี้กลับยิ้มให้ตัวเองอย่างขอโทษซึ่งทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เจิ้งหยางก็หันไปหาเย่เชียนแล้วยิ้มตอบอย่างสุภาพ
คฤหาสน์ของตระกูลเย่นั้นมีขนาดใหญ่มากและครอบคลุมพื้นที่กว่า 3,000 เอเคอร์ ซึ่งนอกจากสถานที่จัดประชุมขนาดใหญ่และที่อยู่อาศัยของครอบครัวต่างๆแล้วยังมีห้องพักพิเศษอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงวันเกิดครบรอบของเย่เจียอู๋แล้วเย่เจิ้งเซียงจึงสั่งให้ลูกน้องทำความสะอาดห้องพักอย่างทั่วถึงเพื่อให้บรรดาแขกที่มาเข้าร่วมงานได้พักผ่อนกัน
อย่างไรก็ตามที่พักที่จัดเอาไว้ให้อันซือและคนอื่นๆก็ไม่ได้อยู่ในบริเวณห้องพักของแขกแต่อยู่ในสนามหลังบ้านที่ห่างไกลและอยู่ใกล้ห้องครัวดังนั้นสภาพแวดล้อมจึงไม่ค่อยดีแต่บ้านพักก็ค่อนข้างสะอาดแต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจในการต้อนรับมากนักเพราะถึงยังไงอันซือและคนอื่นๆก็เป็นสมาชิกในตระกูลเย่ด้วยไม่ใช่หรือ? ถึงแม้ว่าจะมีจุดประสงค์เพื่อแยกพวกเขาออกจากแขกคนอื่นๆก็ตามแต่อย่างน้อยๆก็ควรจะจัดที่พักที่ดีกว่านี้หน่อยใช่ไหม? แน่นอนว่าตระกูลเย่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับงานครบรอบวันเกิดปีที่ 80 ของเย่เจียอู๋และเย่เจิ้งเซียงจะไม่มีวันปล่อยให้อันซือเข้ามาทำลายบรรยากาศในเวลานั้นได้ ดังนั้นเขาจึงจัดเตรียมเอาไว้เช่นนี้
ครั้งนี้อันซือก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใดๆและอารมณ์ของเธอก็ดูสงบมากและเธอก็ไม่ได้ทะเลาะหรือโต้เถียงกับเย่เจิ้งหยางเกี่ยวกับเรื่องที่พัก เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆดูสงบเย่เชียนจึงไม่คิดที่จะออกความคิดเห็นใดๆ แน่นอนว่าถ้าหากเย่เจิ้งหยางเลือกปฏิบัติต่ออันซือไม่ดีและไม่ให้เกียรติอันซือล่ะก็เธอจะต้องโกรธอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงต้องทำเช่นนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความวุ่นวาย
มนุษย์สู้เพื่อความอยู่รอดส่วนพระเจ้านั้นสู้เพื่อสร้างโลก อย่างไรก็ตามตระกูลเย่ก็เป็นตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณที่สืบทอดมานับพันปีและเย่เชียนก็ไม่ได้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของตระกูลเย่เลย ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนแค่ต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อทำให้สิ่งต่างๆชัดเจนและกระจ่างแจ้ง ดังนั้นทัศนคติและอารมณ์ของเขาจึงดูสงบอย่างมาก
หลังจากแก้ปัญหาเรื่องอันซือและคนอื่นๆแล้วเย่เจิ้งหยางก็เดินออกไปและเมื่อเขาออกไปข้างนอกเขาก็ได้ออกคำสั่งพิเศษให้เหล่าลูกน้องและคนรับใช้ให้พวกเขาดูแลอันซือ,เย่เชียนและเย่เหวินแล้วกำชับพวกเขาว่าอย่าปล่อยให้คนเหล่านี้ออกไปรอบๆ ซึ่งถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาจะต้องรายงานตนทันที
เย่เชียนถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บเก่าของอันซือจะหายดีแล้วก็ตามแต่ร่างกายของเธอก็ไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไป หลังจากนั่งอยู่ในรถเป็นเวลานานอันซือก็ปวดเมื่อยไม่ได้นอนเลยเมื่อคืนนี้เพราะเธอเมาเรือและอาเจียนไปทั่วพื้น ในเวลานี้เธอดูเหนื่อยล้าอย่างมากดังนั้นทันทีที่เย่เจิ้งหยางจากไปอันซือก็แทบจะไม่ได้คุยอะไรกับเย่เชียนเพราะเธอขอตัวไปพักผ่อนในห้องนอนของเธอ
เย่เชียนก็ไม่ได้พูดอะไรและหลังจากที่สั่งเย่เหวินให้ดูแลอันซือแล้วเย่เชียนก็เดินออกไปและเมื่อมองไปรอบๆเย่เชียนก็ดูเหมือนจะมีความรู้สึกคุ้นเคยอยู่ลึกๆในใจและความรู้สึกนั้นก็รุนแรงมากในหัวใจของเขา ซึ่งดูเหมือนจะมีพลังบางอย่างที่ดึงเขาไปข้างหน้าและมันก็สลายหายไป
“ขอโทษด้วยนะครับแต่พ่อบ้านสั่งผมเอาไว้ว่าห้ามไม่ให้คุณออกไปไหนครับ” ลูกศิษย์ของตระกูลเย่หยุดเย่เชียนเอาไว้แล้วพูด
เย่เชียนก็มองเขาแล้วพูดว่า “ผมไม่ได้จะไปไหน..ผมแค่ออกมาสูดอากาศและชมวิวทิวทัศน์รอบๆแค่นั้น”
“แบบนี้ก็ไม่ได้เหมือนกันครับ” ลูกศิษย์ของตระกูลเย่พูด “มันไม่ใช่แค่คุณเท่านั้นเพราะแขกคนอื่นๆก็ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนรอบๆได้หากไม่ได้รับอนุญาต..คุณควรกลับเข้าไปในบ้านพักซะ..ได้โปรดอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย”
เย่เชียนก็ยักไหล่เล็กน้อยแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปที่ห้องพักของเขาและทันทีที่เขาหันกลับมาเขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยอยู่ที่หางตา และเขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย ซึ่งมันเป็นเวลาเพียงชั่ววูบเดียวและเย่เชียนก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างมากแต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเขาเคยเห็นที่ไหน จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอโทษนะ..เมื่อครู่นี้ใครเดินผ่านไปงั้นหรอ?”
ลูกศิษย์ตระกูลเย่ก็หันกลับไปแล้วชำเลืองมองออกไปไกลๆและพูดว่า “ถ้าอะไรที่ไม่ควรถามคุณก็ไม่ต้องถาม..ขอบคุณ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็ฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และหันหลังเดินจากไป อย่างไรก็ตามในหัวของเย่เชียนยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยและเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆว่า ‘รอฟ้ามืดแล้วค่อยออกไปดูเองก็ได้’ ถ้าเขาไม่ไขข้อสงสัยนี้เย่เชียนก็จะรู้สึกกระวนกระวายอยู่เสมอและมันจะเป็นปมในใจเขาถ้าหากไม่ชัดเจนว่าใครในโลกใบนี้ที่สามารถทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้ได้
ในตอนนี้เย่เชียนไม่สามารถออกไปไหนได้เพราะเขาไม่ต้องการมีเรื่องขัดแย้งกับเหล่าลูกศิษย์ของตระกูลเย่ ดังนั้นเขาจึงต้องอดทนเอาไว้ชั่วคราวและรอให้ถึงช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืดเสียก่อน ถึงแม้ว่าเหล่าลูกศิษย์และสมาชิกของตระกูลเย่เหล่านี้จะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณก็ตามแต่ตอนนี้เย่เชียนอยู่ในขอบเขตศิลปะการต่อสู้โบราณขั้นสูงและนอกจากนี้ประสบการณ์การต่อสู้จริงของเขาก็ยังมีมากกว่าคนเหล่านี้หลายเท่า
หลังจากกลับมาที่ห้องเย่เชียนก็หลับตาและนั่งสมาธิเพราะวันนี้เขาจะได้เปิดหูเปิดตาและจะได้เห็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณจำนวนมากในคราวเดียวเหมือนกับลานประลองในนวนิยายจอมยุทธ ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่รู้จักทักษะของคนเหล่านั้นดังนั้นเย่เชียนจึงไม่สามารถหย่อนยานและประมาทได้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งถ้าหากเขาไม่พัฒนาทักษะของเขาอย่างรวดเร็วล่ะก็มันคงจะเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรถ้าหากเขาได้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณเหล่านั้น
ถึงแม้ว่าอันซือจะบอกว่าผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นจะแบ่งออกเป็นสามขั้นระหว่างระดับฝึกตน,ระดับกลางและระดับสูงก็ตามแต่ดูเหมือนว่าเย่เชียนนั้นจะเป็นระดับสูงสุดแล้ว อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตขั้นสูงและยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนก็ไม่เคยต่อสู้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้โบราณเหล่านี้เลย ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นมีฝีมือและทักษะที่ยอดเยี่ยมอย่างไร ซึ่งแม้แต่เย่เชียนเองก็ยังสงสัยว่าศิลปะการต่อสู้โบราณขั้นสูงนั้นมันไม่เหมือนกับศาสตร์แห่งการต่อสู้ขั้นสูงสุดเลยเพราะไม่ว่าการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณจะยากเย็นเพียงใดและไม่ว่าร่างกายของเย่เชียนจะพิเศษสักแค่ไหนแต่การที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตขั้นสูงได้ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปีนั้นมันดูไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ดังนั้นทั้งหมดทั้งมวลแล้วขอบเขตและศาสตร์แห่งศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นมีเพียงแค่สามระดับเท่านั้นเองหรือ? นี่หรือสิ่งที่สืบทอดกันมานานหลายทศวรรษ?
ความสงสัยของเย่เชียนนั้นสมเหตุสมผลอย่างมาก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่สามารถหย่อนยานและผ่อนคลายได้แม้แต่น้อยเพราะในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะสามารถอยู่รอดได้เขาต้องพัฒนาทักษะให้ได้มากที่สุด ถึงแม้ว่าเย่เชียนไม่ได้คิดที่จะขัดแย้งกับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้โบราณเหล่านี้ก็ตามแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเย่เชียนจะไม่มีส่วนร่วมในการต่อสู้ระหว่างพวกเขาเหล่านั้นเพราะเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นหากเย่เชียนไม่มีศิลปะการป้องกันตัวที่ดีมันก็คงจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าจะมีการพูดกันว่าศิลปะการต่อสู้นั้นไม่สามารถเทียบได้กับอาวุธยุทโธปกรณ์ในสมัยใหม่ก็ตามแต่การฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณที่เสริมศักยภาพของร่างกายและพัฒนาร่างกายอย่างไร้ขีดจำกัดนั้นก็เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ก็ไม่สามารถพกขีปนาวุธได้และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะพกปืนไปทุกหนทุกแห่งใช่ไหม? ดังนั้นบางครั้งศิลปะการต่อสู้และศิลปะการป้องกันตัวก็ยังคงมีบทบาทที่สำคัญและอย่างน้อยๆมันก็สามารถเสริมประสิทธิภาพความสามารถในการต่อสู้ส่วนบุคคลของกองทัพซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับอย่างยิ่ง
อาหารกลางวันและอาหารเย็นถูกจัดส่งโดยลูกศิษย์ของตระกูลเย่ ซึ่งเป็นอาหารสุดหรูและเป็นต้นตำรับของอาหารกวางตุ้งแท้ๆ ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะชอบอาหารหูหนานมากกว่าแต่รสชาติของอาหารกวางตุ้งก็ดีมากเช่นกัน ซึ่งคุณภาพของอาหารกวางตุ้งค่อนข้างสูงและอาหารกวางตุ้งแท้ๆก็หารับประทานในร้านอาหารทั่วไปได้ยากในสมัยนี้ อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าพ่อครัวกวางตุ้งของตระกูลเย่มีทักษะที่ดีและค่อนข้างมีฝีมือในการทำอาหารให้ออกมาอร่อยและน่ารับประทาน
ลักษณะเด่นที่สุดของอาหารกวางตุ้งก็คือการใช้วัตถุดิบที่ดีจากหลายๆแห่งในพื้นที่และคัดสรรวัตถุดิบที่หายากและคัดส่วนผสมอย่างประณีตและปรุงตามความชอบของผู้รับประทาน ทักษะการทำอาหารนั้นหลากหลายและไม่แน่นอนและวัสดุที่ใช้ก็แปลกและมีหลายชนิด ซึ่งในการปรุงอาหารส่วนใหญ่จะผัดและมีทั้งตุ๋น,ทอดและคั่ว ด้วยทัศนคติที่ว่าใสแต่เข้มข้น,สดแต่สะอาด,นุ่มแต่ไม่ดิบ,ติดมันแต่ไม่เยิ้ม มีทั้งห้ารสชาติและห้าฤดู
ถึงแม้ว่าเย่เจิ้งเซียงจะระมัดระวังและกีดกันพวกเขาแต่เย่เจิ้งเซียงก็จะไม่เสียมารยาทต่อแขกจนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของตระกูลเย่อย่างแน่นอน ซึ่งเขาก็ไม่ได้คิดที่จะเสิร์ฟแค่ชาและของว่างให้แก่พวกเขา
เนื่องจากความเร่งรีบและการทำงานหนักในช่วงที่ผ่านมาดังนั้นเย่เชียนจึงมีความล่าช้าในการฝึกและร่างกายของเย่เชียนก็อ่อนล้าเล็กน้อย ซึ่งทำให้เย่เชียนมีความอยากอาหารอย่างมากดังนั้นเย่เชียนจึงมีความสุขมากที่ได้รับประทานอาหารอร่อยๆเช่นนี้จนเย่เชียนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากเขาหาเชฟและพ่อครัวยอดฝีมือเช่นนี้มาอยู่กับเขาเพื่อคอยจัดเตรียมอาหารให้เขาและสลับสับเปลี่ยนเมนูอย่างหลากหลายเป็นการส่วนตัวล่ะก็เย่เชียนก็เดาว่าเขาคงจะมีความอยากอาหารทุกวันเลยหรือไม่? อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้เพราะเย่เชียนมักจะต้องออกไปเผชิญกับโลกกว้างมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพาพ่อครัวเหล่านั้นเดินทางไปกับเขาด้วย ซึ่งวิธีเดียวเลยก็คือเย่เชียนต้องเปิดร้านอาหารของเขาในทั่วทุกมุมโลกและเขาก็จะสามารถทานที่เขาชอบได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ ซึ่งการทำเช่นนั้นมันค่อนข้างที่จะยากและเย่เชียนก็แค่คิดเกี่ยวกับมันเล่นๆเฉยๆ
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้วอันซือก็เข้านอนอีกครั้งแต่เธอไม่ได้กินอะไรมากและถึงแม้ว่าร่างกายของเธอจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่เธอก็ยังดูซีดเซียวและเหนื่อยล้าอยู่เช่นเคย
ในเวลานี้ท้องฟ้าค่อยๆมืดลงและความมืดก็ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า เนื่องจากเย่เชียนอาศัยอยู่ในสถานที่ห่างไกลจากศูนย์กลางคฤหาสน์มันจึงดูรกร้างและมืดมนเป็นพิเศษแต่ภายในคฤหาสน์ตระกูลเย่ก็เต็มไปด้วยแสงไฟสว่างจ้าจนความมืดมิดถูกลบหายไปในทันที
จากนั้นเย่เชียนก็ค่อยๆเปิดประตูและมองออกไปข้างนอกแล้วพบว่าลูกศิษย์สองคนของตระกูลเย่ก็ยังคงอยู่ที่นั่นโดยไม่มีการบ่นหรือหย่อนเลยแม้แต่น้อยจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าแอบชื่นชมความอดทนและระเบียบของเหล่าลูกศิษย์ตระกูลเย่
.
.
.
.
.