ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 750 ดีกว่าสถานะระหว่างแม่กับลูก
ตอนที่ 750 ดีกว่าสถานะระหว่างแม่กับลูก
หญิงวัยกลางคนไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นถังซูหยานภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเย่เจิ้งหราน ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะสะใภ้แรกของตระกูล ในสมัยก่อนนั้นบุคลิกของเธอค่อนข้างเงียบขรึมคล้ายกับเย่เจิ้งหรานแต่เย่เจิ้งหรานนั้นมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกศิลปะการต่อสู้และไม่มีมนุษยสัมพันธ์กับใครมากนัก ดังนั้นหลังจากการตายของเย่เจิ้งหรานนั้นเธอจึงไม่ต้องจัดการกับเรื่องต่างๆของตระกูลอีกต่อไปราวกับว่าเธออาศัยอยู่อย่างสันโดษ
เย่เจียอู๋หรือผู้อาวุโสนั้นก็เข้าใจนิสัยและอารมณ์ของเธอในตอนนั้นเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่บังคับให้เธอออกทำสิ่งต่างๆและนอกจากนี้ตระกูลเย่ก็ยังมีทายาทอีกมากมายและไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องให้ผู้หญิงคนนี้เป็นคนทำสิ่งต่างๆ ซึ่งนับตั้งแต่เย่เจิ้งหรานเสียชีวิตไปศาลาแห่งนี้ก็ถูกจัดเป็นพื้นที่ต้องห้ามและเหล่าลูกศิษย์ของตระกูลเย่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปและแม้แต่เย่เจิ้งเซียงเองก็ยังต้องได้รับอนุญาตจากถังซูหยานก่อนที่จะเข้าไปอีกด้วย
เมื่อเธอเห็นเย่เชียนเข้ามาถังซูหยานก็โบกมือเบาๆแล้วสาวใช้ก็รีบไปเตรียมไวน์และอาหารมา ซึ่งท่าทางของเธอดูสง่างามและใจดีอย่างมาก จากนั้นเธอก็ยิ้มให้เย่เชียนแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าการดื่มไวน์จะเป็นสิ่งที่ดีแต่การดื่มมากเกินไปมันก็ไม่ดีต่อสุขภาพนะ..คุณเย่อย่าดื่มเยอะจนเกินไปล่ะ”
“ขอบคุณที่เตือนครับคุณหญิงรอง..ผมจะดื่มแค่พอประมาณ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันได้ยินมาว่าพ่อบ้านส่งคนมาคอยคุมคุณและไม่ยอมให้คุณออกไปไหนมาไหน..มันคงจะเสียมารยาทไปหน่อยเพราะงั้นฉันต้องขอโทษแทนคนเหล่านั้นด้วย” ถังซูหยานพูด “คุณคงจะหิวแล้วสินะถ้างั้นฉันจะบอกให้เสี่ยวฉุยพาคุณไปที่โรงครัว”
“อ่อไม่ครับ..ผมไม่ชอบสถานที่ที่มีเสียงดังและวุ่นวาย..ถึงแม้ว่าโรงครัวจะใหญ่แต่มันก็เสียงดังและมีคนเยอะไม่เงียบเหมือนที่นี่..อีกอย่างถ้าผมไม่ได้มาที่นี้ในคืนนี้ผมคงจะไม่ได้ยินเสียงเพลงที่ไพเราะแบบนี้เลย” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มและขณะพูดเขาก็นั่งลงตรงข้ามกับถังซูหยาน ด้วยเหตุผลบางอย่างเย่เชียนรู้สึกเสมอว่าผู้หญิงคนนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยซึ่งทำให้เขารู้สึกอยากเข้าใกล้เธอจนเย่เชียนคิดว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นเหมือนญาติและครอบครัวของเขาเอง
แม้แต่อันซือก็ไม่สามารถทำให้เย่เชียนรู้สึกเช่นนี้ได้และถึงแม้ว่าอันซือจะบอกว่าเธอเป็นแม่ของเย่เชียนก็ตามแต่เย่เชียนนั้นกลับไม่ได้มีความรู้สึกระหว่างแม่กับลูกเลย ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเย่เชียนจึงสงสัยอันซือมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามเขาก็รู้สึกเสมอว่านี่อาจเป็นเพราะการพรากจากกันนานเกินไปดังนั้นเขาจึงไม่มีความรู้สึกที่คุ้นเคยใดๆเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามเย่เชียนกลับรู้สึกเช่นนั้นเมื่อเห็นถังซูหยานซึ่งทำให้เขาสับสนอย่างมาก
“คุณเย่เป็นคนปากหวานจริงๆ” ถังซูหยานพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผมแค่พูดความจริง” เย่เชียนพูด “คุณหญิงรองอย่าเรียกผมว่าคุณเลยเพราะมันฟังดูน่าอึดอัดใจมาก..คุณหญิงรองจะเรียกผมด้วยชื่อหรือเรียกผมว่าเสี่ยวเชียนเลยก็ได้ครับเพราะในสมัยก่อนผู้อาวุโสก็เรียกผมแบบนั้น”
“แบบนั้นก็ได้” ถังซูหยานพูด “พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคุณปู่เพราะงั้นฉันคิดว่าพ่อบ้านคงจะไม่ยอมให้เธอเข้าไปงานวันเกิดอย่างแน่นอน..แต่ถ้าเธออยากไปฉันจะพาเธอไปที่นั่นเอง..รวมถึงแม่กับน้องสาวของเธอด้วยเพราะถึงยังไงเธอก็เป็นลูกชายของเจิ้งหรานและเป็นทายาทของตระกูลเย่เสมอ”
“คุณหญิงรองครับคือผมไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี” เย่เชียนพูดอย่างประหม่า
“พวกเราเป็นครอบครัวเดี๋ยวกันเพราะงั้นก็พูดออกมาเถอะถ้าเธอมีอะไรจะพูด” ถังซูหยานพูดด้วยรอยยิ้มและเป็นรอยยิ้มที่ดูสงบนเสงี่ยมไม่มีความเสแสร้งใดๆ
“ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่ว่าครั้งแรกที่ผมเห็นคุณหญิงรองแล้วผมกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก..จะพูดยังไงดี..คือราวกับว่าคุณหญิงรองเป็นญาติของผม” เย่เชียนพูด
“จริงเหรอ?” ถังซูหยานรู้สึกดีใจอย่างควบคุมไม่ได้แต่เธอก็พยายามระงับปฏิกิริยาการแสดงออกของเธออย่างรวดเร็วและพูดว่า “จริงๆแล้วเมื่อฉันเห็นเธอตอนแรกฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน..ถ้าหากลูกชายของฉันยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็เขาก็น่าจะอายุเท่าๆเธอแต่..เฮ้อ!..ช่างมันเถอะฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นอีก!”
เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงเล็กน้อยและเขาก็ต้องการที่จะถามคำถามต่อไปแต่เมื่อเห็นความโศกเศร้าที่เผยอยู่บนใบหน้าของถังซูหยานแล้วคำพูดที่กำลังจะออกมาจากปากของเย่เชียนก็ถูกลบไปในทันที เมื่อเห็นเช่นนั้นถังซูหยานก็หยุดไปชั่วขณะแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเธอไม่รังเกียจเธอช่วยยอมรับฉันเป็นแม่บุญธรรมจะได้หรือเปล่า?..ฉันรู้ว่ามันค่อนข้างที่จะกะทันหันไปหน่อยแต่เสี่ยวเชียนจะยอมรับฉันเป็นแม่อีกคนจะได้มั้ย?”
หัวใจของก็สั่นหวั่นไหวและหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเย่เชียนก็พูดว่า “คุณหญิงรองผมต้องขอโทษจริงๆเพราะผมเองก็อยากมีแม่อย่างคุณ..แต่อย่างที่คุณรู้นั่นแหละว่าแม่ของผมน่ะเกลียดตระกูลเย่มาก..ถ้าผมทำแบบนั้นเธอคงจะโกรธมากเพราะงั้น…”
ถังซูหยานก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันเข้าใจๆไม่เป็นไรหรอก..ตราบใดที่เธอสบายใจก็เลือกแบบนั้นแหละ” ในขณะที่พูดเสี่ยวฉุยก็ได้เตรียมอาหารทั้งหมดเสร็จแล้วและถังซูหยานก็ยิ้มและทักทายเย่เชียนให้ดื่ม ซึ่งเย่เชียนก็ไม่เกรงใจใดๆและไม่รู้ว่าทำไมเย่เชียนมักจะรู้สึกสบายใจแปลกๆต่อหน้าถังซูหยานเพราะเขาไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดหรือกดดันหรือกังวลใดๆเลย ตรงกันข้าม เขาไม่สามารถพูดหรือทำแบบนี้ต่อหน้าอันซือได้เลยจนเย่เชียนรู้สึกว่าเขาและถังซูหยานเป็นเหมือนแม่กับลูกมากกว่าอันซือเสียอีก
หลังจากหยุดไปชั่วขณะถังซูหยานก็พูดต่อ “พูดตามตรงเลยนะเสี่ยวเชียน..วันพรุ่งนี้เป็นวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของผู้อาวุโสและฉันก็หวังว่าเธอจะสามารถเกลี้ยกล่อมแม่ของเธอให้พยายามไม่สร้างปัญหาอะไรในงานเลี้ยงวันเกิดนะ..ไม่งั้นผู้อาวุโสคงจะไม่สบอารมณ์อย่างมากและมันคงจะไม่ดี..ฉันต้องขอโทษสำหรับสิ่งที่ตระกูลเย่เคยทำกับพวกเธอและฉันก็แค่หวังว่าเธอจะนึกถึงฉันและพยายามเกลี้ยกล่อมแม่ของเธอได้..ฉันอยากให้รอจนกว่างานเลี้ยงวันเกิดจบลงก่อนและฉันก็จะทำทุกอย่างเท่าที่จะสามารถทำได้เพื่อเธอและทำให้ตระกูลเย่ยอมรับในทุกสิ่งทุกอย่าง”
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ทราบแน่ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้นในสมัยก่อนแต่คำพูดของถังซูหยานนั้นทำให้เย่เชียนประทับใจอย่างมาก ซึ่งเธอนั้นผู้มีจิตใจดีและเมตตาและตระหนักถึงผู้อื่นอยู่เสมอ ถ้าหากอันซือเป็นเพียงคนรักของเย่เจิ้งหรานส่วนถังซูหยานนั้นเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเย่เจิ้งหรานล่ะก็การกระทำของถังซูหยานนั้นก็น่ายกย่องอย่างมาก ในโลกใบนี้มีผู้หญิงสักกี่คนที่อดทนได้ถึงขนาดนี้กัน?
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นว่า “คุณหญิงรองไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นด้วยแต่ว่าความเกลียดชังที่อดกลั้นของแม่นั้นเกินกว่าที่จะหยุดได้..ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเธออยู่อย่างหวาดระแวงเสมอและเนื่องจากอาการบาดเจ็บทางร่างกายของเธอนั้นเธอก็อยู่อย่างทรมานมาจนถึงทุกวันนี้..ถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายของเธอจะดีขึ้นแล้วแต่เธอก็ไม่สามารถฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณได้อีกต่อไป..ดังนั้นเธอจึงไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปและการเกลี้ยกล่อมเธอนั้นก็ไม่ง่าย..อันที่จริงผมเองก็เกลี้ยกล่อมเธอก่อนจะมาที่นี่แล้วแต่มันก็ไม่มีประโยชน์เลย..แต่ในเมื่อคุณหญิงรองพูดแบบนี้ผมก็จะลองเกลี้ยกล่อมแม่อีกครั้งหลังจากที่ผมกลับไป”
ถังซูหยานพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “มันถึงเวลาแล้วที่จะลืมเลือนเรื่องเก่าๆในอดีตไปให้หมด..เรื่องที่เลวร้ายในสมัยก่อนมันช่างยาวนานเหลือเกินและไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าใครถูกหรือใครผิดและทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ควรจะจบลงตั้งแต่ตอนนั้น..ฉันเข้าใจเพราะงั้นไม่ต้องกังวลไป..ฉันจะไปบอกผู้อาวุโสให้อนุญาตให้เธอมาอยู่ที่ตระกูลเย่ด้วย”
“คุณหญิงรองคุณจะทำแบบนั้นได้หรอคะ..คุณอยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้วคุณจะยังมีตำแหน่งหรืออำนาจในการเรียกร้องและตัดสินใจอะไรได้อยู่อีกหรอคะ” เสี่ยวฉุยพูดอย่างไม่สบอารมณ์เพราะเธอเป็นสาวใช้ที่ติดตามถังซูหยานมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กและเธอก็ได้แต่งงานกับคนของตระกูลเย่ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาเธอได้ดูแลเรื่องอาหารการกินและชีวิตประจำวันของถังซูหยานมาโดยตลอดและถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะแต่งงานแล้วแต่เธอก็ยังเต็มใจที่จะอยู่รับใช้ถังซูหยานต่อไป
“เธออยู่กับฉันมาตั้งนานแล้วเธอยังไม่รู้จักฉันอีกหรอ..ถ้าฉันสนใจในสถานะของฉันล่ะก็ฉันคงไม่อยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว” ถังซูหยานพูด “สถานะและอำนาจมันก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา..ถึงแม้ว่าเราจะมีมันมากสักแค่ไหนก็ตามแต่สุดท้ายมันก็เป็นได้แค่เถ้าธุลีหลังความตายไม่ใช่เหรอ?..ถ้าฉันขอพรได้ฉันก็จะไม่ขออะไรเลยสักอย่างตราบใดที่ฉันและครอบครัวยังมีชีวิตอยู่และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป” ณ จุดนี้ ความโศกเศร้าระหว่างคิ้วของถังซูหยานก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆและตลอดหลายปีที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยลืมเรื่องนั้นเลย ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะพยายามอย่างมากที่สุดที่จะลืมมันแต่ยิ่งอยากลืมมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งลืมได้ยากมากเท่านั้น
หลังจากหยุดไปชั่วขณะถังซูหยานก็หันไปมองเย่เชียนแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเชียนเธอคิดว่าฉันเสแสร้งแกล้งทำหรือเปล่า?”
เย่เชียนก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าผมเพิ่งจะเคยพบคุณหญิงรองและผมก็ไม่ได้รู้จักคุณหญิงรองเป็นอย่างดีแต่ผมก็เชื่อว่าคำพูดของคุณหญิงรองทุกคำนั้นออกมาจากใจจริง..นี่คือความรู้สึกและผมก็เชื่อความรู้สึกนี้”
“แล้วถ้าเธอคิดผิดล่ะ?” พังซูหยานถามด้วยรอยยิ้ม
“ถึงผมจะคิดผิดแต่ผมก็จะไม่เสียใจและผมก็จะไม่โทษใครทั้งนั้นเพราะมันเป็นความรู้สึกและการตัดสินใจของผมเอง” เย่เชียนพูดต่อ “แต่ผมเชื่อทุกๆสิ่งที่คุณหญิงรองพูดออกมาจากความรู้สึกที่เปิดเผยออกมาในเสียงเพลงก่อนหน้านี้..ผมรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นและเป็นคนที่มีเมตตาอย่างมาก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นถังซูหยานก็พูดว่า “เธอชมฉันขนาดนี้ฉันก็อายเป็นเหมือนกันนะ” จากนั้นเธอก็ดูเวลาบนนาฬิกาที่ผนังห้องแล้วพูดว่า “เสี่ยวเชียน..นี่มันก็ดึกมากแล้วเธอกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ..พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปเตรียมของขวัญให้ผู้อาวุโส..เอ่อ..มันคงจะดีที่สุดถ้าเธอไม่บอกแม่ของเธอว่าเธอมาหาฉันที่นี่..ฉันเกรงว่าแม่ของเธอไม่สามารถยอมรับมันได้..นอกจากนี้หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดจบลงทั้งครอบครัวเล็กและครอบครัวใหญ่ๆในตระกูลเย่จะเข้าร่วมการประลองศิลปะการต่อสู้กัน..ถ้าเธอชอบก็ลองไปเข้าร่วมดูสิ..แม่ของเธอน่าจะสอนศิลปะการต่อสู้ให้เธอใช่มั้ย?”
หากเป็นเมื่อก่อนถังซูหยานคงจะสามารถสัมผัสพลังในร่างกายของเย่เชียนได้ตั้งแต่แรกพบอย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้พลังที่ชั่วร้ายในร่างกายของเย่เชียนได้ถูกผนึกของพระไร้นามจากวัดหลิงหลงจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีนผนึกลงในตัวเขาบดบังมันเอาไว้และรวมกันเป็นหนึ่ง ดังนั้นถังซูหยานจึงไม่สามารถสัมผัสมันได้เลย
“แม่สอนผมมาบ้างแต่ส่วนใหญ่ผมก็เรียนรู้ด้วยตัวเอง..ในตอนนี้ศิลปะการต่อสู้ของผมอยู่ในระดับต่ำมากๆ..ถ้าเป็นไปได้ผมขอเป็นผู้ชมอยู่ข้างสนามจะดีกว่า..นอกจากนี้เมื่อเทียบกับเหล่าลูกศิษย์ตระกูลเย่และทายาทตระกูลต่างๆที่โดดเด่นแล้วผมก็ดูด้อยไปเลย..ถ้าเลือกได้ผมก็จะไม่ขึ้นไปแสดงความอ่อนแอของตัวเองและทำให้แขกหัวเราะจะดีกว่า” เย่เชียนพูดเบาๆ