ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 751 ชายลึกลับในชุดดำ
ตอนที่ 751 ชายลึกลับในชุดดำ
นี่ไม่ใช่ความอวดดีของเย่เชียนแต่เป็นคำพูดที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ประการหนึ่งเย่เชียนไม่รู้ว่าตระกูลแห่งศิลปะการต่อสู้โบราณเหล่านี้มีความสามารถประเภทใดและประการที่สองเขานั้นรู้ว่าอันซือปรารถนาให้ตนเข้าร่วมการแข่งขันที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน ดังนั้นถ้าหากเป็นไปได้เขาก็อยากที่จะเลือกนั่งดูเสียมากกว่า
เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูดถังซูหยานก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เธออ่อนน้อมถ่อมตนเกินไป..ถ้าเธอไม่เก่งและไม่มีความสามารถล่ะก็เธอมาที่นี่ได้ยังไง..เพราะแม้แต่ลูกศิษย์สองคนของตระกูลเย่ที่คอยคุมอยู่กลับไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเธอออกมา..นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าทักษะและความสามารถของเธอน่ะไม่ธรรมดา..จนถึงทุกวันนี้พ่อของเธอก็ยังคงเป็นที่รู้จักในฐานะปรมาจารย์อันดับหนึ่งของตระกูลเย่อยู่เลย..ดังนั้นในฐานะลูกชายของเขาแล้วคงไม่ต้องพูดถึงเรื่องฝีมือหรอก..เธอคงจะไม่ต่างจากพ่อของเธอนัก”
เย่เชียนก็ยิ้มจางๆแล้วพูดว่า “คุณหญิงรองคุณชมผมเกินไป..สวนหลังบ้านน่ะมันมีพื้นที่กว้างมากและมันก็ง่ายที่จะหลีกเลี่ยงสายตาของลูกศิษย์ตระกูลเย่ทั้งสอง..นั่นเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมาผมได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกภายนอกนอกจนได้เรียนรู้ทักษะบางอย่างมาบ้าง”
“ว่าแต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าชีวิตของเธอเป็นยังไงบ้างตลอดหลายปีที่ผ่านมา..แต่ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้วเพราะงั้นหากมีโอกาสเธอช่วยเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นและประสบการณ์ชีวิตของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาให้ฉันฟังหน่อยจะได้มั้ย?” ถังซูหยานพูด
“ได้ครับถ้ามีโอกาส” เย่เชียนพูด
หลังจากพูดจบเย่เชียนก็ยืนขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหญิงรองครับถ้างั้นผมจะไม่รบกวนคุณแล้วนะครับ..เชิญคุณพักผ่อนได้เลยเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า..ราตรีสวัสดิ์ครับ!” เมื่อเสียงของเย่เชียนจบลงและกำลังจะหันหลังเดินออกจากศาลา
“ใครน่ะ..ออกมาเดี๋ยวนี้!” ทันใดนั้นถังซูหยานก็ตะโกนอย่างรวดเร็วและจากนั้นชายในชุดดำก็รีบวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ ซึ่งร่างกายของเขานั้นถูกคลุมด้วยชุดสีดำและใบหน้าของเขาก็ถูกปกปิดด้วยผ้าสีดำเช่นกันและมีเพียงดวงตาคู่หนึ่งเท่านั้นที่เปิดเผยให้เห็น เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและรีบปกป้องถังซูหยานทันทีและเย่เชียนก็แอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆเพราะดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะผ่อนคลายเกินไปจนไม่ได้สังเกตว่าใครซ่อนอยู่ที่นี่ด้วย
“คุณเป็นใคร?” ถังซูหยานขมวดคิ้วและถาม
“ไม่สำคัญหรอกว่าผมจะเป็นใคร..ถังซูหยานถ้าคุณไม่อยากตายก็ส่งกริชฉีจือเต๋ามาซะ!..ไม่งั้นก็อย่ามาโทษว่าผมโหดร้ายก็แล้วกัน” ชายชุดดำพูด
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและขมวดคิ้วโดยไม่ตั้งใจเพราะฉีจือเต๋าชื่อนี้คุ้นเคยมาก ทันใดนั้นก็มีภาพในอดีตผุดขึ้นมาเพราะเย่เชียนจำได้ว่าตอนที่เขาอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นหมินเว่ยเหวินผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินราคาโบราณวัตถุเรียกมีดคลื่นโลหิตว่าฉีจือเต๋า ซึ่งชายชุดดำคนนี้มาหาถังซูหยานเพราะกริชฉีจือเต๋าได้ยังไง? มันมีความลับอะไรซ่อนอยู่หรือไม่?
เมื่อได้ยินเช่นนั้นถังซูหยานก็ยิ้มจางๆแล้วพูดว่า “ทำไมฉีจือเต๋าถึงต้องอยู่กับฉันด้วยล่ะ?..ฉีจือเต๋านั้นหายไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว..ฉันคิดว่าคุณคงมาตามหาผิดที่นะ”
“หึ..คิดว่าผมจะเชื่องั้นเหรอ..ใครๆก็รู้ว่าฉีจืออเต๋านั้นเป็นของเย่เจิ้งหรานสามีคุณแล้วมันจะหายไปได้ยังไง?” ชายชุดดำพูดอย่างเย้ยหยัน “อย่ามาเสแสร้งไม่งั้นอย่ามาหาว่าผมไม่สุภาพก็แล้วกัน”
ถังซูหยานก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่า “ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ฉีจือเต๋านั้นไม่ได้อยู่กับฉันจริงๆ..คุณเป็นแขกที่มาเข้าร่วมงานฉลองวันเกิดหรือเปล่า?..ฉันไม่ต้องการทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เพราะงั้นคุณกลับไปเถอะ..ไม่งั้นมันคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับคุณที่จะออกจากบ้านของตระกูลเย่ไปได้ถ้าคุณยังเสียเวลาอยู่ตรงนี้”
การป้องกันของตระกูลเย่นั้นเข้มงวดมากและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลเย่อย่างเงียบๆได้ ดังนั้นถังซูหยานจึงมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องเข้ามาที่นี่ในนามของแขกเพื่อมาเข้าร่วมงานฉลองวันครบรอบวันเกิดของผู้อาวุโสอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามถังซูหยานเองก็ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในปัญหาต่างๆเพราะเธอเหน็ดเหนื่อยกับการต่อสู้และปัญหาเหล่านี้มานานแล้ว ไม่เช่นนั้นเธอคงจะไม่ขังตัวเองในศาลาแห่งนี้เป็นเวลานานหลายปีอย่างแน่นอน
ชายชุดดำก็ดูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ในเมื่อคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลยถ้างั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องไว้ชีวิตคุณแล้วสินะ” ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้นชายชุดดำก็รีบคว้าดาบยาวเพื่อแทงเข้าไปที่ถังซูหยานทันที
“ช่างกล้านักนะ!” เสี่ยวฉุยตะโกนโกรธเกรี้ยวและในทันใดนั้นเธอก็เหวี่ยงมือขวาออกไปและมีเข็มสีเงินพุ่งเข้าไปหาชายชุดดำอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความมืดมิดนี้เข็มเงินนั้นมีขนาดเล็กมากจนสังเกตเห็นได้ยากอย่างไรก็ตามชายชุดดำก็สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของเสี่ยวฉุยได้เขาจึงรู้สึกได้ถึงเสียงวัตถุบางอย่างกระทบกับลมดังนั้นเขาจึงหลบหลีกเข็มเงินที่เสี่ยวฉุยขว้างออกไปได้ แต่เขาไม่ได้ล่าถอยใดๆและยังคงใช้ดาบยาวแทงไปทางถังซูหยานต่อ
“เหนือฟ้าใต้พิภพในโลกใบนี้สำนักถังก็เป็นแค่ชื่อ..มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น” ชายในชุดดำพูดอย่างเย้ยหยัน
“จริงเหรอ?” ถังซูหยานพูดด้วยรอยยิ้มจางๆจากนั้นเธอก็เอื้อมมือผลักเย่เชียนออกไปที่ด้านข้างแล้วพูดว่า “เสี่ยวเชียนเธอถอยออกไปก่อน” เมื่อเสียงจบลงเธอก็ใช้มือขวาของเธอสอดเข้าไปในเสื้อคลุมจากนั้นก็เห็นเข็มเงินเรียวยาวสี่อันถูกประกบอยู่ระหว่างนิ้วของเธอและเธอก็พุ่งเข้าไปหาชายชุดดำในทันที
เย่เชียนไม่มีเวลาตอบสนองเลยแม้แต่น้อยและเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงดันบางอย่างตอนที่ถังซูหยานพุ่งออกไปจนเขาอดคิดไม่ได้ว่า ‘มันช่างเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่จริงๆ’ เมื่อได้ยินคำพูดของชายชุดดำแล้วเย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและสงสัยว่า ‘เธอมาจากสำนักถังงั้นเหรอ?’ เย่เชียนไม่อยากจะเชื่อและเขาเพียงรู้สึกว่าเขานั้นค่อยๆเข้าไปมีส่วนร่วมในโลกแห่งการต่อสู้โบราณนี้ ซึ่งเขานั้นแค่เคยได้ยินมาว่าสำนักถังนั้นเก่งเรื่องของการใช้พิษตามที่เขียนเอาไว้ในนิยายเช่นนั้น
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับเย่เชียนก็คือถังซูหยานที่ดูอ่อนโยนและสง่างามกลับกลายเป็นว่าเธอเป็นผู้ที่ซ่อนเร้นฝีมือเอาไว้และเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรงของชายชุดดำแล้วมันไม่มีวี่แววว่าเธอจะตกตะลึงหรือกระวนกระวายเลยแม้แต่น้อย ซึ่งในเวลานี้เข็มเงินในมือของถังซูหยานก็แทงทะลุเสื้อคลุมของชายชุดดำราวกับว่ามันมีชีวิตเป็นของมันเอง
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เชียนได้เห็นการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างนักสู้ตำรับโบราณสองคนและเขาก็ตกตะลึงอย่างมากเพราะถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณและอยู่ในขอบเขตขั้นสูงแล้วก็ตามแต่เนื่องจากเขาไม่เคยเผชิญหน้ากับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณเลยสักครั้งและภายใต้สถานการณ์ปกติเขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังของศิลปะการต่อสู้โบราณในการตอบโต้ศัตรูเขาจึงไม่สามารถเข้าใจพลังที่แท้จริงของคนเหล่านี้ได้ ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งเขาจะเคยเห็นสาวกของธรรมะและอธรรมของสำนักม่อจื๊อสู้กันในประเทศรัสเซียมาแล้วก็ตามแต่ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนเขาไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ตอนนี้มันก็แตกต่างกันอย่างมากเพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังของนักสู้โบราณจริงๆและการต่อสู้เช่นนี้ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์
การโจมตีของชายชุดดำนั้นรุนแรงมากและการเคลื่อนไหวก็สามารถอันตรายถึงชีวิต เห็นได้ชัดว่าเขามีเจตนาที่จะฆ่าถังซูหยานอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตามถังซูหยานนั้นก็ยับยั้งเอาไว้และไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าชายชุดดำจริงๆ ซึ่งทุกๆการเคลื่อนไหวที่เป็นอันตรายเธอก็จะหลีกเลี่ยงชายชุดดำและเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล ซึ่งถึงแม้ว่าเขากับถังซูหยานจะเพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรกก็ตามแต่เขาก็รู้สึกได้ว่าระหว่างเขากับเธอนั้นรู้จักกันมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเย่เชียนจึงไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับถังซูหยาน แต่เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“มนุษย์ไม่ทำร้ายเสือแต่เสือนั้นมันเป็นสัตว์ที่อันตราย..คุณหญิงรองถ้าคุณยังทำแบบนี้ต่อไปมันจะเป็นอันตรายสำหรับคุณเองนะ” เย่เชียนพูดอย่างเร่งรีบ ถึงแม้ว่าถังซูหยานจะยังคงมีความได้เปรียบอยู่ในตอนนี้แต่ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปเย่เชียนเกรงว่าเธอจะพ่ายแพ้ในที่สุด
“หุบปากไปซะไอ้กระจอก!..เมื่อไหร่ที่ฉันฆ่าเธอได้ล่ะก็แกจะเป็นรายต่อไป!” ชายชุดดำสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดและคำพูดก็เต็มไปด้วยความโกรธราวกับว่าเขามีความเกลียดชังอย่างมากกับเย่เชียนและเป็นความเกลียดชังชนิดใดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกใบนี้? มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความเกลียดชังในการฆ่าล้างบางนั่นเอง
“หือ?” เย่เชียนถึงกับผงะและพูดว่า “นี่แกรู้จักฉันงั้นเหรอ?” เมื่อรู้สึกถึงความโกรธเกรี้ยวที่รุนแรงของชายชุดดำแล้วเย่เชียนก็รู้สึกได้ว่าชายชุดดำดูเหมือนจะรู้จักตัวเอง ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องโกรธเพราะของคำพูดของเย่เชียนก่อนหน้านี้ ซึ่งในบรรดาแขกที่มาเข้าร่วมงานฉลองครบรอบวันเกิดของผู้อาวุโสนั้นเขาไม่รู้จักใครเลยไม่ใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นใครที่จะเป็นศัตรูกับเขา? ทันใดนั้นความคิดของเย่เชียนก็ผุดขึ้นมาและเขาก็คิดอย่างลับๆว่า ‘จะเป็นเขาจริงๆงั้นเหรอ?’
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เย่เชียนก็พูดออกมาว่า “คุณคือซงเจิ้งหยวนงั้นเหรอ?”
ทันใดนั้นร่างของชายชุดดำก็นิ่งไปอย่างเห็นได้ชัดจนเย่เชียนคาดเดาได้อย่างชัดเจนว่าเขานั้นเดาถูกได้ แต่แน่นอนว่ามันยังไม่ชัดเจนในเวลานี้ หลังจากนั้นไม่นานชายชุดดำก็พูดเยาะเย้ยว่า “ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่!” อย่างไรก็ตามเย่เชียนกลับเรียกชื่อของเขาออกมาด้วยการพบกันเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆซึ่งยังคงทำให้เขาประหม่าอย่างมากและสมาธิในการต่อสู้ก็ลดลงเล็กน้อย
ซงเจิ้งหยวนนั้นเป็นศิษย์พี่ของหูวเค่อซึ่งเป็นไปได้ไหมที่เขามีความบาดหมางกับตระกูลเย่? ดังนั้นซงเจิ้งหยวนจึงมาเข้าร่วมงานวันครบรอบวันเกิดของผู้อาวุโสในครั้งนี้และถูกคนในสำนักสั่งให้นำกริชฉีจือเต๋าหรือมีดคลื่นโลหิตกลับไปหรือไม่? เย่เชียนนั้นอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆอย่างไรก็ตามไม่มีใครคาดคิดว่ามีดคลื่นโลหิตนั้นจะไม่ได้อยู่ในบ้านของตระกูลเย่อีกต่อไปแล้วแต่มันในมือของเย่เชียนที่อู๋หวนเฟิงไปขโมยมันมาจากพิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษและแลกมันมาด้วยแขนข้างหนึ่งของเขา
เมื่อฟังการสนทนาระหว่างชายชุดดำกับถังซูหยานแล้วดูเหมือนว่ากริชฉีจือเต๋านี้จะเป็นของเย่เจิ้งหรานในสมัยนั้น หากเย่เจิ้งหรานเป็นพ่อของเขาจริงๆล่ะก็เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆว่ามันไม่น่าแปลกใจเลยว่าเมื่อเขาเห็นกริชฉีจือเต๋าเล่มนี้เขากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก
ดาบยาวที่อยู่ในมือของชายชุดดำก็พลิกและแทงเข้าใส่ถังซูหยานโดยตรง ซึ่งถังซูหยานก็หมุนตัวเพื่อหลบหลีกการโจมตีของชายชุดดำและเข็มเงินในมือของเธอก็พุ่งเข้าใส่ร่างของชายชุดดำโดยตรง ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเตือนเธอไปแล้วแต่ถังซูหยานก็ยังคงยับยั้งเอาไว้เพราะเข็มเงินนั้นหลีกเลี่ยงจุดที่อันตรายถึงชีวิตของชายชุดดำโดยแทงเข้าไปที่ท้องของชายชุดดำแทน
ชายชุดดำที่ต่อสู้กับถังซูหยานในตอนนี้เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้อีกต่อไปเพราะการโจมตีของเขาล้มเหลวดังนั้นเขาจึงรีบชักดาบยาวกลับไปแล้ววิ่งหนีไป “จะไปไหน!” เสี่ยวฉุยตะโกนและรีบพุ่งออกไปแต่ทว่าถังซูหยานนั้นคว้าแขนของเธอเอาไว้แล้วพูดว่า “ลืมมันไปเถอะ..ปล่อยเขาไป!”
“แต่…” เสี่ยวฉุยพูดอย่างไม่เต็มใจ
“เขาไม่ได้ต้องการจะมาทำร้ายฉันแล้วเพราะงั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องไปตามล่าเขา” ถังซูหยานพูด “สำนักถังของเรามีศัตรูมากมายเพราะงั้นเราต้องระมัดระวังตัวทุกเมื่อในอนาคตเธอเข้าใจมั้ย?”
เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวฉุยนั้นโกรธเกรี้ยวอย่างมากแต่หลังจากติดตามถังซูหยานมานานเธอก็รู้นิสัยและอารมณ์ของถังซูหยานเป็นอย่างดี “เข้าใจค่ะ!” เสี่ยวฉุยตอบด้วยความหดหู่ใจเล็กน้อย
จากนั้นถังซูหยานจึงหันหน้าไปมองเย่เชียนแล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”
เย่เชียนก็ส่ายหัวแล้วตอบว่า “ผมไม่เป็นอะไร”
“ขอบคุณนะเมื่อกี้” ถังซูหยานพูดด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณฉัน ขอบคุณสำหรับอะไร” เย่เฉียนถามอย่างงุนงงเล็กน้อย
“เมื่อตอนที่ชายชุดดำปรากฏตัวออกมาเธอก็มายืนอยู่ตรงหน้าเพื่อปกป้องฉัน..ตอนนั้นฉันรู้สึกประทับใจมาก..ขอบคุณนะ” ถังซูหยานพูด ซึ่งเธอก็แอบคิดในใจว่า ‘ถ้าเย่เชียนเป็นลูกของเธอจริงๆก็คงจะดี’
“แต่ผมไม่ได้ช่วยอะไรเลย” เย่เชียนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูด