ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 754 ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
ตอนที่ 754 ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
ที่ใดมีผู้คนที่นั่นก็ย่อมมีกฎเกณฑ์และที่ไหนที่มีกฎเกณฑ์ที่นั่นก็ย่อมมีถูกและผิด ทุกสิ่งล้วนมาจากความเห็นแก่ตัวและความโลภของมนุษย์และคำว่าสังคมก็คือส่วนผสมของวงจรเหล่านี้ เมื่อผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันแล้วมันก็ยากที่จะปรับตัว
เวทีการประลองศิลปะการต่อสู้นั้นเป็นสังคมอีกระดับหนึ่งที่ซ่อนอยู่เช่นเดียวกับชนชั้นล่างและชนชั้นสูง ซึ่งมันยากมากที่สังคมชนชั้นล่างจะเข้าใจชีวิตของชนชั้นสูงและคนธรรมดาก็แทบจะไม่เข้าใจวิถีชีวิตของชนชั้นสูงเลย ซึ่งตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นไม่เพียงแต่ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยใหม่แต่ยังมีเทคโนโลยีใหม่ๆและสังคมในสมัยใหม่ อย่างไรก็ตามพวกเขายังต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมศักดินาบางอย่างในสมัยก่อนและปฏิบัติตามกฎของตระกูลที่สืบทอดมานับพันปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เย่เชียนนั้นไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆเพราะมันมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่สามารถควบคุมได้โดยลำพังและบางอย่างก็ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้เย่เชียนก็แบกรับภาระและความรับผิดชอบและชีวิตกับความหวังของผู้คนมากเกินไป ดังนั้นถ้าหากเขาต้องการอยู่อย่างโดดเดี่ยวมันก็เป็นไปไม่ได้เลย
ดูเหมือนว่าจะมีพลังบางอย่างที่ทำให้เย่เชียนต้องเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งและถึงแม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยขวากหนามและอุปสรรคก็ตามแต่เขาก็จะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ระหว่างทางหัวใจของเย่เชียนก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวลและเขาก็ไม่เคยกลัวความตาย แต่เย่เชียนแค่กังวลว่าเขาจะต้องทำอย่างไรถ้าหากอันซือสร้างปัญหาในงานเลี้ยงครบรอบวันเกิดของตระกูลเย่ ซึ่งเย่เชียนนั้นก็คาดหวังที่จะมีครอบครัวเหมือนคนปกติและเป็นความสัมพันธ์แบบครอบครัวที่บริสุทธิ์และจริงใจแต่ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเข้ามาพัวพันกับสงครามการแก้แค้นบางอย่างจนเขารู้สึกกังวลอย่างมาก ลึกๆแล้วนั้นอยากย้อนเวลากลับไปและหวังว่าจะไม่ได้พบเจอเย่เหวินเพราะเขาจะได้ไม่ต้องลำบากใจเหมือนทุกวันนี้ นั่นก็เพราะว่าครอบครัวนี้ไม่ได้ให้ความรักความอบอุ่นกับเขาเลยแต่กลับรู้สึกหนักใจและกดดันอย่างมาก
ในเวลานี้ร่องรอยของความภาคภูมิใจก็ปรากฏบนใบหน้าของอันซือและความเกลียดชังภายในดวงตาของเธอก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเย่เชียนก็เดินตามหลังเธอและเดินไปที่ห้องโถงใหญ่แต่ในใจของเขาเป็นเหมือนเรือที่โดดเดี่ยวในท้องทะเลที่แกว่งไปมาตามคลื่น ทันใดนั้นอันซือก็หยุดเดินเพราะเย่เจิ้งหยางขวางทางเธอเอาไว้
หลังจากที่มองเย่เจิ้งเซียงขึ้นลงจากหัวจรดเท้าแล้วอันซือก็ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดว่า “หืม..คุณมาที่นี่เพื่อหยุดพวกเราเหรอ?..การต้อนรับของตระกูลเย่เป็นแบบนี้หรอกเหรอ?..เรามาที่นี่เพื่ออวยพรวันเกิดให้ผู้อาวุโสแต่การที่พ่อบ้านมาทำแบบนื้มันดูหยาบคายไปหน่อยหรือเปล่า?”
เย่เจิ้งหยางก็พูดด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาว่า “คุณอันครับ..วันนี้เป็นวันเกิดของท่านผู้อาวุโสเพราะงั้นผมก็หวังว่าคุณคงจะเคารพกฎเพราะถ้าหากมีเกิดอะไรขึ้นมันจะไม่ดีกับทุกคน..คุณหญิงรองเป็นคนอนุญาตให้พวกคุณมาที่งานเลี้ยงได้..แต่ผมไม่สนใจหรอกถ้าหากพวกคุณสร้างปัญหาอะไรผมคิดว่าคุณควรรู้ผลที่จะตามมานะ”
“ผลที่ตามมาเหรอ?..นี่คุณกำลังขู่ฉันหรือเปล่า?” อันซือพูดอย่างเย็นชา “พ่อบ้าน..คุณนี่ช่างเป็นคนที่มีอำนาจจริงๆ..โชคดีที่คุณเป็นแค่คนรับใช้เพราะถ้าหากคุณเป็นทายาทของตระกูลเย่ล่ะก็คุณคงจะบ้าอำนาจไม่น้อยเลย”
ใบหน้าของเย่เจิ้งหยางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและเห็นได้ชัดว่าเขาพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อระงับความโกรธในใจเอาไว้ ซึ่งถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของเย่เจียอู๋ล่ะก็เขาคงจะลงมือทำอะไรบางอย่างไปแล้วและจะไม่ปล่อยให้อันซือหยิ่งผยองถึงขนาดนี้ “ถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้ดีว่าผมเป็นเพียงแค่คนรับใช้ของตระกูลเย่แต่ผมก็มีหน้าที่ของผม..คุณอันเองก็น่าจะรู้ว่าถ้าหากตระกูลเย่ต้องการกำจัดคุณจริงๆล่ะก็มันจะไม่มีที่ไหนในโลกนี้ให้คุณหลบซ่อนได้อีก” เย่เจิ้งหยางพูด
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่ว่าในกรณีใดอันซือก็คือแม่ของเขาและถึงแม้ว่าเขาจะมีข้อสงสัยในตัวเธอมากมายก็ตามแต่เธอก็ยังคงเป็นครอบครัวของเขาเสมอ ดังนั้นการคุกคามที่โจ่งแจ้งของเย่เจิ้งหยางที่มีต่ออันซือนั้นจึงทำให้เย่เชียนไม่สบอารมณ์อย่างมาก ซึ่งถึงแม้ว่าการที่เย่เชียนเข้ามาในบ้านของตระกูลเย่แล้วเขาจะวางตัวอย่างสงบเสงี่ยมก็ตามแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะถูกข่มเหงได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “คุณพ่อบ้านครับดูเหมือนคุณจะเข้าไปผิดเกี่ยวกับตำแหน่งของคุณนะ..คุณเป็นแค่คนรับใช้ของตระกูลเย่ดังนั้นคุณควรจะแยกแยะความแตกต่างของลำดับชั้น..นี่คือสิ่งที่คุณควรปฏิบัติตามและอีกอย่างไม่ว่าตระกูลเย่จะแข็งแกร่งขนาดไหนมันก็ไม่เกี่ยวเพราะถ้าหากเราจะทำอะไรเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวพลังและอำนาจของตระกูลเย่เลย..ผมคิดว่าคุณพ่อบ้านน่าจะยุ่งมากวันนี้และมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำเพราะงั้นคุณควรจะไปทำหน้าที่ของคุณซะ!”
เมื่อเห็นเช่นนั้นอันซือก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจและหันไปเหลือบมองเย่เชียนและเผยให้เห็นการแสดงออกที่ดูประทับใจราวกับแม่และลูกรักกันมากและไม่ว่าเธอจะทำอะไรเย่เชียนก็จะสนับสนุนเธอและยืนเคียงข้างเธอเสมอ ซึ่งอันซือก็แอบคิดว่าการตัดสินใจของเธอนั้นถูกต้องอย่างมาก
ในเวลานี้ใบหน้าของเย่เจิ้งหยางก็เปลี่ยนไปเป็นมืดมนแต่ท้ายที่สุดเขาก็ระงับความโกรธของเขาเอาไว้และหันมองไปที่เย่เชียนและพูดอย่างเย็นชาว่า “ถึงแม้ว่าคุณจะดูเหมือนคุณชายรองแต่ผมบอกคุณได้เลยว่าคุณไม่ใช่เลือดเนื้อของคุณชายรองอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ซึ่งเย่เจิ้งหยางก็พูดต่อ “ถ้าผู้อาวุโสไม่ให้คุณเข้าไปคุณก็ไม่สามารถเข้าไปได้..สมาชิกตระกูลเย่นั้นไม่ใช่คนที่คุณจะสามารถรับมือได้..ดังนั้นผมขอแนะนำให้คุณถอยเมื่อเจอปัญหาและอย่ามั่นใจในตัวเองมากเกินไปเดี๋ยวมันจะสายเกินที่จะเสียใจ”
“เย่เจิ้งหยางคุณไม่จำเป็นต้องขู่เขาหรอก..เขาน่ะเป็นลูกของเจิ้งหรานอย่างไม่ต้องสงสัยเลย” น้ำเสียงของอันซือค่อนข้างหยิ่งยโส “พวกตระกูลเย่ก็เหมือนๆกันหมดและไม่ว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็เป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานและเป็นสมาชิกของตระกูลเย่แต่คุณเป็นแค่คนรับใช้และในเมื่อเป็นคนรับใช้เพราะงั้นคุณก็ควรจะรู้จักเคารพเสียบ้าง”
เมื่อเห็นการแสดงออกของอันซือความสงสัยของเย่เชียนก็เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมซึ่งในตอนแรกเขาสงสัยว่าอันซือเป็นแม่แท้ๆของเขาหรือเปล่าและตอนนี้เย่เจิ้งหยางก็พูดแบบเดียวกันควบคู่ไปกับการแสดงออกของอันซือดังนั้นจึงทำให้ความสงสัยของเย่เชียนมีมากขึ้นไปอีก
“ที่คุณพูดน่ะแน่ใจนะว่ามันถูก?..คุณคิดว่าคุณรู้ดีกว่าผมงั้นเหรอ?” เมื่อเย่เจิ้งหยางพูดจบเขาก็เหลือบไปมองเย่เชียนแล้วพูดว่า “พ่อหนุ่มจะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังให้ดี..อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย..คิดดีๆและอย่าตัดสินใจผิดพลาดล่ะ”
หลังจากพูดจบเย่เจิ้งหยางก็หันหลังและเดินจากไป
เย่เชียนก็ตกตะลึงเล็กน้อยและการแสดงออกของเขาก็ดูลังเลอย่างมากเพราะเขากำลังคิดเกี่ยวกับคำพูดของเย่เจิ้งหยางอยู่และทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้นเย่เชียนจึงลังเลใจแต่อะไรๆมันก็ยังไม่แน่นอนและความจริงก็ยังไม่ปรากฏ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าครั้งนี้ที่เย่เชียนมาที่บ้านของตระกูลเย่นั้นอย่างน้อยๆคนเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะรู้ประวัติและชีวิตความเป็นมาของเขา
เมื่อมองไปที่เย่เชียนที่กำลังตกตะลึงอยู่อันซือก็ถอนหายใจอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “แกเป็นอะไรไป?..แกเชื่อสิ่งที่เขาพูดจริงๆงั้นเหรอ?..หืม!” จากนั้นเธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆจากนั้นก็พูดว่า “เสี่ยวเชียน..ลูกน่ะเป็นลูกของแม่จริงๆอย่างไม่ต้องสงสัยเลย..แกเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานผู้เป็นทายาทที่แท้จริงของตระกูลเย่..ถ้าไม่ใช่เพราะอุบายของเย่เจิ้งเซียงล่ะก็ตอนนี้ผู้อาวุโสแห่งตระกูลเย่ก็ควรจะเป็นพ่อของแกไปแล้วและครอบครัวของเราก็จะไม่ลงเอยแบบนี้”
“แล้วถังซูหยานเป็นใคร?..ผมได้ยินคนของตระกูลเย่เรียกเธอว่าคุณหญิงรองและเธอก็…” เย่เชียนพูด
เย่เชียนยังไม่ทันได้พูดจบอันซือก็ขัดจังหวะเขาโดยพูดว่า “แกต้องการจะถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อของแกเป็นยังไงน่ะเหรอ?..ใช่!..เธอเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเจิ้งหรานแต่พ่อของแกไม่ได้รักเธอเลย..แต่เธออิจฉาริษยาก็เลยทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อใส่ร้ายพวกเรา..ผู้หญิงใจร้ายคนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเธอล่ะก็ครอบครัวของเราจะมีชีวิตแบบนี้ได้ยังไง..ที่เราต้องพรากจากกันหลายปีขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเราคงไม่เป็นแบบนี้..ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแล้วศิลปะการต่อสู้และร่างกายของแม่จะเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?..ยิ่งไปกว่านั้นแม่กับเสี่ยวเหวินคงไม่ต้องหนีจากการไล่ล่าและการเข่นฆ่าของตระกูลเย่เลย”
การแสดงออกของอันซือค่อนข้างตีโพยตีพายแต่เย่เชียนก็ยังไม่อยากจะปักใจเชื่อเพราะอย่างน้อยๆถังซูหยานที่เขาเห็นเมื่อวานนี้ก็แตกต่างไปจากที่อันซือพูดอย่างสิ้นเชิงและทั้งสองคนก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและตรงกันข้ามกันคนละขั้ว
“แต่…” เย่เชียนอยากจะบอกว่าถังซูหยานนั้นไม่เหมือนที่อันซือพูดแต่เขาก็ต้องกลืนคำๆนั้นลงไปเพราะถ้าหากอันซือรู้ว่าเขากับถังซูหยานพบกันเมื่อคืนนี้ล่ะก็เย่เชียนเองก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าการแสดงออกของอันซือจะเป็นอย่างไร
เมื่อเห็นเย่เชียนลังเลที่จะพูดอันซือก็สับสนเล็กน้อยแต่ไม่มีเวลาให้เธอคิดมากเกินไปในขณะนี้เพราะงานเลี้ยงวันเกิดกำลังจะเริ่มขึ้นและเธอต้องไม่พลาดโอกาสนี้ไป ในตอนนี้ตระกูลเย่นั้นถูกปกครองโดยเย่เจิ้งเซียงดังนั้นถ้าหากเธอต้องการกลับมายังตระกูลเย่ล่ะก็แน่นอนว่าเย่เจียอู๋คือความหวังเดียวและเธอก็ชัดเจนมากว่าชายชราคนนี้มีนิสัยอย่างไรและไม่ว่าตระกูลเย่จะเกลียดเธอมากแค่ไหนแต่ถ้าหากเป็นเย่เชียนล่ะก็พวกเขาจะต้องยอมรับอย่างแน่นอน
ที่ห้องโถงใหญ่นั้นเหล่าบรรดาแขกเพิ่งจะอวยพรวันเกิดเสร็จและเมื่อเย่เจียอู๋กำลังจะทักทายแขกและรับประทานอาหารในงานเลี้ยงที่ห้องโถงด้านหลังแล้วจู่ๆอันซือก็พาเย่เชียนกับเย่เหวินมาที่ประตูทางเข้า “ขอแสดงความยินดีกับท่านผู้อาวุโสในวันเกิดครบรอบแปดสิบปี..ขอให้ท่านแข็งแรงและมีความสุขไปตลอดทั้งปี!” อันซือพูดและก้มคำนับ
เย่เจียอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะผงะเล็กน้อยแล้วหันไปมองและเมื่อเขาเห็นอันซือสีหน้าของเขาก็ดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดเพราะเขารู้จักอันซือและรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอันซือและเย่เจิ้งหรานเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามตั้งแต่ที่เจิ้งหรานเสียชีวิตไปอันซือก็ไม่ได้ติดต่อกับตระกูลเย่อีกต่อไปแต่เธอกลับเกลียดชังตระกูลเย่อย่างมาก ดังนั้นเธอจะมาอวยพรวันเกิดของเขาเช่นนี้ได้อย่างไร?
เมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปที่ด้านข้างของและเมื่อเห็นเย่เชียนเขาก็ตกตะลึงอย่างมากจนเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นเลยเพราะทั้งสองดูคล้ายกันมากเกินไประหว่างชายหนุ่มคนนี้กับเย่เจิ้งหรานซึ่งพวกเขาทั้งสองเกือบจะเหมือนกันเมื่อพวกเขาอายุเท่าๆกันหรือจะเป็นไปได้ไหม…? เย่เจียอู๋คิดด้วยความประหลาดใจ
ถังซูหยานที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มให้เย่เชียนและก้มลงไปกระซิบที่ข้างๆหูของเย่เจียอู๋ว่า “ท่านพ่อ..พวกเขาทั้งสองเป็นลูกชายและลูกสาวของเจิ้งหรานค่ะ..ที่พวกเขามาในวันนี้ก็เพื่อมาอวยพรวันเกิดของท่านพ่อ..ฉันหวังว่าท่านพ่อจะสามารถให้พวกเขาได้รู้จักบรรพบุรุษของพวกเขาและกลับมาหาบรรพบุรุษของพวกเขาได้นะคะ”