ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 755 ปู่
ตอนที่ 755 ปู่
เย่เจียอู๋ก็ถึงกับตกใจและไม่เชื่อเพราะชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขานั้นมีความคล้ายคลึงกับเย่เจิ้งหรานลูกชายของเขามากเกินไปราวกับแม่พิมพ์ที่แกะสลักกันออกมาจนเขาคิดว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นหลานชายแท้ๆของเขา
ในวัยสูงอายุของเขานั้นเขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างถ่องแท้และสิ่งที่เขาต้องการก็คือการรวมตัวของเหล่าลูกหลานของเขาเหมือนครอบครัวที่แสนอบอุ่น ทว่าการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของอันซือนั้นทำให้เหล่าบรรดาแขกที่มาร่วมงานต่างก็ประหลาดใจกันอย่างมากและหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เจียอู๋ก็พูดว่า “เอาล่ะๆ..ขอบใจๆ”
ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็เป็นเรื่องครอบครัวของเขาเองเสมอและถึงแม้ว่าเย่เจียอู๋จะไม่ทราบถึงจุดประสงค์ของอันซือในการมาที่นี่ก็ตามแต่เขาก็ไม่สามารถกีดกันเธอได้เพราะเห็นแก่การที่เธอมีลูกให้กับเย่เจิ้งหราน ยิ่งไปกว่านั้นหากเกิดปัญหาอะไรในเวลานี้มันก็จะมีแต่เสียงหัวเราะและเสียหน้าต่อบรรดาแขกอย่างมาก
“ขอบคุณค่ะท่านผู้อาวุโส” อันซือยิ้มอย่างมีชัยและเมื่อเธอการแสดงออกของเย่เจียอู๋แล้วเธอก็เชื่อว่าอย่างน้อยๆคนในตระกูลเย่ก็จะไม่กล้าทำอะไรเธอแม้แต่ผมเส้นเดียวของเธอก็จะไม่ร่วง นอกจากนี้เธอยังถือหมากรุกและไพ่ชิ้นสำคัญอยู่ในมืออีกด้วย
“เจิ้งเซียงไปเตรียมห้องอาหารเพื่อเชิญแขกมาทานอาหารได้เลย” เย่เจียอู๋หันไปเหลือบมองเย่เจิ้งเซียงและสั่ง จากนั้นเย่เจิ้งเซียงก็เหลือบมองไปที่บรรดาแขกแล้วพูดว่า “ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่สละเวลามาร่วมงานวันเกิดของท่านพ่อ..ซึ่งท่านพ่อรู้สึกขอบคุณอย่างมาก..ในเวลานี้มีงานเลี้ยงอยู่ที่ห้องโถงด้านหลังและหลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลงทางตระกูลเย่ของเราจะมีสมาชิกรุ่นลูกรุ่นหลานมาแข่งขันประลองทักษะการต่อสู้กัน..จากนั้นผมอยากจะขอรบกวนให้พวกคุณตัดสินและดูว่าลูกหลานของผมจากตระกูลเย่นั้นคนใดมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นบ้าง”
บรรดาแขกต่างก็ทักทายกันสองสามคำและยืนขึ้นทีละคนและเดินไปที่ห้องโถงด้านหลังทีละคนภายใต้คำแนะนำของเย่เจิ้งเซียง แน่นอนว่าซงเจิ้งหยวนกับเหยาซื่อฉีก็อยู่ท่ามกลางบรรดาแขกที่มาเข้าร่วมงาน แต่เมื่อซงเจิ้งหยวนเห็นเย่เชียนดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและเจตนาฆ่าและไม่รู้เลยว่ามันเป็นเพราะเรื่องความสัมพันธ์ของเย่เชียนกับหูวเค่อหรือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้กันแน่ ถ้าจะบอกว่าซงเจิ้งหยวนนั้นไม่กลัวก็ไม่แปลกเพราะการไปลอบสังหารคุณหญิงรองที่เป็นถึงลูกสะใภ้ของตระกูลเย่นั้นคงจะไม่สามารถทำให้เขายังอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป ในความเป็นจริงแล้วเดิมทีเขาต้องการจะเดินทางกลับไปตั้งแต่เช้าตรู่แต่ถ้าหากเขาจากไปอย่างนี้สิ่งที่ทำมาทั้งหมดมันจะไม่สูญเปล่าไปหรอกหรือ? ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินเข้ามาร่วมงานด้วยความประม่าแต่โชคดีที่ถังซูหยานดูเหมือนจะไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ซึ่งทำให้ซงเจิ้งหยวนโล่งใจอย่างมาก
อย่างไรก็ตามเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ซงเจิ้งหยวนก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากเพราะถ้าหากเย่เชียนไม่เรียกชื่อของเขาออกมาล่ะก็เขาจะกระวนกระวายใจแบบนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นกริชฉีจือเต๋าที่เขากำลังตามหามันกลับหายไปเสียแล้ว ดังนั้นสิ่งมันจะไม่ทำให้เขาโกรธได้หรือ? ซึ่งเมื่อสูญเสียโอกาสนี้ไปแล้วมันก็จะหาโอกาสดีๆเช่นนี้ได้ยากในอนาคต
ดูเหมือนเหยาซื่อฉีจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้เพราะเมื่อเธอเดินผ่านเย่เชียนเธอก็หยอกล้อเขาเล็กน้อยด้วยการชี้นิ้วใส่เขาราวกับว่าเธอกำลังจะพูดว่า “เจ้าหนู..เจ้าตายแน่” เมื่อเห็รเช่นนั้นเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่แต่เมื่อดูจากรูปลักษณ์และการแสดงออกของเหยาซื่อฉีแล้วเย่เชียนคิดว่าเธอคงจะหมายความว่าเย่เชียนนั้นหลอกลวงหูวเค่อ? แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้หลอกลวงหูวเค่วเลยเพราะถ้าหากเย่เชียนไม่ได้มาพบกับอันซือล่ะก็เขาจะไม่มีส่วนร่วมในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้โบราณเลยไม่ใช่หรือ?
เมื่อเย่เจียอู๋เห็นเย่เชียนแล้วมันราวกับว่าเขาได้เห็นเย่เจิ้งหรานและเขาก็มีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูด จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวและเขาจับมือเย่เชียนแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มาเถอะๆ..มาคุยกัน” ราวกับปู่และหลานจริงๆ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก็สามารถเข้าใจได้เช่นกันเพราะท้ายที่สุดเย่เชียนนั้นก็เป็นหลานชายของเขาและเลือดเนื้อของลูกชายสุดที่รักของเขา ดังนั้นเขาจึงมองเย่เชียนว่าเป็นลูกหลานของตระกูลเย่ที่พลัดพรากจากกันมานานกว่า 20 ปี
“หืม..เอ็งเป็นหลานชายของฉันจริงๆ” เย่เจียอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่เข้าใจว่าเย่เจียอู๋หมายถึงอะไรและเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงสมควรเป็นหลานชายของเย่เจียอู๋ อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของชายชราใกล้ๆแล้วจู่ๆเย่เชียนก็รู้สึกได้ถึงความสนิทสนมและความคุ้นที่ไม่สามารถบรรยายได้ในหัวใจของเขาและเขาก็รู้สึกลังเลที่จะแสดงความสงสัยต่างๆออกมา
“ไหนบอกหน่อยสิเอ็งชื่ออะไร” เย่เจียอู๋ถาม
“เย่เชียนครับ..ที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตน” เย่เชียนตอบ
“เย่เชียนหรือ..อืมเย่เชียนเป็นชื่อที่ดี” เย่เจียอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม “มาๆ..ในที่สุดเอ็งก็กลับมา..ตระกูลเย่เป็นหนี้ชีวิตเอ็งมากและพวกเราจะค่อยๆคืนให้เอ็งในอนาคต” จากนั้นเขาก็หันไปมองเย่เหวินที่อยู่ข้างๆแล้วพูดว่า “แล้วเธอล่ะชื่ออะไร”
“ท่านผู้อาวุโสคะฉันชื่อเย่เหวินค่ะ” เย่เหวินตอบ
“ผู้อาวุโสอะไรกัน..เธอควรจะเรียกฉันว่าปู่..เจ้าเด็กโง่!” เย่เจียอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เหลือบมองอันซือแล้วพูดว่า “อันซือ..ตระกูลเย่เป็นหนี้เธอจริงๆ..ตอนนี้เธอมีเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเย่แล้วเพราะงั้นเธอสามารถอยู่ที่นี่ในอนาคตได้..ฉันคิดว่าซูหยานคงจะไม่ว่าอะไรหรอก”
“ฉันพอใจกับคำพูดของท่านผู้อาวุโสมากเพราะงั้นฉันก็หวังว่าผู้อาวุโสจะรักษาสัญญาและให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา” อันซือพูด
เย่เจียอู๋ถึงกับขมวดคิ้วและนัยน์ตาของเขาก็เป็นประกายด้วยความไม่พอใจแต่เขาก็ระงับเอาไว้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเขาเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงสุดในตระกูลเย่เสมอมาและไม่ว่าในกรณีใดอำนาจของเขาก็ไม่สามารถถูกท้าทายโดยผู้อื่นได้ แต่ทว่าอันซือกลับพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มันจึงเป็นปกติที่เขาจะไม่สบอารมณ์แต่ก็ยากที่จะพูดอะไรที่มันรุนแรงกับเธอเพราะเธอเป็นผู้กำเนิดลูกให้กับเจิ้งหราน
“ไปกันเถอะ..เราไปร่วมงานเลี้ยงด้วยกัน..เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีฉันมีอะไรที่อยากจะคุยกับพวกเอ็งหลายอย่างเลย” เย่เจียอู๋จับมือเย่เชียนอย่างอ่อนโยนและเดินไปที่ห้องโถงด้านหลัง ซึ่งอันซือกับเย่เหวินก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิดและยิ่งไปกว่านั้นความโปรดปรานในลูกชายดูเหมือนจะเป็นนิสัยของตระกูลโบราณเหล่านี้ไปแล้วและความคิดเกี่ยวกับระบบศักดินาและลำดับชั้นในตระกูลของพวกเขาก็ยังคงจริงจังมาก เพราะในความเห็นของพวกเขามีเพียงผู้ชายเท่านั้นที่สามารถสืบทอดเจตนารมณ์ขอตระกูลและแบกรับอนาคตของตระกูลได้
ถังซูหยานนั้นไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงเพราะหลายปีที่ผ่านมาเธอคุ้นเคยกับชีวิตที่สงบสุขมากกว่าและถ้าไม่ใช่วันเกิดของเย่เจียอู๋ในวันนี้ล่ะก็เกรงว่าเธอคงจะไม่มีวันออกจากศาลากลางน้ำเพื่อมาปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมากมายอย่างแน่นอน ตั้งแต่การตายของเย่เจิ้งหรานและลูกชายของเธอที่หายตัวไปแล้วหัวใจของถังซูหยานก็ตายไปนานแล้วและเธอก็สงบและปล่อยวางละทางโลกอย่างสมบูรณ์แบบและการต่อสู้แย่งชิงอำนาจทั้งหมดก็เป็นเพียงเรื่องไร้สาระสำหรับเธอ อย่างไรก็ตามเมื่อเธอเห็นเย่เชียนแล้วและถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าเย่เจิ้งหรานนั้นมีลูกกับคนอื่นแต่แค่นี้เธอก็มีความสุขมากแล้วต่อให้เย่เชียนจะไม่ใช่ลูกของเธอเองก็ตาม ซึ่งบางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าความเมตตากรุณา
ไม่ว่าคนอื่นจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ถังซูหยานนั้นเชื่ออย่างแน่นอนว่าเย่เชียนเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานเพราะความรู้สึกที่เย่เชียนให้กับเธอนั้นมันเหมือนกับเย่เจิ้งหรานและเธอก็คุ้นเคยอย่างมาก ซึ่งเย่เชียนมีเงาของเย่เจิ้งหรานอยู่มากมายบนร่างกายของเขาและมีเพียงเธอและคนที่นอนกับเย่เจิ้งหรานเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นเธอจึงยินดีที่จะแนะนำเย่เชียนให้กับเย่เจียอู๋เพื่อให้พวกเขารู้จักบรรพบุรุษของพวกเขาตามที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตามไม่ว่าเธอจะใจดีแค่ไหนแต่เธอก็ไม่สามารถแนะนำคนที่ไม่ใช่ลูกของเย่เจิ้งหรานให้กับเย่เจียอู๋ได้
อันซือกับเย่เหวินนั้นนั่งที่โต๊ะอื่นแต่เดิมทีเย่เชียนต้องการนั่งกับพวกเธอแต่เย่เจียอู๋ก็พาเย่เชียนไปที่โต๊ะเดียวกันกับเขาและเมื่อเห็นเย่เจียอู๋มีความสุขเย่เชียนก็ลำบากใจเกินกว่าจะปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงต้องนั่งกับเย่เจียอู๋ตามที่เย่เจียอู๋ต้องการ
แต่เมื่อเย่เจิ้งเซียงกับเย่เจิ้งเฟิงเห็นเย่เจียอู๋พาเย่เชียนมาด้วยสีหน้าของพวกเขาดูประหลาดใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามทางด้านของเย่เจิ้งเซียงนั้นเขาก็รู้สิ่งต่างๆดีเพราะอย่างน้อยๆเขาก็รู้ว่าเย่เชียนนั้นมากับอันซือโดยรู้ว่าอันซือนั้นมีแผนการบางอย่าง แต่ทว่าทางด้านของเย่เจิ้งเฟิงนั้นเขาอยู่ในความมืดมิดและไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นอกจากนี้ที่โต๊ะเดียวกันยังมีลูกชายของเย่เจิ้งเซียงอย่างเย่หานรุ่ยกับเย่หานฮ่าวและลูกชายของเย่เจิ้งเฟิงอย่างเย่หานซวน ซึ่งทั้งสามคนก็งุนงงและพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน ส่วนบรรดาผู้หญิงทั้งหมดนั่งอยู่ที่โต๊ะอื่นและไม่ได้นั่งกับเย่เจียอู๋ แน่นอนว่าผู้หญิงทั้งหมดรวมถึงภรรยาของเย่เจิ้งเซียงและเย่เจิ้งเฟิงและลูกสาวของเย่เจิ้งเซียงอย่างเย่หานถิงด้วย
คนเหล่านี้เป็นทายาทแท้ๆของตระกูลเย่แต่ทว่าเย่เจียอู๋กลับพาเย่เชียนมานั่งที่ตำแหน่งนี้ด้วยดังนั้นแน่นอนว่าพวกเขาต้องอดไม่ได้ที่จะงุนงง “ท่านพ่อ!..เขาเป็นใคร?” เย่เจิ้งเฟิงถามด้วยความสงสัย
หลานชายทั้งสามคนของเย่เจียอู๋ก็ประหลาดใจเช่นกันแต่ต่อหน้าเย่เจียอู๋แล้วพวกเขาจะพูดได้อย่างไร ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความสงสัยในใจอย่างมากก็ตามแต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดหรือถามแบบลวกๆอย่างแน่นอน ซึ่งคนเหล่านี้เป็นทายาทแท้ๆสายตรงของตระกูลเย่และแน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถอยู่ที่โต๊ะเดียวกันกับผู้อื่นได้และนี่คือกฎเกณฑ์ของตระกูลโบราณเหล่านี้และเป็นลำดับชั้นที่เข้มงวดที่พวกเขายึดถือมาโดยตลอด
“เหอะๆ..ฉันจะแนะนำให้ทุกคนรู้จัก” เย่เจียอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม “มาสิเสี่ยวเชียน..นี่คือท่านลุงและท่านอาของเอ็ง”
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆและไม่ได้พูดอะไรใดๆเพราะขนาดต่อหน้าอันซือเขายังไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไปดังนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าสองคนนี้ที่เขาไม่คุ้นเคยด้วยเลยและพวกเขาก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเย่เชียนจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากการแสดงออกของเย่เจิ้งเซียงแล้วเห็นได้ชัดว่ามันเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อเขาและไม่ว่าเย่เจิ้งเซียงจะเป็นลุงของเขาจริงๆหรือไม่ก็ตามแต่เย่เชียนก็รู้สึกอึดอัดอย่างมากเมื่อเห็นการแสดงออกของเย่เจิ้งเซียง เดิมทีเย่เชียนสงสัยว่าอันซือกำลังหลอกใช้เขาเพื่อจัดการกับตระกูลเย่จริงๆหรือเปล่าแต่ตอนนี้เขาก็ได้เห็นการแสดงออกของเย่เจิ้งเซียงแล้วและเขาก็ค่อนข้างเชื่อในสิ่งที่อันซือพูด เพราะถ้าไม่ใช่เพราะความเมตตาของเย่เจียอู๋แล้วเย่เชียนก็ไม่คิดที่จะอยู่กับคนที่มีทัศนคติอย่างเย่เจิ้งเซียงเลย แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้คิดแม้แต่จะเป็นทายาทของตระกูลเย่เพราะเขามาที่นี่เพียงเพื่อค้นหาประสบการณ์ชีวิตและประวัติความเป็นมาของตัวเองเพียงเพื่อหาความสัมพันธ์ในครอบครัวที่หายากก็เท่านั้น
เมื่อเห็นการแสดงของเย่เชียนเย่เจียอู๋ก็ผงะเล็กน้อยแต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้พบเจอพวกเขามาหลายปีแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เมื่อคิดเช่นนั้นเย่เจียอู๋ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรๆ..เดี๋ยวพอได้พูดคุยกันก็คุ้นเคยกันเอง”
.