ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 756 การเผชิญหน้า
ตอนที่ 756 การเผชิญหน้า
หากเย่เจิ่งหรานได้เป็นทายาทของตระกูลเย่ล่ะก็ผู้อาวุโสอย่างเย่เจียอู๋ก็ถือได้ว่าเป็นคนแรกในตระกูลเย่ที่บุกเบิกและปรับเปลี่ยนโครงสร้างตระกูลซึ่งมันเป็นเรื่องยากมากสำหรับตระกูลที่ตกทอดกันมานับพันปีและถ้าหากต้องการอยู่รอดในสังคมยุคใหม่ล่ะก็พวกเขาต้องปฏิบัติตามกฎของตระกูลอย่างเคร่งครัดเท่านั้น
เย่เจียอู๋นั้นปฏิรูปและสร้างสรรค์บูรณาการตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณและระบบศักดินาเข้ากับสังคมสมัยใหม่และไม่เพียงแต่เขาปฏิบัติตามกฎเกณฑ์พันปีของตระกูลเท่านั้นแต่ยังได้พัฒนาพลังของตระกูลให้เหมาะสมกับยุคสมัยใหม่อีกด้วย ภายในระยะเวลาอันสั้นพลังและอำนาจของตระกูลเย่ก็ได้พัฒนาไปอย่างมากและสถานะทางสังคมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าด้วยความสามารถที่โดดเด่นของเย่เจิ้งหรานจะทำให้ตระกูลเย่รุ่งโรจน์ถึงจุดสูงสุดและเขาก็ล่วงลับไปแล้วก็ตามแต่อิทธิพลของเย่เจิ้งหรานนั้นก็ยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ สำหรับคนที่ตายไปแล้ว 20 กว่าปีแค่ยังสามารถมีชื่อเสียงและทำให้ผู้คนจดจำได้นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะบ่งบอกถึงความสามารถที่โดดเด่นและความยิ่งใหญ่ของเขา
“เจิ้งเซียง..เจิ้งเฟิง..เขาคือลูกของเจิ้งหรานชื่อเย่เชียน..เจิ้งหรานน่ะเสียไปนานแล้วเพราะงั้นพวกแกสองคนในฐานะลุงและอาก็ควรดูแลเขาให้ดีเขาใจมั้ย?” เย่เจียอู๋พูด “พวกเอ็งก็ด้วยพวกเอ็งเป็นพี่ชายของเขาเพราะงั้นพวกเอ็งก็ควรจะทำหน้าที่พี่น้องที่ดี..ถ้าฉันรู้ว่าพวกเอ็งรังแกเขาในอนาคตล่ะก็อย่ามาโทษที่ฉันโหดร้ายก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เจียอู๋แล้วเย่เชียนก็รู้สึกอบอุ่นและสบายใจอย่างมาก ความรู้สึกนี้มันเป็นความรู้สึกของครอบครัวญาติพี่น้องและความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านจริงๆ ต่อให้เย่เจียอู๋จะไม่ใช่ปู่แท้ๆของเขาก็ตามแต่เย่เชียนก็มีความสุขมากและหวังว่าจะได้อยู่กับชายชราคนนี้เพราะอย่างน้อยๆเขาก็สามารถรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน แต่ถ้าเขาไม่ใช่หลานชายของเย่เจียอู๋จริงๆล่ะก็เกรงว่าเย่เจียอู๋คงจะไม่ปฏิบัติต่อตัวเองแบบนี้ใช่ไหม? เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“ท่านพ่อ!..มันจะเป็นไปได้ยังไงเพราะลูกชายของน้องสองหายตัวไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้วและตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราก็ได้ใช้กำลังคนและทรัพยากรมากมายในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาแต่มันก็ไม่มีข่าวคราวใดๆเลย..เขาคงตายไปแล้วหรือต่อให้ยังมีชีวิตอยู่เขาจะหาที่นี่เจอได้ยังไง?” เย่เจิ้งเซียงพูด “ท่านพ่อ..ผมรู้ว่าท่านต้องการหลานชายแต่ท่านต้องเข้าใจนะว่าเราไม่สามารถรับคนอื่นเข้ามาในตระกูลได้”
เย่เจิ้งเฟิงก็อยู่ในความมืดมิดที่ไม่รู้อะไรดังนั้นเขาจึงพูดอย่างเห็นด้วยว่า “ใช่ครับท่านพ่อ..เราควรตรวจสอบสิ่งต่างๆให้ดีกว่านี้”
เย่เชียนก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ผมไม่เคยพูดเลยว่าผมเป็นสมาชิกของตระกูลเย่และผมก็ไม่ได้อยากจะเป็นสมาชิกของตระกูลเย่เลย..แซ่สกุลของผมคือเย่ก็จริงแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องเป็นทายาทของตระกูลเย่..ผมไม่อยากยึดติดกับอิทธิพลและอำนาจของตระกูลเย่เลย..ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เก่งแต่ก็ถือว่าผมได้ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วและผมก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องกังวลหรือยากลำบากไปตลอดชีวิตแล้ว..ถ้าพวกคุณคิดว่าผมอยากที่จะได้พลังของตระกูลเย่ผมจึงมาที่นี่ล่ะก็คุณคิดผิดแล้วเพราะชีวิตของผมมันก็เป็นของผมเสมอและผมจะอาศัยความพยายามของผมเองและความช่วยเหลือจากพวกพ้องของผมไม่ใช่พึ่งพาอิทธิพลของใครบางคน”
อันที่จริงเหตุผลที่เย่เชียนมาที่ตระกูลเย่นั้นเขาไม่ได้อยากยึดติดกับพลังของตระกูลเย่แต่เพื่อค้นหาประวัติและความเป็นมาของชีวิตของเขาเอง เย่เชียนนั้นไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนใหญ่คนโตแต่อย่างน้อยๆเขาก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับอำนาจของตระกูลเย่ใช่ไหม? ไม่ว่าตระกูลเย่จะแข็งแกร่งเพียงใดแต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะพึ่งพาและไม่จำเป็นต้องยึดติดกับมันเลย ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในความขัดแย้งในโลกของตระกูลโบราณเหล่านี้เลย
“อืม..ฟังดูดีนะแต่ฉันขอถามเอ็งหน่อยว่าทำไมเอ็งถึงบอกว่าเอ็งเป็นลูกชายของน้องสองล่ะ?..เอ็งมีหลักฐานหรือเปล่า?..ถึงแม้ว่าคราวนี้เอ็งแค่ต้องการกลับมาที่ตระกูลเพื่อร่วมอวยพรวันเกิดให้ปู่ก็ตามแต่ฉันขอบอกเลยนะว่าลูกชายของน้องสองนั้นเขาหายตัวไปตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว” เย่เจิ้งเซียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูด จากนั้นเขาก็หันไปหาเย่เจียอู๋แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ..อันซือมีลูกกับน้องสองก็จริงแต่เด็กคนนั้นเป็นลูกสาวไม่ใช่ลูกชาย!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เจียอู๋ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แกรู้ได้ยังไง?..ในเมื่อแกรู้ว่าอันซือให้กำเนิดลูกของเจิ้งหรานแล้วทำไมแกถึงไม่รับเธอมาอยู่ในตระกูลตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ?..ฉันต้องเป็นคนรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆและสิ่งที่ฉันต้องการในตอนนี้ก็คือการรวมตัวของครอบครัวและนอกจากนี้แกเห็นหรือเปล่า?..เสี่ยวเชียนเขาดูเหมือนเจิ้งหรานตอนหนุ่มๆไม่มีผิดเพราะงั้นฉันจึงมั่นใจว่าเขาจะต้องเป็นลูกของเจิ้งหรานอย่างแน่นอน”
ความพยายามของเย่เจียอู๋ทำให้เย่เชียนรู้สึกอบอุ่นอย่างไรก็ตามคำพูดของเย่เจิ้งเซียงก็ทำให้เย่เชียนไม่สบอารมณ์อย่างมากและตอนนี้เขารู้สึกงุนงงว่าตกลงแล้วเย่เจิ้งเซียงนั้นไม่ต้องการให้เขากลับมายังตระกูลเย่เพราะกลัวว่าเย่เชียนจะพรากทุกสิ่งทุกอย่างของเขาไป ยิ่งไปกว่านั้นในมุมมองของเย่เจิ้งเซียงนั้นเย่เชียนไม่ใช่ลูกชายของเย่เจิ้งหรานแต่เป็นเพียงเครื่องมือต่อรองสำหรับอันซือเพื่อตอบโต้ตระกูลเย่ อย่างไรก็ตามถ้าเขาเป็นเพียงตัวเบี้ยที่ใช้เพื่อแก้แค้นตระกูลเย่ล่ะก็แล้วอันซือจะรู้เรื่องของตัวเองได้ชัดเจนถึงขนาดนี้ได้อย่างไร? เธอจะรู้เกี่ยวกับปานบนร่างกายของเขาได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นเธอยังรู้ด้วยซ้ำว่าในร่างกายของเขามันมีพลังที่ชั่วร้ายอยู่ในร่างกายของเขา ดังนั้นถึงแม้ว่าอันซือเพียงต้องการหลอกใช้เขาแต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องสอนศิลปะการต่อสู้โบราณแก่เขาเลยเพราะตราบใดที่เธอพาตัวเขาไปยังตระกูลเย่เธอก็จะสามารถกลับไปยังตระกูลเย่ได้อย่างราบรื่นและแก้แค้นได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เย่เชียนมึนงงอย่างมากและไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าใครโกหกหรือใครพูดถูก
“ท่านพ่อผมไม่คิดอย่างนั้นหรอกเพราะตอนนี้โลกเรามีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามากเพราะงั้นตราบใดที่เราทำการทดสอบดีเอ็นเอ เราก็จะสามารถรู้ได้ว่าเขาเป็นลูกของพี่สองจริงๆหรือเปล่า..ท่านพ่อคิดว่าไงบ้าง?” เย่เจิ้งเฟิงพูด
เย่เชียนนั้นคิดมาเสมอว่าเขาอยากที่จะตรวจสอบ DNA เพื่อดูว่าเขาเป็นลูกชายแท้ๆของอันซือหรือเปล่า แต่เขาระมัดระวังตัวอยู่เสมอเพราะเขากลัวว่าจะทำร้ายจิตใจของอันซือถ้าหากเธอเป็นแม่ของเขาจริงๆ แต่ตอนนี้เย่เจิ้งเฟิงได้เสนอแนะเช่นนี้มันจึงเป็นโอกาสที่ดี ดังนั้นเย่เจียอู๋จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ค้อนข้างลำบากใจว่า “เสี่ยวเชียนฉันรู้ว่าวิธีนี้มันจะทำร้ายจิตใจของเอ็งแต่เอ็งก็น่าจะเข้าใจ..แต่ถ้าเอ็งไม่เห็นด้วยฉันก็ยังคงคิดว่าเอ็งเป็นหลานชายที่ล้ำค่าของฉันเสมอและจะไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้อีก”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เจียอู๋แล้วเย่เชียนก็รู้สึกอบอุ่นและรู้สึกดีอย่างมาก คราวนี้การที่เย่เชียนมายังตระกูลเย่นั้นเขาไม่ได้มาเพื่อทวงคืนหรือครอบครองตระกูลเย่แต่มาเพื่อค้นหาและรับรู้ประวัติความเป็นมาของตัวเอง ดังนั้นถึงสิ่งที่เย่เจิ้งเฟิงเสนอมันจะดูเสียมารยาทไปหน่อยแต่มันก็เป็นวิธีที่ดีจริงๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ครับแต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมต้องบอกเอาไว้ก่อนว่าผมไม่เคยคิดที่ครอบครองหรือพึ่งพาอำนาจของตระกูลเย่เลย..ดังนั้นไม่ว่าผลตรวจจะออกมายังไงผมก็จะไม่อยู่กับตระกูลเย่..แต่แน่นอนว่าผมนั้นไม่เคยสัมผัสกับคำว่าครอบครัวหรือเครือญาติมาก่อนเลยเพราะผมเป็นเด็กกำพร้าและบอกได้เลยว่าในใจของเด็กกำพร้าทุกคนนั้นความอบอุ่นแบบครอบครัวและบ้านนั้นสำคัญกว่าอำนาจหรือสิ่งใดอื่นเสมอ..หลายปีมานี้ ผมเองก็ถือได้ว่าตัวเองสำเร็จในระดับหนึ่งและถึงแม้ว่าสิ่งที่ผมทำมันจะไม่สามารถไปเปรียบเทียบกับตระกูลเย่ได้ก็ตามแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมกับพี่น้องและพวกพ้องของผมพยายามกันมา..เพราะงั้นผมจึงไม่คิดที่จะยึดติดกับอำนาจหรืออิทธิพลของตระกูลเย่เลย”
เย่เจิ้งเซียงและเย่เจิ้งเฟิงก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะแต่ในกรณีนี้ทุกคนคงจะคิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือเปล่า? แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เย่เจียอู๋ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและตบไหล่ของเย่เชียนเบาๆแล้วพูดว่า “เอาล่ะ..นี่แหละคนแบบนี้คือทายาทที่แท้จริงของตระกูลเย่ของฉันเพราะลูกหลานของตระกูลเย่ควรจะมีความกล้าหาญและความพยายามแบบนี้..พวกเอ็งทุกคนเคยได้สัมผัสมันบ้างหรือเปล่า?..ในอนาคตพวกเอ็งควรจะเรียนรู้เพิ่มเติมจากเสี่ยวเชียนและอย่าคาดหวังให้ครอบครัวและตระกูลคอยช่วยเหลือไปตลอด..ถ้าเป็นแบบนั้นการเลี้ยงดูและการสั่งสอนมันจะไปมีประโยชน์อะไร..คนในตระกูลนั้นหวังเสมอว่าพวกเอ็งจะสามารถนำตระกูลไปสู่ความรุ่งโรจน์สูงสุดได้..ถ้าจะพึ่งพาพลังของตระกูลไปตลอดชีวิตสู้บินไปอย่างแมลงเม่าเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตเสียยังดีกว่า”
หลานๆทั้งสามของตระกูลเย่ที่โต๊ะเดียวกันก็รู้สึกอึดอัดอย่างมากเมื่อได้ยินสิ่งที่เย่เจียอู๋พูด ตลอดหลายปีที่ผ่านมาถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากนักแต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นเหมือนแมลงเม่าอย่างแน่นอนและพวกเขาก็ไม่เคยเสียหน้าและทำให้ศักดิ์ศรีของตระกูลเย่เสื่อมเสียเลย ดังนั้นนี่จะถือว่าเป็นความสำเร็จเล็กๆน้อยๆได้หรือไม่? แน่นอนว่าถึงแม้พวกเขาจะเป็นทายาทของตระกูลแต่พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งที่สูงส่งเสมอไปใช่ไหม?
“ผมมีอีกเงื่อนไขและคุณต้องยอมรับ” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดขึ้น
“เงื่อนไขอะไรล่ะ?” เย่เจิ้งเซียงถาม เขาไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักเกี่ยวกับคำพูดของเย่เชียนและเขาก็ไม่สนใจในสิ่งที่เย่เจียอู๋พูดเลย อย่างน้อยๆในความเห็นของเขาลูกชายทั้งสองของเขานั้นไม่เคยทำให้ตระกูลต้องเสื่อมเสีย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความสามารถพิเศษใดๆแต่พวกเขาก็คู่ควรกับตัวตนในฐานะทายาทของตระกูลเย่
“ผมหวังว่าคุณจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับเพราะผมไม่ต้องการให้แม่รู้เรื่องนี้” เย่เชียนพูด “ผมคิดว่าพวกคุณก็น่าจะรู้ว่าแม่ของผมนั้นไม่ค่อยพอใจตระกูลเย่นักและยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีความแค้นกับตระกูลเย่อีกเพราะงั้นถ้าหากเธอรู้เกี่ยวกับผลตรวจดีเอ็นเอล่ะก็เธอคงจะโกรธมาก..เมื่อถึงเวลานั้นผมเองก็ไม่รู้เลยว่าเธอจะทำอะไรบ้าง..ผมหวังว่าพวกคุณคงจะเข้าใจนะเพราะงั้นก็อย่าให้แม่รู้เรื่องนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เจิ้งเฟิงก็พยักหน้าเบาๆและค่อยๆเริ่มชื่นชมทัศนคติของเย่เชียน ซึ่งถึงแม้ว่าความจริงเย่เชียนจะไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลเย่ก็ตามแต่เขาก็เป็นชายหนุ่มที่ดี อย่างไรก็ตามในเวลานี้สิ่งต่างๆก็ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขาและเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งต่างๆตามความชอบส่วนตัวของเขาได้ เพราะเขาเองก็ต้องยืนในตำแหน่งหนึ่งในผู้นำของตระกูลเพื่อร่วมพิจารณาสิ่งต่างๆ ในความคิดของเย่เจิ้งเฟิงนั้นถ้าหากเย่เชียนไม่ใช่ทายาทที่แท้จริงของตระกูลเย่ล่ะก็แน่นอนว่าเย่เชียนจะต้องมีจุดประสงค์ในการมาที่นี่ในครั้งนี้ ดังนั้นตระกูลเย่จะปล่อยเขาไปง่ายๆได้อย่างไร
เย่เจียอู๋ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและเขาก็รู้สึกชอบใจเย่เชียนมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีในใจของเขานั้นอาจยังคงรู้สึกผิดต่อลูกชายที่หายตัวไปของเย่เจิ้งหรานก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงถ่ายโอนความรักนั้นไปยังเย่เชียนและนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาแสดงความโปรดปรานออกมาเช่นนี้