ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 76 งานราตรี (1)
หลังจากที่เหว่ยเฉินหลงประกาศราคาประมูล ทุกคนที่อยู่ในงานก็ตกตะลึงและต่างก็คิดเหมือนกันว่าเหว่ยเฉินหลงคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ จะมีคนสติดีที่ไหนซื้อสร้อยคอเส้นเดียวในราคาตั้งสิบห้าล้านหยวนบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็รู้ว่าเหว่ยเฉินหลงเป็นถึงนายน้อยของบริษัทเหว่ยตงเซียนกรุ๊ปซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ และเงินจำนวนนั้นก็อาจจะไม่ได้มากมายอะไรสำหรับคนอย่างเขาเลย
ทางด้านของเย่เชียน เขาไม่ได้งี่เง่าเหมือนกับเหว่ยเฉินหลง เพราะจะว่าไปแล้วสร้อยคอเส้นนี้มันก็เป็นดั่งทรัพย์สมบัติของเขาเอง หากเขาต้องการ เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเงินเพื่อให้ได้มันมา ที่เขาประมูลราคาแข่งกับเหว่ยเฉินหลงนั้นก็เพื่อจะรีดเงินออกจากลูกคุณหนูคนนี้ให้ได้มากที่สุดก็เท่านั้น
“สิบห้าล้านหยวนครั้งที่หนึ่ง! สิบห้าล้านหยวนครั้งที่สอง! สิบห้าล้านหยวนครั้งที่สาม! ปิดการประมูล ขอแสดงความยินดีด้วยครับ สร้อยเพชรดวงดาวแห่งความรักเส้นนี้เป็นของคุณแล้ว ผมขอเสียงปรบมือให้เขาอีกสักรอบครับ”
พิธีกรปรบมืออย่างหนักแน่นพร้อมกับแอบด่าในใจ ‘โถ ๆ ๆ… พ่อหนุ่ม ฉันไม่เคยเจอคนโง่และบ้าขนาดนี้มาก่อนเลย’
เย่เชียนยักไหล่เล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “พ่อหนุ่มคนนั้นใจป้ำมากจริง ๆ แฮะ”
ฉินหยูมองไปที่เย่เชียนด้วยท่าทางที่ดูอ่อนโยนและพูดว่า “นายยังจะพูดแบบนั้นได้อีกเหรอ ? ถ้าเหว่ยเฉินหลงไม่เพิ่มราคาเสนอของเขาในตอนนั้น นายจะทำยังไง ?”
เย่เชียนยิ้มให้ฉินหยูแล้วพูดว่า “ก็ผมเห็นว่าคุณชอบสร้อยเส้นนั้นจริง ๆ นี่นา”
“โธ่… เย่เชียน ไม่ว่ามันจะถูกหรือแพงแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่เครื่องประดับชิ้นนึงเท่านั้นเอง… แค่นายมีความจริงใจของนายที่อยากจะซื้อให้ฉันด้วยใจ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” ฉินหยูพูดอย่างจริงจัง
“อ๋อ… ที่แท้นายก็เสนอราคาประมูลเพื่อที่จะซื้อให้เจ๊หยูนี่เอง เอ๊ะ! หรือว่าทั้งสองคนกำลัง…?”
จ้าวหยาชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นเธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงพูดต่ออย่างมีความสุขว่า “เจ๊หยู… งั้นเจ๊ไปคุยกับพ่อของฉันให้ทีสิ ไปบอกเขาให้ฉันหน่อยว่าเจ๊หยูกับเย่เชียนน่ะรักกัน ฉันจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับเขาไง”
“อย่ามาพูดจาไร้สาระหน่า…” ฉินหยูพูดพลางจ้องเขม็งไปที่จ้าวหยา “เอาล่ะ… ในเมื่อตอนนี้เราอยู่ด้วยกันแล้ว เราก็อยู่ด้วยกันจนกว่างานเลี้ยงนี้จะจบไปแล้วแล้วกัน” ฉินหยูพูดอย่างจริงจัง
เย่เชียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้คิดว่างานเลี้ยงในคืนนี้จะจบลงอย่างราบรื่น เขาหันไปทางฉินหยูแล้วพูดกับเธอว่า “คุณไปรอผมในงานเลี้ยงก่อน… เดี๋ยวสักพักผมจะตามไป”
“นายรีบตามมาล่ะ” ฉินหยูพูดด้วยความกังวล
เย่เชียนพยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไป
…..
หลังจากที่เย่เชียนแยกตัวออกมาจากสาว ๆ เขาก็เดินเตร็ดเตร่มาเรื่อย ๆ จนถึงมุมหนึ่งตรงทางเดินของโรงแรม เขาสังเกตเห็นร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งจึงเดินเข้าไปหาด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
“คุณยังไม่ไปอีกเหรอ ?” เย่เชียนถามเมื่อเดินไปประชิดตัวเขา อันที่จริงแล้วเย่เชียนเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นใครเช่นกัน แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“ราชาหมาป่าเย่เชียน… ฉันต้องขอยอมรับเลยว่า คุณน่ะสมควรได้รับชื่อเสียงเหล่านั้นของคุณจริง ๆ! ขนาดครั้งแรกที่เราพบกัน ฉันใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่แท้ ๆ แต่พอมาพบอีกทีคุณกลับสามารถจดจำฉันได้อย่างง่ายดาย รู้มั้ยว่ามีเพียงไม่กี่คนบนโลกใบนี้ที่สามารถทำแบบนั้นได้ การที่กลุ่มเขี้ยวหมาป่าเอาชนะกลุ่มเสือดำโลหิตจนกลายเป็นกลุ่มกองกำลังทหารรับจ้างอันดับหนึ่งของโลกนั้น ได้มาไม่ใช่เพราะโชคช่วยเลยสินะ…” ชายคนนั้นตอบ
เขาอายุราว ๆ สามสิบปี มีสีหน้าที่ดูเรียบเฉย แต่ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างจริงใจและชัดเจน
“แหม คุณก็พูดเกินไป… ขอบคุณครับที่ชม” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมหวังว่าคุณจะปฏิบัติตามข้อตกลงของเรานะครับ”
“ฉันโชคดีที่ราชาหมาป่าอย่างคุณเข้ามาแทรกแซงภารกิจในครั้งนี้ มิฉะนั้นฉันก็คงจะพลั้งมือฆ่าคนดีคนหนึ่งไปเสียแล้วและคงเป็นคนทำลายชื่อเสียงขององค์กรเซเว่นคิลทั้งหมด นับตั้งแต่องค์กรเซเว่นคิลถูกก่อตั้งมา เราไม่เคยฆ่าคนดีเลยสักคนเดียว แต่ครั้งนี้เราเกือบจะพลาดทำมันลงไป… ฉันจะไปแล้วล่ะ ฉันขอให้เราได้พบกันอีกสักครั้งในวันข้างหน้า เมื่อถึงเวลานั้นฉันอยากจะขอเคล็ดลับบางอย่างจากราชาหมาป่าสักหน่อย หวังว่าราชาหมาป่าจะใจกว้างนะเมื่อถึงเวลานั้น” ชายวัยกลางคนพูดอย่างสบาย ๆ เป็นกันเอง
เย่เชียนยิ้มบาง ๆ แล้วพูดว่า “ผมไม่อยากเป็นครูของใครหรอก แล้วผมก็คิดว่าหัวหน้าของพวกคุณเป็นดั่งพี่ชายของผมคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราจะไม่เคยพบกันก็ตามเถอะ ผมหวังว่าคุณจะสามารถส่งข้อความจากผมถึงหัวหน้าของคุณได้ว่าผมน่ะอยากจะเป็นเพื่อนกับเขา”
“แน่นอน…!” ชายวัยกลางคนพูดและกล่าวคำอำลา “งั้นฉันจะไม่รบกวนแล้ว… โชคดีนะราชาหมาป่า!”
“เช่นกันครับ… ลาก่อน!” เย่เชียนกล่าวคำอำลากลับ
เมื่อมองจากทางด้านหลังของชายวัยกลางคนขณะที่เขาเดินจากไป เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ถึงเย่เชียนจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับกฏเหล็กการสังหารทั้งเจ็ดมากนัก แต่ก็พอทราบมาเล็กน้อยว่าทุกครั้งที่องค์กรเซเว่นคิลได้รับภารกิจ พวกเขาจะตรวจสอบพฤติกรรมของเป้าหมายอย่างระมัดระวังก่อนเป็นอย่างแรก ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่เคยพลั้งฆ่าคนดีเลยแม้แต่คนเดียว นั่นคือสิ่งหนึ่งที่เย่เชียนชื่นชมเป็นอย่างมากและอยากผูกมิตรกับองค์กรเซเว่นคิล
ในฐานะทหารรับจ้าง พวกเขามักจะเกี่ยวข้องกับการทำงานในที่โล่ง พื้นที่เปิดกว้าง และอื่น ๆ อีกหลายรูปแบบ การได้รับการสนับสนุนจากองค์กรเซเว่นคิลนั้นจะทำให้สิ่งต่าง ๆ แตกต่างออกไป เพราะองค์กรเซเว่นคิลมีวิธีการปฏิบัติภารกิจที่แปลกประหลาดและคาดเดาได้ยาก พวกเขามักจะปฏิบัติภารกิจอย่างรอบคอบและคอยจับผิดผู้คนอยู่เสมอ
……
อย่างไรก็ตาม เย่เชียนไม่รู้ว่าแผนของพวกนั้นที่อยู่เบื้องหลังงานนี้คืออะไร แต่เขาก็ค่อนข้างสบายใจที่จะปล่อยให้แจ็คผู้ที่มีฉายาว่า ‘หมาป่าหิมะ’ ดูแลสิ่งต่าง ๆ โดยรอบ
ทว่าสิ่งที่เย่เชียนกังวลจริง ๆ ก็คือหลี่เหว่ยยี่ เพราะเขาหายไปนานมากแล้วและยังไม่กลับมาอีก ถึงเขาจะเป็นกังวลก็ตาม แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจในความแข็งแกร่งของหลี่เหว่ยยี่มาก ทักษะการต่อสู้และความเฉลียวฉลาดหลักแหลมของหลี่เหว่ยยี่ล้วนแล้วแต่ยอดเยี่ยมและเพอร์เฟ็กต์ ถึงแม้ว่าจะมีคนมาไล่ต้อนเขาให้จนมุมก็ตาม สุดท้ายแล้วหลี่เหว่ยยี่ก็ยังสามารถหลบหนีออกมาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ แม้แต่น้อย
หลังจากที่เย่เชียนเดินวนไปวนมาอยู่ตรงกลางโถงทางเดินอยู่เป็นเวลานาน เขาก็ไม่พบกับสมาชิกหน่วยเขี้ยวหมาป่าคนอื่น ๆ อีกจึงตัดสินใจเดินกลับไปสมทบกับพวกสาว ๆ ที่อยู่ในงานราตรี
งานราตรีถูกจัดขึ้นที่ชั้นสองของโรงแรม เหว่ยเฉินหลงคงจะวางแผนมาเป็นอย่างดีและจองสถานที่เอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะการจัดการต่าง ๆ และการออกแบบธีมก็หรูหราไม่มีที่ติ
เมื่อเย่เชียนเดินเข้ามาในงาน เขาก็เห็นว่าหญิงสาวทั้งสามนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งและดื่มไวน์แดงกันอย่างสบายใจ เย่เชียนยิ้มมุมปาก แล้วจึงเดินเข้าไปหาพวกเธอ
ฉินหยูในตอนนี้ค่อนข้างมีสีหน้าจริงจังเผยให้เห็นถึงความกังวลใจ แต่เมื่อเธอเห็นเย่เชียนมาถึงแล้ว เธอก็รู้สึกผ่อนคลายขณะเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
เย่เชียนเดินไปนั่งข้าง ๆ เธอ จากนั้นฉินหยูก็กระซิบถามเขาว่า “มีอะไรหรือเปล่า ?”
“ไม่มีอะไรหรอก” เย่เชียนตอบ เขายิ้มอย่างอ่อนโยนให้เธอ
เย่เชียนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากในค่ำคืนนี้ แต่สำหรับเหว่ยเฉินหลงนั้น เขากำลังพยายามข่มความรู้สึกโกรธเกรี้ยวเอาไว้ในใจ เป็นเพราะเย่เชียนแท้ ๆ เชียวที่เข้ามาเพิ่มราคาประมูลแข่งกับเขา จนทำให้เขาต้องใช้เงินสิบห้าล้านหยวนเพื่อซื้อสร้อยคอดวงดาวแห่งความรัก ถึงแม้ว่าเงินสิบห้าล้านหยวนจะไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับเขามากนัก แต่เขาก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าเขาไม่ควรใช้เงินไปอย่างไร้เหตุผลขนาดนี้
หลังจากที่เหว่ยเฉินหลงเซ็นสัญญาในใบสัญญาการประมูลและส่งมอบเช็คมูลค่าสิบห้าล้านหยวนแล้ว เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ตอนนี้เขาหวังเพียงว่าเขาจะได้มอบสร้อยคอเส้นนี้ให้กับฉินหยู และมันคงมีค่ามากพอที่จะทำให้ฉินหยูพอใจและเต็มใจที่จะไปนอนกับเขา นั่นจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้การเสียเงินสิบห้าล้านหยวนนั้นคุ้มค่าที่สุด