ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 760 ความประหม่าในใจ
ตอนที่ 760 ความประหม่าในใจ
เหตุผลที่เย่เชียนพูดแบบนี้นั้นง่ายมากเพราะทักษะการต่อสู้นั้นไม่จำเป็นต้องมีท่าทางและท่วงท่ามากมายเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการต่อสู้จริง เช่นเดียวกับทักษะศิลปะการต่อสู้ที่ใช้ในการแสดงละครหากจะใช้ในการต่อสู้จริงมันก็จะไม่เหมาะสมอย่างมาก แน่นอนว่าทักษะการต่อสู้ที่ถูกใช้โดยเย่เชียนนั้นได้รับการทดสอบมานับไม่ถ้วนในการต่อสู้จริงและทักษะของเขานั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับการต่อสู้กับศัตรูอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นในตอนนี้ที่เขาถูกกำหนดให้มาพบกับเย่หานหลินนั้นเย่เชียนก็รู้สึกว่าเขาควรจะช่วยเย่หานหลินเพราะถึงแม้ว่าทักษะของเย่หานหลินจะดีแต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับคนอื่นในการต่อสู้จริง
บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าชะตากรรมเพราะเย่หานหลินนั้นมีสถานะที่ต่ำต้อยอย่างมากในตระกูลเย่และตั้งแต่ที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไปเขาก็อยู่กับตัวเองและปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเป็นคนแปลกหน้าแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเย่หานหลินกลับรู้สึกดีมากเมื่อเห็นเย่เชียน ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธคำเชิญของเย่เชียนและนอกจากนี้เขามักจะต้องการหาใครสักคนเพื่อทดสอบทักษะของเขาในการต่อสู้จริงแต่เขาขี้เกียจเกินกว่าจะติดต่อกับสมาชิกของตระกูลเย่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีโอกาสแต่ทว่าตอนนี้เขาก็มีโอกาสนั้นแล้วเขาจึงไม่ปฏิเสธโดยธรรมชาติ
เย่หานหลินก็กำหมัดแล้วพูดว่า “ถ้างั้นผมก็จะไม่เกรงใจล่ะนะ”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มาเลย..ผมเองก็อยากเห็นทักษะการต่อสู้ของตระกูลเย่และอยากรู้จริงๆว่าตระกูลเย่มีสถานะที่สูงในวงการศิลปะการต่อสู้ได้ยังไง”
“ถ้าคุณต้องการเห็นศิลปะการต่อสู้ประจำตระกูลเย่ล่ะก็ผมอาจทำให้คุณผิดหวังเพราะตระกูลสาขาอย่างเราไม่มีทางได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงที่แท้จริงของตระกูลเย่เลย..น่าเสียดายที่ศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงเหล่านั้นจะถูกสอนให้กับเหล่าทายาทสายตรงและตระกูลหลักของตระกูลเย่..มันช่างไร้ประโยชน์จริงๆ” เย่หานหลินพูดอย่างโกรธเคือง
“พรหมลิขิตและอนาคตของมนุษย์อยู่ในกำมือของตนเองเสมอ..ผมไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อหรือเปล่าว่ามนุษย์น่ะสามารถพิชิตท้องฟ้าได้แต่ผมเชื่ออย่างนั้น..ตราบใดที่คุณเชื่อว่ามนุษย์สามารถพิชิตท้องฟ้าได้มันไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในโลกใบนี้” เย่เชียนพูด
“ผมเองก็เชื่ออย่างนั้นและผมก็ไม่เคยยอมแพ้เพราะการแข่งขันนี้เป็นโอกาสเดียวของผมดังนั้นฉันจะไม่พลาดไปแน่” เย่หานหลินพูดอย่างหนักแน่น
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน..เอาเถอะดูเหมือนเราจะพูดเรื่องไร้สาระกันมากไปหน่อยเพราะงั้นถ้ามัวแต่คุยผมเกรงว่ามันจะส่งผลต่อการแข่งขันของคุณ”
“ได้..ถ้างั้นผมก็ยินดี..คุณระวังเอาไว้ด้วยล่ะ” ทันทีที่เสียงของเย่หานหลินจบลงหมัดของเขาก็พุ่งเข้าไปหาเย่เชียนโดยตรงและหมัดนั้นก็รุนแรงมากจนมีเสียงกระทบกับลมเบาๆ
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและหลีกเลี่ยงการโจมตีไปที่ด้านข้างจากนั้นก็ตอกข้อศอกเข้าไปที่คอของเย่หานหลิน อย่างไรก็ตามการโจมตีของเย่เชียนนั้นก็รุนแรงอย่างมากเพราะเย่หานหลินกำลังจะเข้าร่วมการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้ในเร็วๆนี้ดังนั้นถ้าเย่เชียนทำร้ายเขามันก็จะทำให้เย่หานหลินไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้ได้ใช่มั้ย? หากเป็นเช่นนั้นการช่วยเหลือเขาจะกลับกลายเป็นการทำร้ายเขาแทน
เช่นเดียวกับที่ไป๋ฮวยพูดว่านักสู้นั้นล้วนเข้าใจจิตใจของกันและกันได้ตราบใดที่เห็นพวกเขาเคลื่อนไหว ถึงแม้ว่าเย่เชียนเพิ่งจะเคยพบเย่หานหลินเป็นครั้งแรกแต่เขารู้สึกว่าพวกเขาสามารถเป็นเพื่อนสนิทกันได้เหมือนเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานานหลายปีและเย่เชียนสามารถเข้าใจความคิดของเย่หานหลินได้ ดังนั้นเขาจึงต้องการช่วยเย่หานหลินและยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนเองก็เป็นบุคคลที่ไต่เต้าขึ้นมาจากก้นบึ้งของสังคม ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเบื่อหน่ายกับกฎของตระกูลโบราณเหล่านี้ที่กำหนดการเกิดของบุคคลกำหนดชะตากรรมของพวกเขา ด้วยเหตุนี้เย่เชียนจึงยินดีที่จะช่วยเย่หานหลินให้ฝ่าและทะลวงกฎเหล่านี้ให้ได้
เมื่อเห็นว่าข้อศอกของเย่เชียนกำลังจะกระทบกับคอของเขาเย่หานหลินก็รีบหันหลังกลับและหลีกเลี่ยงการโจมตีของเย่เชียน ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเย่หานหลินจึงไม่สามารถทำการโจมตีเย่เชียนได้ง่ายๆดังนั้นทักษะของเย่หานหลินจึงไม่เหมาะกับการต่อสู้จริงๆ หากเปลี่ยนเป็นหมาป่าผีไป๋ฮวยแทนล่ะก็เย่เชียนคงจะไม่สามารถประมาทได้เลย
เย่เชียนนั้นไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่เพราะเขาต้องสังเกตทักษะของเย่หานหลินและระดับของศิลปะการต่อสู้โบราณของเย่หานหลิน ในตอนนี้เย่เชียนได้เข้าไปพัวพันกับโลกของศิลปะการต่อสู้โบราณเหล่านี้แล้วดังนั้นเย่เชียนก็ควรจะรู้สิ่งเหล่านี้เช่นนั้นและเขาก็ต้องรู้ให้ชัดเจนว่ามันมีอยู่กี่คนที่สามารถเข้าถึงขอบเขตของศิลปะการต่อสู้โบราณขั้นสูงได้
เย่หานหลินก็ค่อยๆรู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยและเขาก็อดไม่ได้ที่จะประหม่าและกังวลมากขึ้น จากนั้นเขาคิดอย่างลับๆว่าถ้าหากเขาไม่สามารถเอาชนะเย่เชียนได้แล้วเขาจะนึกถึงความฝันของเขาได้อย่างไร? เขานั้นฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงมาหลายปีแล้วและจุดประสงค์ก็เพื่อโอกาสนี้และยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่เย่หานหลินก็ยิ่งกระวนกระวายมากเท่านั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแล้วพูดว่า “สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดในการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้คือความใจร้อนและใครก็ตามที่เสียสมาธิไปก่อนก็อาจจะพ่ายแพ้ได้..ผมคิดว่าความจริงง่ายๆข้อนี้คุณก็ควรจะเข้าใจดีใช่มั้ย?” ทันทีที่เสียงจบลงเย่เชียนก็ใช้หมัดชกเข้าไปที่ร่างกายของเย่หานหลินทันที
การโจมตีนี้เย่เชียนได้ผ่อนแรงเอาไว้เพื่อที่เย่หานหลินจะได้ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ในขณะนี้มันกลับทำให้เย่หานหลินรู้สึกจุกที่อกและหายใจไม่ออกเพราะหมัดของเย่เชียนไปกระแทกเข้ากับหน้าอกของเย่หานหลินจนทำให้เขาไม่สามารถหายใจได้ชั่วคราว แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาหมดทางสู้เพราะมันเป็นเพียงอาการชั่วคราวเท่านั้น
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและเดินไปที่ด้านข้างของเย่หานหลินจากนั้นก็ยื่นมือออกมาแล้วพูดว่า “เป็นยังไงบ้าง?..ไม่ได้บาดเจ็บอะไรใช่มั้ย”
เย่หานหลินก็เอื้อมมือไปจับที่ข้อมือของเย่เชียนและปล่อยให้เย่เชียนดึงตัวเองขึ้นอย่างแรงและพูดว่า “อืมผมแพ้จริงๆ..ผมคิดมาเสมอว่าทักษะของผมน่ะดีมากแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าผมจะประเมินตัวเองสูงเกินไป..แต่ผมก็ใช้เวลาในการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงมาหลายปีแล้วและใช้เวลามากกว่าสิบชั่วโมงต่อวันในการฝึกศิลปะการต่อสู้เพื่อการแข่งขันครั้งนี้โดยเฉพาะ..แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าผลลัพธ์ของมันจะเปลี่ยนไปแล้ว..ผมคงไม่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของผมได้”
เย่เชียนก็เอื้อมมือออกไปและตบไหล่ของเย่หานหลินเบาๆแล้วพูดว่า “เมื่อผมเห็นคุณครั้งแรกคุณรู้มั้ยว่าผมเห็นอะไรในดวงตาของคุณ”
“อะไร..คุณเห็นอะไร” เย่หานหลินถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่งและถามด้วยความประหลาดใจ
“ความพากเพียร..ผมเห็นความเพียรในดวงตาของคุณและจิตวิญญาณที่ไม่เคยยอมแพ้และการต่อต้านอย่างเงียบๆของคนที่อาศัยอยู่ที่ด้านล่างของสังคมแต่ต้องการเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเอง” เย่เชียนพูด
เย่หานหลินก็มองไปที่เย่เชียนด้วยความตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นเย่หานหลินก็พูดว่า “เย่เชียนคุณรู้มั้ยว่าผมเห็นอะไรเมื่อผมพบคุณครั้งแรก?”
เย่เชียนยักไหล่เล็กน้อยแล้วพูดว่า “คุณเห็นอะไร”
“มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมากและผมไม่สามารถบอกรายละเอียดได้” เย่หานหลินพูดต่อ “พูดง่ายๆคือคุณมีนิสัยคล้ายกับผมเมื่อหลายปีที่แล้วมากและหน้าตาคล้ายกับคนรู้จักในสมัยก่อน..ฮ่าฮ่า..เขาก็มีชื่อว่าเย่เชียนเหมือนกันแต่ผมคิดว่าเขาคงตายไปแล้ว”
เย่เชียนก็เคยได้ยินเรื่องนี้จากถังซูหยานเช่นกันและคิดว่าพวกเขากำลังพูดถึงคนคนเดียวกันและนั่นมันควรจะเป็นเย่เจิ้งหรานและลูกของถังซูหยาน? แต่เรื่องบังเอิญกว่าก็คือคนคนนั้นชื่อเหมือนกับเขา อย่างไรก็ตามเย่เชียนยังคงนึกถึงประเด็นอื่นเพราะถ้าหากเย่เจิ้งหรานกับถังซูหยานมีลูกชื่อเย่เชียนและลูกของเย่เจิ้งหรานกับอันซือก็ชื่อเย่เชียนดังนั้นเย่เจิ้งหรานจะตั้งชื่อลูกทั้งสองคนเหมือนกันได้อย่างไร?
หลังจากมึนงงไปครู่หนึ่งเย่เชียนก็หัวเราะแล้วพูดว่า “เรากลับมาเข้าเรื่องกันเถอะ..อันที่จริงทักษะของคุณไม่ได้ต่ำกว่าทักษะของผม..แต่คุณรู้มั้ยว่าทำไมคุณถึงแพ้ผม?”
เย่หานหลินก็พูดอย่างเศร้าใจเล็กน้อยว่า “คุณไม่จำเป็นต้องปลอบผมหรอก..ทักษะของผมไม่ได้ดีเท่าคนอื่นๆเขาเพราะผมประเมินตัวเองสูงเกินไปตั้งแต่แรก”
“ผมไม่ได้ปลอบคุณแต่ผมกำลังพูดความจริง..ถ้าผมเดาไม่ผิดคุณน่าจะอยู่ในขอบเขตศิลปะการต่อสู้โบราณระดับกลางแล้ว..และอีกไม่นานคุณก็จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตศิลปะการต่อสู้โบราณขั้นสูง..กุญแจสำคัญมันอยู่ที่โอกาสและความจริงแล้วเหตุผลที่คุณแพ้ผมก็ไม่ได้เป็นเพราะทักษะของของคุณไม่ดีเท่าผมแต่เพราะคุณขาดประสบการณ์ในการต่อสู้จริงและทักษะของคุณไม่เหมาะสำหรับการต่อสู้จริง..พูดง่ายๆคือท่วงท่าการโจมตีและวิธีการของคุณวุ่นวายเกินไปและไม่เหมาะกับการใช้งานในการต่อสู้จริง..การต่อสู้จริงนั้นเน้นไปที่ความเรียบง่ายที่หนักหน่วงและหนักแน่น..ซึ่งผลลัพธ์มันไม่ใช่ความงดงามของการเคลื่อนไหว” เย่เชียนพูด
เย่หานหลินก็ตกตะลึงเล็กน้อยและพูดว่า “ผมเข้าใจเพียงแค่ว่าผมฝึกฝนด้วยตัวเองมาหลายปีแล้วและผมก็ไม่เคยมีโอกาสได้ทดสอบกับคนอื่นเลย..ดังนั้นถึงแม้ว่าคุณจะอยู่ที่นี่ในตอนนี้มันก็ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะเปลี่ยนอะไรได้หรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็หัวเราะแล้วพูดว่า “อันที่จริงมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรขนาดนั้นหรอก..ถึงแม้ว่าเวลาจะเร่งรีบไปหน่อยแต่ผมก็คิดว่าคุณควรจะเห็นการเคลื่อนไหวของผมได้อย่างชัดเจนใช่มั้ย?..จริงๆแล้วการโจมตีของผมเรียบง่ายและตรงไปตรงมา..เพราะงั้นมันก็ง่ายๆแค่คุณต้องลืมการเคลื่อนไหวที่คุณเคยฝึกและข้อจำกัดของการเคลื่อนไหวออกไปเพื่อที่คุณจะได้ใช้พลังโจมตีที่ง่ายและตรงไปตรงมาแต่ทรงพลังที่สุด”
หลังจากฟังคำพูดของเย่เชียนแล้วเย่หานหลินก็อดไม่ได้ที่จะไตร่ตรองและคิดอย่างลับๆ หลังจากผ่านไปสักพักเย่หานหลินก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองที่เย่เชียนจากนั้นก็ถามว่า “ทำไมคุณถึงช่วยผมล่ะ?”
เย่เชียนก็ยักไหล่แล้วตอบว่า “ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม..บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตา..ก็คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าผมคล้ายกับคนที่คุณรู้จักเมื่อตอนที่คุณยังเป็นเด็กน่ะ”
เย่หานหลินก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเป็นคนที่น่าสนใจมากเพราะงั้นไม่ว่าผลการแข่งขันในวันนี้จะเป็นยังไงผมก็ต้องขอบคุณจริงๆ”
“มันเป็นเรื่องของมิตรภาพเพราะงั้นก็อย่าพูดอะไรแบบนั้นเลย” เย่เชียนฉีกยิ้มและมองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือของเขาแล้วพูดว่า “ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ..เราไปที่สนามการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ด้วยกันเถอะ”
เย่หานหลินก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆราวกับว่าเขากำลังให้กำลังใจตัวเอง แต่อันที่จริงไม่ว่าเขาจะพูดหนักแน่นเพียงใดแต่ในขณะที่เผชิญกับชะตากรรมในอนาคตของเขาแล้วในใจของเขาก็ยังคงมีประหม่าอยู่เล็กน้อยและเขาไม่สามารถพ่ายแพ้ได้เพราะถ้าเขาแพ้นั่นก็แสดงว่าเขาจะต้องสูญเสียทุกอย่างและความพยายามทั้งหมดของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็จะไร้ประโยชน์ทันที
.
.