ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 762 การประลองของตระกูลเย่ ตอนที่ 2
ตอนที่ 762 การประลองของตระกูลเย่ ตอนที่ 2
เย่เชียนนั้นไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่เพราะทุกๆครั้งที่เขาอยู่กับอันซือเขากลับรู้สึกกดดันอย่างมากในใจและอึดอัดจนหายใจไม่ออก ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่ความรู้สึกระหว่างครอบครัวเลยและในตอนนี้ก็กลัวที่จะพบหน้าอันซือเล็กน้อย อาจเป็นเพราะความสงสัยในใจของเขานั้นยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างกระจ่างแจ้งดังนั้นเขาจึงรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
เมื่อเย่เชียนเดินไปถึงที่ด้านข้างเย่เจียอู๋แล้วเย่เชียนก็พยักหน้าและทักทายว่า “ครับท่านปู่!”
เย่เจียอู๋ก็ยิ้มและรีบดึงเย่เชียนให้นั่งลงข้างๆเขาแล้วถามว่า “ฉันไม่รู้ว่าทำไมแต่เมื่อฉันเห็นเอ็งครั้งแรกราวกับว่าฉันได้เห็นเจิ้งหรานจริงๆ..เอาล่ะหลังจากการแข่งขันการประลองจบลงเอ็งต้องอยู่คุยกับฉันแล้วเล่าให้ฉันฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเอ็งตลอดหลายปีที่ผ่านมา..ว่าแต่เอ็งไปรู้จักเด็กคนนั้นได้ยังไง?”
เย่เชียนก็ตกตะลึงอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “ใครหรอครับ?..ท่านปู่พูดถึงเย่หานหลินหรือเปล่า?”
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่!..ฉันเห็นว่าเอ็งทั้งสองดูเหมือนจะสนิทสนมกัน”
เย่เชียนก็ยิ้มจางๆแล้วพูดว่า “เราเพิ่งจะรู้จักกัน..พูดตามตรงว่าดูเหมือนผมจะมองเห็นอดีตของผมจากตัวเขา..ผมรู้สึกดีมาก”
สีหน้าของเย่เจียอู๋ก็ดูจริงจังเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เสี่ยวเชียนเอ็งต้องจำเอาไว้นะว่าเอ็งเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเย่เพราะงั้นเอ็งจะไปยุ่งเกี่ยวหรือสนิทสนมกับตระกูลสาขาแบบนั้นไม่ได้..คนพวกนั้นควรจะเป็นแค่คนรับใช้ของเอ็งหรือลูกน้องภายใต้บัญชาของเอ็ง..อย่าสูญเสียตัวตนและสถานะของเอ็งโดยการไปเป็นเพื่อนกับเขารู้มั้ย?”
“ท่านปู่ผมมีคำถามแต่ผมไม่รู้ว่าผมควรจะพูดดีมั้ย” เย่เชียนระงับรอยยิ้มของเขาและพูดอย่างจริงจัง
“ไม่มีอะไรที่ระหว่างปู่กับหลานอย่างเราพูดคุยกันไม่ได้..เอ็งพูดในสิ่งที่เอ็งอยากพูดเถอะ” เย่เจียอู๋พูด
“ปล่อยผมไปเถอะ..ไม่ว่าผมจะเป็นทายาทของตระกูลเย่จริงๆหรือไม่ก็ตามแต่ผมคิดว่านั่นก็ไม่ควรกีดกันไม่ให้ผมมีเพื่อนใช่มั้ย?..สมาชิกทุกคนในตระกูลเย่ควรจะเท่าเทียมกันและตราบใดที่เขาคนนั้นเป็นคนที่น่านับถือเราก็ควรจะเคารพเขาถึงแม้ว่าเขาจะเป็นแค่ขอทานหรือนักโทษก็ตามถึงยังไงเราก็ไม่มีเหตุผลที่จะเพิกเฉยต่อการดำรงอยู่ของเขาใช่มั้ย?” เย่เชียนพูด
สีหน้าของเย่เจียอู๋ก็เปลี่ยนไปทันทีและน้ำเสียงของเขาก็ดูดุดันเล็กน้อย “นี่เป็นกฎของตระกูลเย่เพราะงั้นตระกูลสาขาจะต้องก้มหัวให้ตระกูลหลักเสมอ..พวกเขาควรรับใช้ตระกูลหลักตลอดชีวิตของพวกเขาและไม่มีสิทธิมนุษยชนใดๆทั้งสิ้นและต่อให้ตายพวกเขาก็ต้องทำในสิ่งที่ตระกูลหลักสั่งให้ทำเท่านั้นโดยปราศจากการปฏิเสธ”
“ผมคิดว่ามันไม่ควรจะมีกฎแบบนี้เลยเพราะถ้าหากตระกูลเย่ต้องการที่จะอยู่รอดและพัฒนาไปอย่างรุ่งโรจน์ล่ะก็พวกคุณจะต้องพึ่งพามากกว่าตระกูลหลักและมันก็ขึ้นอยู่กับความสามัคคีของสมาชิกทุกคนในตระกูล..ด้วยวิธีนี้ตระกูลเย่จะพัฒนาไปได้ไกลยิ่งขึ้น” เย่เชียนพูดต่อ “ผมได้ยินมาว่าบรรพบุรุษของตระกูลเย่สืบทอดกันมานับพันปีและคุณคือคนแรกที่เป็นผู้นำตระกูลที่ทำให้ตระกูลมาสู่ความทันสมัยในยุคปัจจุบันและพัฒนาพลังอำนาจของตระกูลในทุกๆสาขาอาชีพทั้งวงการทหารและการเมืองและแวดวงธุรกิจ..ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะมีวิศัยทัศน์ที่แคบมาก”
“กล้าดีหนิ!” คิ้วของเย่เจียอู๋ก็ขมวดเข้าหากันแน่นและเขาก็ตะโกนว่า “เสี่ยวเชียนนี่เอ็งรู้ไหมว่าเอ็งกำลังพูดอะไรอยู่..ครั้งนี้ฉันจะถือว่าเอ็งพูดเพราะความโง่เขลาและไม่รู้อะไร..แต่ถ้ามีอีกก็อย่ามาโทษฉันที่โหดร้ายก็แล้วกัน”
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และแอบถอนหายใจลับๆโดยไม่พูดอะไรใดๆอีก
จู่ๆก็เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่งและเมื่อเย่เจียอู๋เห็นว่าเย่เชียนไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปก็ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงและคำพูดของเขาอาจจะรุนแรงเกินไป ดังนั้นเขาจึงผ่อนเสียงลงแล้วพูดว่า “เสี่ยวเชียน..อย่าโกรธฉันเลยที่คำพูดเมื่อครู่นี้ค่อนข้างรุนแรงไปหน่อย..ทีหลังเอ็งต้องทำตัวดีๆล่ะอย่าทำให้ฉันผิดหวัง”
เย่เชียนก็พยักหน้าเล็กน้อยแต่ยังไม่ได้พูดอะไรเพราะเขายังไม่ชัดเจนว่าเขาเป็นสมาชิกของตระกูลเย่หรือไม่เขาจึงไม่สะดวกที่จะเข้าไปแทรกแซงสิ่งต่างๆของตระกูลเย่มากนัก หากพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ใช่สมาชิกในตระกูลเย่ในอนาคตและเขาพยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆของตระกูลเย่มันจะไม่ดูน่าสงสัยหรือว่าเขากำลังต้องการที่จะเปลี่ยนกฎปัจจุบันของตระกูลเย่ ดังนั้นอย่างน้อยๆเย่เชียนต้องรอจนกว่าเขาจะพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นสมาชิกของตระกูลเย่หรือไม่นั่นเอง
เมื่อเห็นเย่เชียนเช่นนี้เย่เจียอู๋ก็ตระหนักได้ว่าคำพูดของเขาจริงจังเกินไปและเขาก็ทำให้เย่เชียนหวาดกลัว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขามีร่องรอยของความเสียใจในการแสดงออกของเขา อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นคนที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในตระกูลเย่เสมอดังนั้นการขอโทษเย่เชียนก็จะทำให้ตัวตนของเขาตกต่ำลง ด้วยเหตุนี้การขอโทษเย่เชียนอีกครั้งจึงค่อนข้างเป็นไปไม่ได้
การแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้าและสมาชิกบางคนจากตระกูลเย่ต่างก็ออกมาเตรียมตัวแล้ว ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นดังนั้นนี่ถือว่าค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ไม่มีนักสู้ที่เก่งกาจเป็นพิเศษเลยและผู้ที่มีทักษะสูงสุดนั้นเพิ่งจะไปเข้าถึงขอตเขตศิลปะการต่อสู้โบราณระดับกลางเอง แต่เย่เชียนนั้นเพิ่งจะก้าวเข้าสู่โลกของนักสู้โบราณเหล่านี้และแน่นอนว่าเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะค้นหาว่าขอตเขตสูงสุดของนักศิลปะการต่อสู้โบราณเหล่านี้คืออะไรและทักษะที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไรกันแน่
เห็นได้ชัดว่าเย่เจียอู๋นั้นไม่ได้สนใจศิลปะการต่อสู้ต่อไปนี้และดูเหมือนว่าศิลปะการต่อสู้เหล่านี้จะไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขาเลย ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมเขาสนใจแต่สมาชิกของตระกูลหลัก อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นความกระตือรือร้นของเย่เชียนแล้วเขาก็แอบมีความสุข เฉพาะคนที่ช่างสังเกตเท่านั้นที่สามารถก้าวต่อไปได้และแน่นอนเย่เชียนมีสิ่งเหล่านี้และเขาก็รู้วิธีสังเกตคู่ต่อสู้ของเขาเพื่อที่เขาจะได้เข้าใจเกี่ยวกับคู่ต่อสู้ของเขา ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เขาเข้าใจคู่ต่อสู้เขาก็จะสามารถเอาชนะได้
ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปคือเย่หานหลินและฝ่ายตรงข้ามจึงเป็นทายาทลูกหลานของตระกูลหลักอย่างเย่หานรุ่ยลูกชายคนโตของเย่เจิ้งเซียงที่เป็นผู้นำของตระกูลเย่ ซึ่งนี่เป็นการจัดเตรียมโดยเจตนาของเย่เจิ้งเซียงโดยมีจุดประสงค์เพื่อทำให้เย่หานรุ่ยดึงดูดความสนใจของเย่เจียอู๋ แน่นอนว่าสมาชิกตระกูลสาขาของตระกูลเย่นั้นล้วนฝึกฝนทักษะระดับต่ำ ด้วยเหตุนี้ในมุมมองของเย่เจิ้งเซียงเขาจึงหวังให้เย่หานรุ่ยเอาชนะเย่หานหลิน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะการเอาชนะในรอบแรกของการแข่งขันนั้นมีความสำคัญมากและถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นเพียงทายาทตระกูลสาขาก็ตามแต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เย่เจียอู๋เห็นว่าทายาทและลูกหลานของตระกูลเย่นั้นยอดเยี่ยมเพียงใดและเย่หานรุ่ยจะสามารถสร้างความประทับใจต่อเย่เจียอู๋ได้
สิ่งนี้ได้ไปดึงดูดใจสายตาของเย่เจียอู๋ในทันทีเพราะท้ายที่สุดนี่ก็เป็นการแข่งขันการประลองคู่แรกระหว่างลูกหลานของตระกูลเย่และยังเป็นช่วงเวลาที่เหล่าลูกหลานจะได้แสดงทักษะของพวกเขา ดังนั้นแน่นอนว่าเขาควรจะให้ความสนใจอย่างมากกับการแข่งขันนี้ แต่ทว่าการแสดงออกของเย่เชียนนั้นค่อนข้างดูไม่แยแสและถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้จักทักษะของเย่หานรุ่ยก็ตามแต่เขาก็คิดว่าเย่หานหลินจะต้องชนะอย่างแน่นอนเพราะจิตวิญญาณการต่อสู้ของเย่หานหลินนั้นยิ่งใหญ่กว่าเย่หานรุ่ยอย่างมากและความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้น
การแข่งขันศิลปะการต่อสู้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นและเย่หานหลินก็กำหมัดและโค้งคำนับอย่างสุภาพ อย่างไรก็ตามเย่หานรุ่นไม่ได้ ให้ความสนใจอะไรด้วยท่าทางที่เย่อหยิ่งอย่างมาก ในมุมมองของเขาตัวตนและสถานะของเขาถูกแยกออกจากเย่หานหลินโดยสิ้นเชิงและเขาก็เป็นหลานชายคนโตของตระกูลเย่และมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะได้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ในอนาคต หลายปีที่ผ่านมาเย่เจิ้งเซียงตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะฝึกฝนเขาดังนั้นเขาจึงอยู่ที่บ้านของตระกูลเย่ต่อเพื่อช่วยจัดการเรื่องต่างๆมากมาย
แขกคนอื่นๆบนอัฒจันทร์ก็หันมามองทีละคนและสำหรับพวกเขาการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้ระหว่างทายาทของตระกูลเย่นั้นอาจไม่ดึงดูดพวกเขาแต่การต่อสู้ของเย่หานรุ่ยที่เป็นว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลเย่นั้นแน่นอนว่าพวกเขาต้องให้ความสนใจและพวกเขาก็ยังต้องการเห็นหลานชายคนโตของตระกูลเย่ว่ามีแนวโน้มที่จะสืบทอดตำแหน่งของตระกูลเย่ในอนาคตได้มากแค่ไหน
เย่หานหลินนั้นเป็นคนเริ่มการเคลื่อนไหวก่อนและการเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วและรุนแรงอย่างมากด้วยร่างกายของเขาที่พุ่งออกไปข้างหน้าและกระแทกหน้าอกของเย่หานรุ่ยด้วยกำปั้นและทันทีที่ทำการเคลื่อนไหวนี้เขาก็ดึงดูดความสนใจของเย่เจียอู๋ทันทีจนเขาอดไม่ได้ที่จะผงะไปครู่หนึ่งและอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆว่า ‘ทักษะของเด็กคนนี้มาถึงขั้นนี้แล้วหรือ?’ หลังจากคิดเช่นนั้นเย่เจียอู๋ก็มองดูการต่อสู้อย่างตั้งใจมากขึ้นโดยไม่กะพริบตา
เย่หานรุ่ยนั้นเป็นคนหยิ่งผยองแต่เขาก็ไม่ใช่เด็กที่โอ้อวดที่รู้แค่เพียงกินและดื่มและสนุกสนานเท่านั้นด้วยเหตุนี้ทักษะของเขาจึงไม่ได้อ่อนแอโดยธรรมชาติและเขายังอยู่ในขอบเขตศิลปะการต่อสู้โบราณระดับกลางอีกด้วยและแน่นอนว่าเขาจะไม่แพ้การโจมตีง่ายๆของเย่หานหลินอย่างแน่นอน ความเป็นจริงเขาจงใจรอให้เย่หานหลินเคลื่อนไหวก่อนและจุดประสงค์ก็คือเพื่อสังเกตท่าทางและความคิดของเย่หานหลิน ซึ่งถ้าหากไม่ใช่ต่อหน้าคนจำนวนมากแล้วเขาเองก็คงจะชิงเคลื่อนไหวก่อนไปแล้วเพราะบางครั้งเมื่อคนสองคนที่มีทักษะใกล้เคียงกันมาแข่งขันกันนั้นผู้ที่เคลื่อนไหวก่อนจะมีโอกาสชนะมากกว่าและเขาก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นเย่หานหลินชกมาที่เขาแล้วเย่หานรุ่ยก็ยิ้มอย่างเย็นชาและเมื่อกำปั้นของเย่หานหลินกำลังจะมาถึงเขานั้นเย่หานรุ่ยก็หลบและใช้ฝ่ามือขวาเป็นแนวทแยงมุมจากมุมซ้ายบนสวนกลับไปในทันที
เขาเพียงต้องการแสดงให้เห็นว่าเมื่อเขากำลังตกอยู่ในอันตรายเขานั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด อย่างไรก็ตามในสายตาของผู้ที่ฉลาดหลักแหลมเหล่านั้นจะสามารถเข้าใจได้ในทันทีและจุดประสงค์ของการฝึกของเขานั้นก็ชัดเจนมาก เมื่อเห็นเช่นนี้เย่เจียอู๋ก็ถอนหายใจอย่างลับๆ
เย่เชียนนั้นมีความสุขมากเพราะตราบใดที่เย่หานรุ่ยยังคงเป็นเช่นนี้เขาจะต้องแพ้อย่างแน่นอนและเย่เชียนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเย่หานหลินจะชนะ อย่างไรก็ตามนี่เป็นคนในวัยเดียวกันกับเย่เชียนเพียงคนแรกที่เย่เชียนพบปะในตระกูลเย่และใกล้ชิดกับเขามาก นอกจากนี้ความกดดันในตัวเย่หานหลินก็มีมากเกินไปดังนั้นเขาควรจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าทายาทตระกูลสาขาของตระกูลเย่นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลหลักเลย
การเคลื่อนไหวของเย่หานหลินนั้นก็ยังคงค่อนข้างน่าพอใจเพราะการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งมีประสิทธิภาพมากแต่ทว่าการเคลื่อนไหวของเย่หานหลินนั้นดูไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยซึ่งทำให้เย่เชียนที่กำลังเฝ้ามองถึงกับต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะนี่มันเป็นการแข่งขันศิลปะการต่อสู้จริงๆและไม่จำเป็นต้องมีท่าทีที่งดงามเหล่านี้เลย มันควรจะเป็นการเคลื่อนไหวที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดและเพียงพอที่จะเอาชนะศัตรูได้ในการโจมตีครั้งเดียวต่างหาก
.
.
.