ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 766 การประลองของตระกูลเย่ ตอนที่ 6
ตอนที่ 766 การประลองของตระกูลเย่ ตอนที่ 6
ทักษะของเย่หานห่าวนั้นไม่ได้อ่อนแอเพราะอายุเพียงเท่านี้เขาสามารถฝึกฝนจนทะลวงไปถึงขอบเขตของศิลปะการต่อสู้ตำรับโบราณระดับกลางและทักษะของเขานั้นได้สืบทอดมาจากตระกูลเย่ที่ส่งต่อกันมานับพันๆปี ดังนั้นทุกท่วงท่าจึงแข็งแกร่งและทรงพลังและการเคลื่อนไหวนั้นก็ยอดเยี่ยมอย่างมาก ท้ายที่สุดศิลปะการต่อสู้โบราณเหล่านี้ก็ได้รับการปรับปรุงโดยคนหลายรุ่นจนมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นมวยปาจี๋แต่ก็ยังมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างศิลปะการต่อสู้สิ่งที่นักสู้จากตำรับโบราณตัวจริงใช้ ซึ่งมวยปาจี๋ส่วนใหญ่ในทุกวันนี้นั้นเน้นให้ความสนใจกับกลอุบายมากกว่าความการเผชิญหน้าตรงๆและขาดพลังทำลายล้างที่ปลูกฝังโดยนักสู้ตำรับโบราณ ซึ่งมวยปาจี๋ในยุคนี้เน้นไปที่ท่าทางการเคลื่อนไหวที่งดงามมากขึ้นแตกต่างไปจากตำรับโบราณที่แท้จริงที่ค่อนข้างอันตรายมากกว่า
ถ้าหากเย่เชียนไม่เคยมีประสบการณ์ผ่านความตายมานับไม่ถ้วนล่ะก็เขาคงจะสูญเสียสมาธิและความสามารถในการต่อสู้ไปแล้วอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อเห็นการโจมตีด้วยหมัดของเย่หานห่าวแล้วเย่เชียนก็ไม่หวั่นเกรงใดๆ เมื่อพูดถึงประสบการณ์การต่อสู้จริงนั้นเย่หานห่าวแตกต่างไปจากเย่เชียนโดยสิ้นเชิง ดังนั้นสภาพจิตใจของเขาทั้งสองจะแตกต่างกันมากเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ในเวลานี้เย่หานห่าวต้องการเอาชนะและโจมตีเย่เชียนอย่างรุนแรงต่อหน้าคนอื่นๆเพื่อแสดงความสามารถต่อหน้าเย่เจียอู๋ ด้วยเหตุนี้เย่หานห่าวจึงใช้พละกำลังอย่างเต็มที่ตั้งแต่เริ่มและเขาก็ไม่ได้ผ่อนแรงลงเลยและอาจถึงชีวิตได้ถ้าหากเย่เชียนไม่สามารถหลบเลี่ยงได้
เมื่อเห็นสิ่งนี้เย่เจียอู๋ก็ขมวดคิ้วและไม่พอใจกับพฤติกรรมของเย่หานห่าวอย่างมากเพราะความเห็นของเขานี่คือครอบครัวและนี่ก็เป็นเพียงการแข่งขันทั่วไปมันจะเป็นการฆ่าฟันกันได้อย่างไร? สำหรับทักษะของเย่เชียนนั้นเย่เจียอู๋เองก็สงสัยเช่นกันแต่เมื่อเขาเห็นเย่เชียนหลีกเลี่ยงการโจมตีของเย่หานห่าวได้อย่างง่ายดายเขาก็รู้สึกได้ว่านี่ควรเป็นเย่เชียนที่เขาคิดและเมื่อคิดเช่นนั้นเย่เจียอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อนึกถึงผลลัพธ์
ตั้งแต่ที่เย่เชียนขึ้นมาบนเวทีเย่หานหลินก็ได้จ้องมองที่เขาโดยไม่กะพริบตา ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าชัยชนะครั้งนี้จะต้องเป็นของเย่เชียนอย่างแน่นอน แต่เมื่อเขาเห็นการโจมตีและทักษะของเย่เชียนแล้วเขาก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยและเขาก็ไม่เข้าใจว่าเย่เชียนกำลังทำอะไรอยู่และคิดจะทำอย่างไรต่อไป
ทางด้านของอันซือเองก็ขมวดคิ้วเช่นกันพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นว่าเย่เชียนไม่ได้ใช้ทักษะของคัมภีร์และตำราลับที่เธอให้เอาไว้จนเธออดไม่ได้ที่จะกังวลแต่เธอไม่ได้กังวลว่าเย่เชียนจะล้มเหลวแต่เธอแค่กังวลว่าเหตุใดเย่เชียนจึงไม่ทำในสิ่งที่เธอพูดก่อนหน้านี้และทำไมเย่เชียนถึงไม่เริ่มกำจัดเย่หานห่าวสักที
เมื่อเห็นทักษะแปลกๆของเย่เชียนแล้วเย่หานห่าวก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยอยู่พักหนึ่งแต่เมื่อดูจากท่าทีตลกๆที่เย่เชียนใช้ในตอนนี้แล้วเย่หานห่าวก็รู้สึกได้ว่าเขาน่าจะสามารถฆ่าเย่เชียนได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นว่าหมัดของเขากำลังจะไปถึงร่างกายของเย่เชียนแต่จู่ๆเย่เชียนก็หลบหลีกได้ในทันที แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดว่าเย่เชียนนั้นตั้งใจที่จะรับมือเขาแต่แค่รู้สึกว่าเย่เชียนนั้นขี้ขลาด เย่หานห่าวนั้นไม่ได้ผ่อนแรงเอาไว้แม้แต่ตอนที่เขาได้เปรียบเพราะการเคลื่อนไหวนั้นเหมือนกับคลื่นทะเลที่โหมกระหน่ำและโจมตีเย่เชียนอย่างโหดเหี้ยมไร้ความปรานี
ยกเว้นเย่หานหลินเพียงคนเดียวเพราะทุกคนรู้กลับสึกว่าเย่เชียนนั้นจะไม่สามารถหลบหลีกแบบนี้ได้อีกต่อไปเพราะเย่หานห่าวกำลังได้เปรียบอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้ทุกคนหมดความสนใจในการชมการแข่งขันครั้งนี้ไปในทันทีและคิดว่านี่ไม่ใช่การจับคู่การต่อสู้ที่สู้สีและเหมาะสมกันเลยและมันเป็นเพียงการไล่ต้อนและการทำลายล้างของเย่หานห่าวเพียงคนเดียว
เย่หานห่าวมีความกระตือรือร้นอย่างมากในขณะที่เขาต่อสู้และความรู้สึกของการกดขี่ข่มเหงผู้คนภายใต้น้ำมือของเขาเองนั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตามในตอนนี้มันกลับมีความกังวลอยู่ในใจของเขาเพราะในความเห็นของเขาทักษะของเย่เชียนนั้นไร้ประสิทธิภาพเพราะงั้นถ้าหากเขาไม่สามารถเอาชนะเย่เชียนได้ในเร็วๆนี้ล่ะก็ถึงแม้ว่าเขาจะชนะแต่เขาก็กลัวว่ามันจะเท่ากับความล้มเหลวใช่ไหมที่ไม่สามารถกำจัดเย่เชียนได้ในเวลาอันสั้น? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นสีหน้าของเย่เชียนกับรอยยิ้มที่ไม่แยแสก็ทำให้เขาโกรธมากขึ้นและเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเย่เชียนถึงยังคงสามารถรักษาสมาธิและสีหน้าดังกล่าวได้ในขณะนี้ ซึ่งคำอธิบายเดียวในหัวของเขาคือเย่เชียนนั้นรู้ผลของการแข่งขันอยู่แล้วและไม่มีเจตนาที่จะแข่งขันอีกต่อไป
หลังจากเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเย่หานห่าวก็รู้สึกได้ว่าทุกๆครั้งที่หมัดของเขากำลังจะเข้าใกล้เย่เชียนจู่ๆเย่เชียนก็ดูเหมือนจะโชคดีที่หลบหลีกได้ เมื่อเวลาผ่านไปสักพักเย่หานห่าวก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเย่เชียนกำลังแกล้งทำเป็นหมูและกินเสือโดยจงใจล้อเลียนตัวเอง เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้เย่หานห่าวก็โกรธมากขึ้นเรื่อยๆและตะโกนอย่างบ้าคลั่งและการโจมตีของเขาก็เริ่มรุนแรงขึ้นมากกว่าเดิมจนอะดรีนาลีนในร่างกายของเขาก็พึ่งถึงขีดสุด
“การโจมตีครั้งที่สี่สิบเก้าแล้วสินะ..ถ้างั้นฉันควรจะเริ่มได้แล้ว!” เย่เชียนฉีกยิ้มและพูด ทันทีที่เสียงนั้นหายไปร่างกายของเย่เชียนก็หยุดนิ่งแล้วจู่ๆเขาก็พุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและใช้ฝ่ามือกับไหล่กระแทกร่างกายของเย่หานห่าวจนได้ยินเสียงกระดูกหักและร่างกายของเย่หานห่าวก็กระเด็นออกไปเหมือนว่าวและตกเวทีไปอย่างรุนแรง
ไม่มากและไม่น้อยเพราะการโจมตีเพียงแค่ห้าสิบครั้งกลับไม่สามารถทำอะไรเย่เชียนได้
เย่หานหลินก็แอบดีใจเล็กน้อยเพราะท่าที่เย่เชียนใช้ในตอนนี้เหมือนกับที่เขาใช้จัดการกับเย่หานรุ่ยแต่เห็นได้ชัดว่ามันอันตรายกว่าการเคลื่อนไหวของเขาและรวดเร็วและแม่นยำอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้เย่หานหลินตระหนักอย่างชัดเจนถึงข้อบกพร่องของตัวเองเพราะเพียงแค่ใช้เคล็ดลับนี้ที่เขาขโมยมาจากเย่เชียนเพื่อเอาชนะเย่หานรุ่ยและเขาคิดว่าเขาได้เรียนรู้มันอย่างถ่องแท้แต่ตอนนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่าเขานั้นได้เรียนรู้ไม่ถึงครึ่งของเย่เชียนเพราะเขารู้แค่รูปแบบของมันแต่ไม่ได้เข้าใจความหมายของมัน ดังนั้นมันจึงไม่ได้แสดงพลังที่แท้จริงของทักษะนี้เลย จู่ๆทันใดนั้นก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในจิตใจของเย่หานหลินทันที
แน่นอนว่าถ้าหากเย่เชียนต้องการที่จะเอาชนะเย่หานห่าวจริงๆลั่ก็มันก็มีอีกหลายวิธีและไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้เลยแต่เขาเลือกทำแบบนี้อย่างจงใจ เหตุผลแรกเขาต้องการบอกเป็นนัยว่าสิ่งที่เย่หานหลินได้เรียนรู้นั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเคลื่อนไหว เหตุผลที่สองเขาต้องการซ่อนสิ่งต่างๆไปจากสายตาของบรรดาแขกที่มาเข้าร่วมงานและทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาแค่มาดูการต่อสู้ของเย่หานหลินเพียงคนเดียว ดังนั้นเขาจึงยื้อเวลาและใช้ทีเผลอเพื่อซ่อนความสามารถที่แท้จริงของเขาเอาไว้
ซึ่งนั่นก็เป็นความจริงเพราะบรรดาแขกบนอัฒจันทร์หมดความสนใจในการแข่งขันครั้งนี้ไปแล้วเพราะพวกเขาเห็นเย่หานห่าวเหนือกว่าเย่เชียนอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามจู่ๆเย่หานห่าวก็ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปจากเวทีซึ่งทำให้พวกเขาสับสนอย่างมากและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลย โดยเฉพาะหยานซื่อฉุยที่ให้ความสนใจเย่เชียนก็ถึงกับแสยะยิ้มที่มุมปาก
เย่หานห่าวพยายามลุกขึ้นจากพื้นและจิตใจของเขาไม่ตอบสนองและเขาก็ตกใจอย่างมากเพราะเขาไม่รู้ว่าเขาพ่ายแพ้ได้อย่างไร แม้แต่ในตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้คิดออกเพราะตลอดเวลาที่อยู่บนเวทีการประลองเขาได้เปรียบและเหนือกว่าเสมอแต่ในท้ายที่สุดเขากลับได้ยินเพียงคำพูดของเย่เชียนเพียงประโยคเดียวและแล้วเขาก็เห็นร่างของเย่เชียนพุ่งเข้ามาหาเขาและเมื่อนั้นพลังชี่ในร่างกายของเขาเริ่มปุ่นป่วนและจู่ๆร่างกายของเขาก็อ่อนแอลงจนถูกโจมตีและกระเด็นออกจากเวทีการประลอง
นี่คือหมัดภูผาปาจี๋ที่ดัดแปลงของเย่เชียนเพราะเมื่อฝ่ามือของเขาสัมผัสร่างกายของคู่ต่อสู้มันจะไปยับยั้งหลอดลมของคู่ต่อสู้แล้วประสานกับการใช้ไหล่กระแทกซึ่งทำให้มันเพิ่มพลังการทำลายล้างอย่างมาก ทักษะนี้ไม่เพียงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายและเส้นเลือดหลอดลมเท่านั้นแต่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับโครงกระดูกกับกายวิภาคของมนุษย์ด้วย ดังนั้นเย่เชียนจึงรู้ถึงจุดอ่อนของร่างกายมนุษย์และมีประสบการณ์การต่อสู้ที่แท้จริงมานับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้เย่เชียนจึงสามารถโจมตีจุดอ่อนของมุนษย์ได้อย่างแม่นยำ
เย่เชียนนั้นไม่ได้มองเย่หานห่าวเลยแม้แต่น้อยแต่กลับเดินตรงไปหาเย่เจียอู๋ ซึ่งจากระยะไกลเขาสังเกตเห็นดวงตาของอันซือที่เผยให้เห็นถึงความโกรธและการตำหนิอย่างรุนแรง แน่นอนว่าเย่เชียนทำได้เพียงเมินเฉยเพราะถึงแม้ว่าเย่หานห่าวจะค่อนข้างอวดดีและหยิ่งผยองแต่นั้นก็ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะฆ่าเขา ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเพราะเย่เชียนยังไม่รู้เรื่องราวความเป็นมาของสิ่งต่างๆเขาจึงไม่คิดที่จะฆ่าเย่หานห่าว
ดูเหมือนจะไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าของเย่เจียอู๋มากนักแต่ในทางกลับกันมันมีแต่ความไม่สบอารมณ์บนใบหน้าของเขาและอารมณ์การแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปมาก แน่นอนว่าความผ่อนคลายในร่างกายของเขาก็หายไปด้วยและแทนที่ด้วยความโกรธที่รุนแรงจนเย่เชียนสังเกตเห็นมันได้อย่างชัดเจน เย่เชียนนั้นไม่เข้าใจว่าทำไมเย่เจียอู๋ถึงกลายเป็นแบบนี้เพราะเย่เจียอู๋บอกเองอย่างชัดเจนว่าให้ตนชนะการประลองก่อนหน้านี้ ซึ่งเมื่อเย่เชียนชนะแล้วถึงแม้จะน่าประทับใจแต่เย่เจียอู๋ก็ไม่ควรโกรธถึงขนาดนี้ใช่ไหม? เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ถอนหายใจอย่างลับๆและอดคิดไม่ได้ว่า ‘ดูเหมือนว่ายิ่งใครที่มีสถานะและตำแหน่งที่สูงเขาก็จะยิ่งหงุดหงิดและโมโหง่ายมากขึ้น..นี่สินะที่เขาเรียกว่าเสือมันคงเป็นเรื่องจริง’
เมื่อเขาไปถึงด้านข้างของเย่เจียอู๋เย่เชียนก็สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ท่านปู่ผมขอออกไปเดินเล่นก่อนนะครับ”
“อืม!” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเย่เจียอู๋ก็ดูเหมือนจะพยายามระงับความโกรธของเขาและพูดว่า “เอ็งมาพบฉันที่ห้องคืนนี้..ฉันมีเรื่องจะถามเอ็ง”
น้ำเสียงนั้นดูรุนแรงมากผสมกับน้ำเสียงของการบังคับที่เคร่งเครียดและเมื่อเย่เชียนได้ยินเขาก็รู้สึกไม่สบายใจจนเย่เชียนขดปากโดยไม่ตั้งใจและเพิกเฉยต่อเย่เจียอู๋ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป เย่เชียนนั้นเป็นคนง่ายๆแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำตัวสบายอยู่ตลอดเวลาเพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตามหากเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูกดขี่ข่มเหงแบบนี้เย่เชียนก็จะไม่สนใจ
ดวงตาของเย่เชียนเหลือบมองไปที่เย่หานหลินและเมื่อเห็นเช่นนั้นเย่หานหลินก็รีบเดินตามเย่เชียนไป แน่นอนว่าอันซือเองก็อยากที่จะเดินไปหาเย่เชียนในทันทีเพื่อตำหนิเย่เชียนอย่างรุนแรงแต่มันก็ไม่สะดวกที่จะออกไปในเวลานี้ ดังนั้นเธอจึงต้องอดทนไว้ชั่วคราวและรอจนกว่าการแข่งขันจะจบลงแล้วจึงกลับไปในตอนเย็นเพื่อถามสิ่งต่างๆจากปากของเย่เชียน
บนอัฒจันทร์หยานซื่อฉุยที่เห็นเย่เชียนเดินออกไปเช่นนั้นเธอก็แสยะยิ้มและลุกขึ้นเพื่อเดินตามไป ในฐานะที่ผู้นำของสำนักม่อจื๊อเธอมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของเย่เจียอู๋และจุดประสงค์คือเพื่อดูการแข่งขันระหว่างลูกหลานของตระกูลเย่และพิจารณาหาคนที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเย่เชียนเป็นคนที่ดึงดูดสายตาของเธอมากที่สุด
.
.
.
.
.