ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 768 มิตรสหายและพี่น้อง ตอนที่ 1
ตอนที่ 768 มิตรสหายและพี่น้อง ตอนที่ 1
หยานซื่อฉุยเป็นผู้นำสำนักม่อจื๊อและตอนนี้สำนักม่อจื๊อก็ถูกควบคุมโดยสาวกฝ่ายอธรรมดังนั้นไม่ช้าก็เร็วม่อหลงจะต้องไปทวงสิ่งที่เขาต้องการกลับคืนมาและในเวลานั้นหยานซื่อฉุยจะกลายเป็นสิ่งกีดขวางของม่อหลงและการต่อสู้ของเย่เชียนกับเธอย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่เคยต่อสู้กับหยานซื่อฉุยก็ตามแต่จากออร่าของหยานซื่อฉุยแล้วเย่เชียนรู้สึกว่าทักษะของเธอไม่ธรรมดาแต่เขาก็กลัวว่าเขาเองอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอเลยก็เป็นได้ ดังนั้นในเมื่อเขารู้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอเหตุใดเย่เชียนจึงต้องต่อสู้กับเธอด้วย? นี่ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องต่อสู้และตอนนี้เขาก็อยู่ในบ้านของตระกูลเย่และหยานซื่อฉุยก็มาที่นี่เพื่ออวยพรวันเกิดให้กับเย่เจียอู๋ ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่กล้าทำอะไรภายในเขตของบ้านตระกูลเย่ ไม่เช่นนั้นตระกูลเย่คงจะไม่ปล่อยเธอไปอย่างแน่นอนและยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนก็ยังต้องการรักษาความลับและตัวตนที่แท้จริงของตัวเองและไม่ให้ศัตรูรู้ถึงความแข็งแกร่งและความสามารถของเขาเพื่อที่เขาจะได้รักษาความได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ในการต่อสู้ในอนาคตนั่นเอง
บุคลิกของหยานซื่อฉุยนั้นค่อนข้างสุดโต่งและมีความเกลียดชังอย่างมากต่อผู้ชายแต่เธอก็ไม่เคยพบกับเย่เชียนซึ่งเป็นคนหยาบคายและไม่สนใจอะไรซึ่งทำให้เธอค่อนข้างสงสัยว่าเธอจะรับมือกับเขาอย่างไร ตั้งแต่ต้นจนจบทุกๆคำที่เย่เชียนพูดดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อเธอแต่ก็ดูเหมือนจะล้อเล่นและยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนไม่สนใจเรื่องหน้าตาในสังคมของตัวเองและไม่กลัวที่จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเพราะการพูดของเขาเลยดังนั้นเธอจึงไม่รู้วิธีที่จะรับมือกับเย่เชียน
เย่หานหลินเหลือบมองเย่เชียนด้วยความสับสนงุนงงเล็กน้อยเกี่ยวกับทัศนคติของเย่เชียนเพราะในความเห็นของเขามันเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่จะถอยออกมาเมื่อเผชิญกับความท้าทายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะมันไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีส่วนบุคคลเท่านั้นแต่ยังเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของตระกูลอีกด้วย
เย่เชียนนั้นรู้ถึงความสงสัยภายในดวงตาของเย่หานหลินแต่เย่เชียนก็เพียงแค่ยิ้มจางๆโดยไม่ได้อธิบายอะไรใดๆเพราะเย่หานหลินอยู่ในตระกูลเย่มานานหลายปีแล้วและเขาก็ได้พบกับผู้คนมากมายและพบเจอสิ่งต่างๆมากมาย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะอธิบายว่าเขาเป็นเพียงกบที่ก้นบ่อและเขาต้องปรับตัวและความคิดไปกับโลกภายนอก
หลังจากเงียบไปชั่วขณะหยานซื่อฉุยก็พูดว่า “ฉันเข้าใจว่าคุณเย่กลัว!” ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าเย่เชียนไม่ได้กลัวแต่เธอต้องการเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเย่เชียนดังนั้นเธอจึงต้องการกระตุ้นเย่เชียนด้วยคำพูด
เธอไม่รู้ว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนประเภทที่ไม่กลัวคำเย้ยหยันหรือคำยั่วยุดังนั้นเธอจึงพูดเช่นนั้นออกไป เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “ความคิดของคุณก็ยังคงเป็นความคิดของคุณและผมก็ไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่คุณคิดได้” เย่เชียนคืนคำพูดของหยานซื่อฉุยก่อนหน้านี้กลับไปให้เธอ
หากเย่เชียนไม่เต็มใจที่จะต่อสู้กับหยานซื่อฉุยจริงๆล่ะก็ต่อให้เธอพูดอย่างไรเย่เชียนก็จะไม่ต่อสู้อยู่ดีและมีอยู่ทางเดียวคือทั้งสองจะต้องไปต่อสู้กันที่อื่นแต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในบ้านของตระกูลเย่ ดังนั้นหากเย่เชียนไม่ต้องการต่อสู้เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป
ขณะที่หยานซื่อฉุยลังเลอยู่ว่าเธอจะตอบเย่เชียนอย่างไรจู่ๆทันใดนั้นก็มีคนสองสามคนเดินเข้ามาจากด้านนอกประตูและหนึ่งในนั้นก็คือเย่หานรุ่ยหลานชายคนโตของตระกูลเย่ที่มาพร้อมกับใบหน้าที่ดูโกรธเกรี้ยวอย่างมาก ซึ่งทันทีที่เข้าประตูมาเขาก็ตะโกนเสียงดังว่า “ไอ้สุนัขรับใช้ออกมาเดี๋ยวนี้!” เห็นได้ชัดว่า ‘สุนัขรับใช้’ ที่เขาหมายถึงคือเย่หานหลิน
ตามด้วยเย่หานห่าว,เย่หานถิงและเย่หานซวน ซึ่งพวกเขาทั้งหมดเป็นทายาทของสายตรงของตระกูลเย่ ดังนั้นจึงเดาว่าพวกเขาน่าจะมาที่นี่เพื่อแก้แค้นให้เย่หานรุ่ย เมื่อเขาเห็นเย่เชียนที่นี่เย่หานซวนก็ยิ้มและพยักหน้าและสิ่งนี้ก็ทำให้เย่เชียนประหลาดใจ แต่เย่เชียนก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มโดยคิดอย่างลับๆว่า ‘ดูเหมือนว่าเย่หานซวนน่าจะนิสัยดีกว่าคนอื่นๆและอาจจะเข้าใจสิ่งต่างได้..เขาคนนี้น่าจะอยู่ในกองทัพเพราะบุคลิกของเขาเหมือนทหาร’
เมื่อเย่หานห่าวเห็นเย่เชียนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเพียงเพราะเย่เชียนเพิ่งจะทำซี่โครงของเขาหักไปหนึ่งซี่และถึงแม้ว่าเขาจะทำสมาธิสมานบาดแผลก็ตามแต่ร่างกายของเขาก็ยังรู้สึกอึดอัด ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็รู้ดีว่าในเวลาถึงนี้แม้ว่าเขาจะมีสภาพร่างกายสมบูรณ์แต่เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เชียนอยู่ดี
“หืม..นายเองก็อยู่ที่นี่ด้วยงั้นเหรอ” เย่หานรุ่ยเหลือบมองเย่เชียนและพูดด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา จากนั้นเขาก็เหลือบมองเย่หานหลินที่อยู่ข้างๆแล้วพูดว่า “ไอ้สุนัขรับใช้แกยังมีเวลาว่างมาพักผ่อนอยู่อีกเหรอ”
เมื่อเห็นฉากดังกล่าวหยานซื่อฉุยก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มที่มุมปากเพราะเหมือนเธอกำลังดูละครอยู่และอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆ ว่า ‘ดูสิว่าจะอดทนได้แค่ไหน’
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พล่ามอะไรไร้สาระถ้าแกไม่อยากตายก็หุบปากซะ!..พวกแกแพ้ในการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้และกำลังมองหาที่ระบายงั้นเหรอ..พ่อแม่ของพวกแกรู้บ้างหรือเปล่าว่าพวกแกประพฤติตัวแบบนี้?” เนื่องจากเย่เชียนยอมรับเย่หานหลินแล้วแน่นอนว่าเขาจะต้องปกป้องเย่หานหลินโดยธรรมชาติ
“แกมันลูกนอกคอก” เย่หานถิงพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม “แกมันก็แค่ไอ้โง่ที่ไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใครและยังหน้าด้านคลานมาที่ตระกูลเย่ของเราเพื่อเรียกร้องความสนใจ”
ใบหน้าของเย่เชียนก็มืดมนลงอย่างฉับพลันและเจตนาฆ่าที่รุนแรงก็ปรากฏขึ้นและในทันใดนั้นเย่เชียนก็พุ่งออกไปข้างหน้าแล้วตบหน้าเย่หานถิงอย่างรุนแรงและเพียงแค่ได้ยินเสียง “เพลี๊ยะ” จากนั้นใบหน้าครึ่งหนึ่งของเย่หานถิงก็บวมแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่มีใครคาดคิดว่าเย่เชียนจะลงมือทำโดยไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้นเย่หานถิงก็ใช้มือประคบแก้มของเธอและจ้องมองไปที่เย่เชียนในลักษณะที่งุนงงและโกรธเกรี้ยวและเธอก็พูดว่า “แก..แกกล้าตบหน้าฉันงั้นเหรอ!..แกรู้หรือเปล่าว่าแม้แต่พ่อกับแม่ของฉันก็ไม่เคยทำกับฉันแบบนี้..แกกล้าดียังไง?”
“หืม..แล้วทำไมฉันถึงต้องไม่กล้าตบเธอล่ะ?..เธอคิดว่าทุกคนในโลกใบนี้คือพ่อแม่ของเธอรึไง?” เย่เชียนพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก “นี่แค่เบาๆเพราะงั้นคราวหน้าฉันจะตบจนเธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิตเลยคอยดู”
“เย่เชียน!..แกหยิ่งผยองเกินไปแล้วนี่คือบ้านของตระกูลเย่และมันไม่ใช่สิ่งที่คู่ควรกับแก!..อย่าคิดว่าแค่ท่านปู่โปรดปรานแกแล้วแกจะสามารถทำอะไรก็ได้นะ..ถ้าแกไม่คุกเข่าและขอโทษพวกฉันล่ะก็ฉันจะทำให้แกตายอย่างน่าสังเวชเชื่อมั้ย?” เย่หานรุ่ยพูดอย่างเย็นชา
“ในโลกใบนี้มีคนที่อยากจะฆ่าฉันตั้งเยอะตั้งแยะแต่มันก็ไม่มีใครสมปรารถนาสักคน..ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะทำอะไรกับฉันได้!” เย่เชียนพูดด้วยความรังเกียจแล้วพูดต่อ “อย่ามั่นใจในตัวเองนักเลยพวกแกมันก็เป็นได้แค่ไอ้กระจอกที่อาศัยบารมีของบรรพบุรุษก็เท่านั้น”
“แกยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ?..แกเองไม่ใช่เหรอที่มาหลอกว่าเป็นทายาทตระกูลเย่..แกต้องการเป็นทายาทของตระกูลเย่และยังมาพูดอีกว่าแกเป็นลูกของอาสอง..อีกอย่างใครจะไปรู้ว่าแกเป็นลูกของผู้หญิงคนนั้นจริงๆ?”
ใบหน้าของเย่เชียนก็มืดมนอย่างมากและถึงแม้ว่าเขาจะสงสัยว่าอันซือไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดของเขาอย่างน้อยๆคนพวกนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมให้คนอื่นมาดูถูกแม่ของเขาในขณะนี้อย่างแน่นอน หากคุณไม่ใช่เด็กกำพร้า คุณก็จะไม่สามารถเข้าใจถึงความปรารถนาอันแรงกล้าเกี่ยวกับความรักในแบบของครอบครัว ซึ่งความปรารถนาของพวกเขาสำหรับความรักในครอบครัวนั้นแรงกล้าอย่างมาก ดังนั้นเมื่อได้รับแล้วพวกเขาต้องการทำให้ดีที่สุดเพื่อรักษามันเอาไว้
เย่หานหลินก็สังเกตเห็นการแสดงออกที่น่ากลัวบนใบหน้าของเย่เชียนและเขาก็แทบไม่ลังเลเลยเขาจึงรีบวิ่งไปข้างหน้าและตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เย่หานรุ่ย!..ถ้านายยังกล้าพูดเรื่องไร้สาระอยู่อีกฉันจะฆ่านายเดี๋ยวนี้แหละ” เย่เชียนนั้นเพิ่งปกป้องเขาต่อหน้าเมื่อครู่นี้ดังนั้นในตอนนี้เขาก็ต้องการตอบแทนเย่เชียนโดยธรรมชาติ นอกจากนี้เนื่องจากเขาได้ตัดสินใจที่จะติดตามเย่เชียนแล้วเขาก็ควรจะแสดงอะไรบางอย่างออกมาให้เย่เชียนเห็น ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่เย่หานรุ่ยกำลังพูดถึงและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่ในเวลานี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมัวคิดมากเพราะเขาต้องคิดเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อเย่เชียน
เมื่อเห็นการแสดงและปฏิกิริยาของเย่หานหลินแล้วเย่เชียนก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่ในเวลานี้มันไม่สะดวกสำหรับเย่หานหลินที่จะมีความขัดแย้งกับคนเหล่านี้เพราะถ้าหากมีสิ่งใดทำให้เย่เจียอู๋ต้องขุ่นเคืองล่ะก็เขาอาจจะลงโทษเย่หานหลินโดยไม่ลังเลใจตามอารมณ์ของเขาก็เป็นได้ ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่เย่เชียนหวังที่จะได้เห็น แต่ถ้าหากเป็นความขัดแย้งระหว่างเขากับเย่หานรุ่ยแทนล่ะก็ถึงแม้ว่าเย่เจียอู๋จะไม่ได้เข้าข้างเขาก็ตามแต่อย่างน้อยๆเขาก็จะสามารถแก้ไขเรื่องเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ด้วยตัวเอง
จากนั้นเย่เชียนก็ตบไหล่ของเย่หานหลินเบาๆและเหลือบมองไปที่เย่หานหลินและบอกให้เขาก้าวถอยออกไป จากนั้นเย่เชียนก็ก้าวไปข้างหน้าและมองหน้าของเย่หานรุ่ยแบบตัวต่อตัว ซึ่งใบหน้าของเย่เชียนเย็นยะเยือกราวกับน้ำค้างแข็งและเขาก็พูดอย่างดุร้ายว่า “แกสะกดคำว่าตายเป็นหรือเปล่า?..ถ้าแกไม่รู้เดี๋ยวฉันจะสอนให้เอง”
เจตนาฆ่าอันเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากเย่เชียนทำให้หยานซื่อฉุยที่ด้านข้างตกตะลึงและเต็มไปด้วยความประหลาดใจและเขาแอบคิดว่า “นี่เป็นออร่าที่แท้จริงของเขางั้นเหรอ” แน่นอนว่าเธอจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้และหวังว่าพวกเขาเหล่านี้จะขัดแย้งเพื่อที่เธอจะได้นั่งอยู่บนภูเขาและดูเสือต่อสู้กันเพื่อดูทักษะการต่อสู้และความสามารถของเย่เชียน อย่างไรก็ตามหยานซื่อฉุยก็รู้ว่าเย่หานรุ่ยและคนอื่นๆนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เชียนเลย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาทั้งหมดก็ไม่สามารถรับมือกับทักษะและความสามารถที่แท้จริงของเย่เชียนได้
แม้แต่หยานซื่อฉุยเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจไปกับเจตนาฆ่าที่เล็ดลอดออกมาจากเย่เชียน ส่วนเย่หานรุ่ยก็ถึงกับตัวสั่นเทาจนดูเหมือนว่าร่างกายของเขาอยู่เหนือการควบคุมของเสมอและความกลัวตายก็พุ่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจทันที
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้เย่หานซวนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและรีบก้าวออกไปข้างหน้าจากนั้นก็ยิ้มให้เย่เชียนเบาๆแล้วพูดว่า “พวกเขาทั้งหมดเป็นพี่น้องของผมเอง..เราไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก..เมื่อครู่นี้พวกเขาทำผิดไปเพราะงั้นเดี๋ยวผมกลับไปจัดการเอง..ผมต้องขอโทษคุณด้วย..เพื่อเห็นแก่ผมคุณช่วยทำเป็นลืมมันไปจะได้มั้ย?”
ถึงแม้ว่าเย่หานซวนจะไม่ได้รักลูกพี่ลูกน้องเหล่านี้มากนักก็ตามแต่เขาก็ไม่ต้องการให้ทั้งสามเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาของเขา ซึ่งถ้าหากเย่เชียนลงมือทำอะไรบางอย่างเขาก็ไม่รู้เลยว่าจะช่วยใครดีเพราะเขาไม่ได้มีความเกลียดชังต่อเย่เชียนเลยแม้แต่น้อยแต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีใดๆเช่นกัน ซึ่งเขานั้นรับราชการในกองทัพแห่งชาติและไม่ได้สนใจการต่อสู้หรือการแย่งชิงตำแหน่งในตระกูลเย่เลย
.
.
.