ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 770 มิตรสหายและพี่น้อง ตอนที่ 3
ตอนที่ 770 มิตรสหายและพี่น้อง ตอนที่ 3
ทักษะการพูดยั่วยุของเย่เชียนนั้นยอดเยี่ยมอย่างมากและเย่หานรุ่ยก็ไม่มีความสามารถในการแข่งขันกับเขาและเขาก็ถูกหลอกอย่างสมบูรณ์ภายใต้คำพูดของเย่เชียน ซึ่งเย่เชียนรู้ดีว่าเย่หานหลินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่หานรุ่ยถ้าวัดกันด้วยทักษะการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และการเคลื่อนไหว ท้ายที่สุดแล้วศิลปะการต่อสู้ส่วนใหญ่ที่ฝึกฝนโดยลูกหลานของตระกูลเย่นั้นเป็นศิลปะการต่อสู้ระดับต่ำและหมัดทะลวงฟ้าหรือมวยโป่วเทียนที่เย่หานรุ่ยใช้ก็ถูกสร้างขึ้นโดยเย่เจิ้งหรานปรมาจารย์อันดับ 1 ของตระกูลเย่ ดังนั้นถึงแม้ว่าเย่หานรุ่ยจะไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงของหมัดโป่วเทียนได้แต่การที่เย่เจิ้งหรานสามารถเอาชนะยอดฝีมือจากทั่วทุกสารทิศได้โดยอาศัยทักษะของมวยชุดนี้ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของมันได้
บนสังเวียนในตอนนี้เย่หานหลินได้เปรียบอย่างมากเช่นเดียวกับตอนที่เย่หานรุ่ยใช้หมัดทะลวงฟ้าโป่วเทียนของเย่เจิ้งหรานรุกอย่างหนักหน่วง แต่แน่นอนว่าเย่หานหลินนั้นไม่สามารถใช้ทักษะของเย่เชียนได้อย่างเต็มที่เพราะเขาแค่เลียนแบบและไม่เข้าใจแก่นแท้ของมัน ดังนั้นเย่เชียนจึงจงใจพูดข้อตกลงการประลองครั้งนี้ซึ่งทำให้เย่หานรุ่ยไม่กล้าที่จะประมาทและทำให้เย่หานรุ่ยกดดันตัวเองอย่างมาก
หยานซื่อฉุยและเย่หานซวนนั้นสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเย่เชียนหมายถึงอะไรแต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรใดๆ ซึ่งเหตุผลที่หยานซื่อฉุยไม่พูดก็เพราะเธอไม่สนใจที่จะพูดถึงมันเพราะเธอต้องการดูความสามารถของลูกหลานของตระกูลเย่และหวังว่าเย่หานรุ่ยจะชนะการประลองในครั้งนี้และกดดันเย่เชียนกลับ แน่นอนว่าเย่หานซวนนั้นรู้ดีว่าเย่หานหลินนั้นไม่กล้าทำอะไรกับเย่หานรุ่ยมากเกินไปดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะปล่อยให้เย่หานหลินเผชิญหน้ากับความเย่อหยิ่งของเย่หานรุ่ย หลังจากอยู่ในกองทัพมาเป็นเวลานานสิ่งที่เย่หานซวนชอบก็คือการได้อยู่กับมิตรสหายที่กระตือรือร้นและมีระเบียนที่เคร่งครัดแต่การได้อยู่กับคนอย่างเย่หานรุ่ยนั้นทำให้เขาไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้สนใจการแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลเย่เลยและในความเห็นของเขาโลกภายนอกนั้นน่าดึงดูดยิ่งกว่าตำแหน่งผู้นำของตระกูลเย่โดยสิ้นเชิง ดังนั้นถ้าหากเขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำของตระกูลเย่นั่นก็หมายความว่าเขาจะต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องข้อพิพาทและเรื่องวุ่นวายหลายอย่างของตระกูลเย่ซึ่งเขาไม่ต้องการแบบนั้น
เมื่อได้ยินเย่หานถิงตะโกนเย่หานรุ่ยก็ยิ่งกังวลและกดดันมากขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะรู้ตัวว่าต้องทำให้ดีที่สุดแต่เขาก็ต้องป้องกันกลอุบายของเย่หานหลินเพราะท้ายที่สุดทักษะนั้นรุนแรงเกินไปและทรงพลังอย่างยิ่ง หากไม่ระวังมันก็มีโอกาสซ้ำรอยบนสังเวียนก่อนหน้านี้อีกครั้งและผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะเป็นความล้มเหลวใช่ไหม?
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆการเคลื่อนไหวของเย่หานรุ่ยก็รุนแรงและหนักหน่วงขึ้นในทันใด ซึ่งการโจมตีแต่ละครั้งก็รุนแรงมากและไม่ผ่อนแรงลงเลยเหมือนว่าเขาจงใจพยายามทำให้เย่หานหลินตายในการต่อสู้ครั้งนี้จริงๆ สำหรับเขาแล้วเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับชีวิตและความตายของทายาทตระกูลสาขาเลยแม้แต่น้อยดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะฆ่าเย่หานหลินในวันนี้เขาก็เชื่อว่าเขาจะไม่ถูกตำหนิเพราะท้ายที่สุดแล้วตระกูลสาขาก็เป็นได้เพียงแค่สุนัขรับใช้ของทายาทสายตรงกับตระกูลหลัก ดังนั้นชีวิตและความตายของพวกเขาก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลย
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะเห็นได้ชัดว่าเย่หานรุ่ยนั้นเริ่มหมดความอดทนดังนั้นบุคคลเช่นนี้จะสามารถดำรงตำแหน่งผู้นำของตระกูลเย่ได้อย่างไร? หากตระกูลเย่ถูกส่งต่อให้แก่เย่หานรุ่ยล่ะก็มันจะทำให้ตระกูลเย่ล่มสลายและพังทลายลงเท่านั้น ซึ่งเย่เชียนเกลียดความแตกต่างระหว่างตระกูลหลักและตระกูลสาขาอย่างมากจนเขาแอบสาบานว่าหากเขาเป็นทายาทของตระกูลเย่จริงๆเขาจะต้องเปลี่ยนกฎนี้และทำให้คนที่มีความสามารถที่เหมาะสมมารับผิดชอบภาระอันยิ่งใหญ่แทนการกลุ่มลูกหลานที่เป็นเหมือนขยะไร้ประโยชน์เหล่านี้ อาจเป็นเพราะสถานะทางทหารเย่เชียนจึงชื่นชมเย่หานซวนเป็นอย่างมากเพราะเย่หานซวนดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งต่างๆและมีเหตุผลมากที่สุด
การรุกของเย่หานรุ่ยก็รุนแรงขึ้นและดูเหมือนเย่หานรุ่ยตั้งใจที่จะฆ่าเย่หานหลินจริงๆ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เย่หานหลินค่อยๆรู้สึกถึงแรงกดดันจนค่อยๆเปลี่ยนจากการรุกเป็นการป้องกันอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นหากความมั่นใจในตนเองก่อนหน้านี้ของเย่หานหลินมาจากความประมาทของเย่หานรุ่ยล่ะก็เย่หานหลินก็ควรจะชัดเจนเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างตัวเขากับเย่หานรุ่ยและรู้ว่าเขาไม่มีทางที่จะปรับปรุงการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของเขาได้ ดังนั้นหากเขาต้องการชนะโอกาสเดียวคือเขาต้องใช้ทักษะของเย่เชียนเพื่อเอาชนะเย่หานรุ่ยในเวลาและจังหวะที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามเย่หานหลินก็ตระหนักดีว่าเขามีโอกาสทำเช่นนั้นเพียงครั้งเดียวและถ้าหากเขาทำไม่สำเร็จล่ะก็สถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญจะยิ่งเลวร้ายมากขึ้นไปอีกและจะไม่มีโอกาสพลิกกลับอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงต้องอดทนและรอจนกว่าจะถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมก่อนจะใช้ทักษะนั้น
เมื่อเห็นเย่หานรุ่ยได้เปรียบอย่างต่อเช่นนี้เย่หานห่าวกับเย่หานถิงก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มอย่างมีชัยเพราะพวกเขาเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจะต้องหวังผลลัพธ์เดียวกัน ถึงแม้ว่าเย่หานห่าวเองจะพยายามต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำของตระกูลเย่ด้วยก็ตามแต่เมื่อเผชิญหน้ากับเย่หานหลินที่เป็นลูกหลานของตระกูลสาขาแล้วในสายตาของเขาเย่หานหลินก็เป็นได้เพียงสุนัขรับใช้ ดังนั้นถ้าหากพี่ชายคนโตของเขาแพ้ล่ะก็ตระกูลเย่ก็จะเสียหน้า ซึ่งความเป็นจริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเย่หานรุ่ยนั้นไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันอย่างที่คนอื่นๆเคยเห็นแต่เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูต่างพรรคต่างพวกแล้วพวกเขาก็ต้องมองไปในทางเดียวกันและหลังจากที่คู่แข่งและศัตรูทั้งหมดถูกกำจัดไปแล้วทั้งสองก็จะแข่งขันแย่งชิงกันอีกครั้งเพื่อตำแหน่งผู้นำของตระกูลเย่เช่นเดียวกัน
หยานซื่อฉุยที่ด้านข้างไม่ได้ดูการต่อสู้ระหว่างเย่หานรุ่ยกับเย่หานหลินเลยแต่เธอจับจ้องไปที่ร่างกายของเย่หานถิง ซึ่งถ้าพูดตรงๆรูปลักษณ์ของหยานซื่อฉุยนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายซึ่งถ้าหากเธอแต่งตัวเป็นผู้หญิงล่ะก็เธอคงจะไปไหนมาไหนได้ทั่วทุกสารทิศและนอกจากหน้าอกเล็กๆของเธอแล้วใบหน้าของเธอก็ยังสวยอีกด้วย แต่นั่นเป็นเพราะประสบการณ์ในวัยเด็กของเธอที่ทำให้เธอไม่มีความประทับใจที่ดีต่อผู้ชายจนทำให้หัวใจและทัศนคติของเธอบิดเบี้ยวและกลายเป็นแบบที่เธอเป็นในตอนนี้ ส่วนเย่หานถิงนั้นนอกจากนิสัยแย่ๆของเธอเย่หานถิงก็ยังเป็นสาวงามที่มีใบหน้ารูปไข่ผมยาวคลุมไหล่สีดำสวยค่อนข้างดูเป็นผู้หญิงและผู้หญิงคนนี้ก็เต็มไปด้วยความยั่วยวนใจต่อหยานซื่อฉุยที่ดูมีเสน่ห์มากกว่าการต่อสู้ระหว่างเย่หานหลินและเย่หานรุ่ยสำหรับเธอ
เย่หานถิงก็รู้สึกได้ว่ามีดวงตาแปลกๆจ้องมองมาที่เธอและเมื่อเธอหันไปมองและเห็นว่าเป็นหยานซื่อฉุยที่มองเธอเช่นนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างเย็นชาเพราะเธอรู้ดีว่าหยานซื่อฉุยนั้นเป็นผู้หญิงและเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนผู้ชายกำลังจ้องมองตัวเองจนเธอรู้สึกอึดอัดและขนลุกไปทั้งตัว เย่หานถิงนั้นเป็นผู้หญิงที่มีรสนิยมทางเพศปกติเหมือนผู้หญิงทั่วๆไปและเธอก็เบื่อหน่ายกับการถูกคนแบบนี้จ้องมองมาอย่างยิ่ง
“คุณมองอะไร?..ถ้ายังไม่เลิกมองฉันจะควักลูกตาของคุณออกซะ!” เย่หานถิงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
หยานซื่อฉุยไม่ได้หงุดหงิดแต่เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณควรรู้สึกมีความสุขเมื่อคนอื่นจ้องมองคุณและนั่นหมายความว่าคุณดูมีเสน่ห์”
“หืม..นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครกำลังมองอยู่..แต่การถูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่รู้จ้องมาที่ฉันมันทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก” เย่หานถิงพูด
“แล้วผู้ชายมีดีอะไร?..อะไรที่ผู้ชายทำได้ผู้หญิงเองก็ทำได้เหมือนกัน..พวกผู้ชายมันอยากได้แค่ความสวย..อยากได้แค่ร่างกายของผู้หญิงแต่ผู้หญิงต่างกัน..ผู้หญิงน่ะเข้าใจผู้หญิงด้วยกันเองดีกว่าผู้ชายและรู้ว่าคุณต้องการอะไร..รู้เอาไว้นะว่าฉันน่ะทำได้ดีกว่าผู้ชายเสียอีก” หยานซื่อฉุยพูด
เย่หานถิงก็แสยะยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยามแล้วพูดว่า “คุณเป็นคนโรคจิต..ฉันไม่อยากคุยกับคนอย่างคุณ..หากคุณต้องการหาผู้หญิงสักคนล่ะก็ข้างนอกมีผู้หญิงเยอะแยะและคุณก็แค่ใช้เงินเพียงเล็กๆน้อยๆก็หาได้แล้ว”
“นี่เธอยังเด็กและไม่รู้ว่าพวกผู้ชายนั้นเลวแค่ไหน..แต่เมื่อไหร่ที่เธอรู้มันคงสายเกินไปที่จะเสียใจ” หยานซื่อฉุยพูดและเธอก็ไม่โกรธที่เย่หานถิงด่าเธอราวกับว่าเธอไม่ได้ใส่ใจเลยแต่ดูเหมือนว่าเธอกำลังเป็นห่วงเย่หานถิงจริงๆ
“หึ!” เย่หานถิงสูดลมหายใจอย่างเย็นชาและหันหน้าหนีไปแล้วไม่สนใจหยานซื่อฉุยอีก
เย่เชียนก็เบะปากเล็กน้อยและชื่นชมหยานซื่อฉุยคนนี้อย่างมากเพราะนี่เป็นสิ่งที่หาดูได้ยากเช่นกันเพราะภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวหยานซื่อฉุยกลับยังคงสามารถรักษาทัศนคติดังกล่าวได้ ซึ่งถ้าหากไม่ใช่เพราะความสงสารและความหวังดีของเธอจริงๆล่ะก็มันจะแสดงให้เห็นว่าเธอมีความอดทนที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ซึ่งถ้าหากเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีความอดทนเช่นนี้มันคงยากที่จะรับมือได้ ดังนั้นเย่เชียนต้องมองเธอแตกต่างไปจากเดิมอย่างไรก็ตามเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆว่าถ้าหากหยานซื่อฉุยกลายเป็นผู้หญิงเหมือนผู้หญิงทั่วๆไปในสักวันหนึ่งเขาก็นึกไม่ออกเลยว่าเธอจะเป็นอย่างไร
หยานซื่อฉุยนั้นเป็นผู้นำของสำนักม่อจื๊อและเป็นไปได้มากว่าในอนาคตเธอจะเป็นสิ่งกีดขวางที่ขัดขวางความก้าวหน้าของม่อหลงอย่างมาก ดังนั้นบุคคลเช่นนี้เย่เชียนจึงมีความคิดที่จะกำจัดโดยธรรมชาติแต่ในตอนนี้เขารู้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยานซื่อฉุยก็เป็นได้ ดังนั้นจึงดีกว่าที่จะไม่ทำอะไรเลยและดูการเปลี่ยนแปลงและรอวันเวลาที่เหมาะสมที่สุดจะเป็นการดีกว่า
เย่เชียนคิดแบบนี้และหยานซื่อฉุยเองก็มีความคิดแบบเดียวกันเพราะถึงแม้ว่าเธอจะไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเย่เชียนกับม่อหลงหรือการดำรงอยู่ของม่อหลงก็ตามแต่ด้วยการที่เย่เชียนเป็นสมาชิกของตระกูลเย่ดังนั้นเธอจึงต้องระมัดระวังให้มาก แต่แน่นอนว่าเธอยังรู้สึกถึงภัยคุกคามจากเย่เชียนเพราะโลกของนักสู้ตำรับโบราณก็เหมือนกับโลกภายนอกและมักจะมีการแย่งชิงสิทธิมากมาย ด้วยการที่ตระกูลเย่มีสถานะที่สูงในวงการตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นแน่นอนว่าหลายคนตั้งตารอการเผชิญหน้าของตระกูลเย่กับสำนักม่อจื๊ออย่างมาก ดังนั้นหยานซื่อฉุยจึงต้องแบกรับอนาคตของสำนักม่อจื๊ออย่างระมัดระวัง
สถานการณ์ในสังเวียนการประลองยังคงเหมือนเดิมเพราะเย่หานรุ่ยยังอยู่ในจุดที่เหนือกว่าแต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะเย่หานหลินได้ ซึ่งทำให้เย่หานรุ่ยกังวลและกดดันอย่างมาก หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาก็ไม่รู้จริงๆว่าควรจะทำอย่างไรเขาจึงเลือกที่จะโจมตีอย่างเต็มกำลังแต่ทั้งพละกำลังและความรวดเร็วของเขาก็จะยิ่งหมดลงถ้าหากการต่อสู้ยังดำเนินต่อไปอย่างยืดเยื้อและยิ่งนานเท่าใดเขาก็ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น
เย่หานห่าวและเย่หานถิงที่กำลังภาคภูมิใจในการต่อสู้ของเย่หานรุ่ยก็ถึงกับต้องขมวดคิ้ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าสถานการณ์ของเย่หานรุ่ยนั้นน่าอับอายมากและพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี
.
.