ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 771 มิตรสหายและพี่น้อง ตอนที่ 4
ตอนที่ 771 มิตรสหายและพี่น้อง ตอนที่ 4
นี่คือสิ่งที่เย่เชียนคาดหวังเอาไว้เพราะเย่หานรุ่ยหยิ่งผยองและประเมินตัวเองสูงเกินไป ซึ่งเย่หานรุ่ยนั้นไม่ยอมรับและไม่เชื่อว่าเขาจะแพ้ให้กับเย่หานหลินอีกครั้ง ดังนั้นเย่เชียนจึงกระตุ้นและยั่วยุด้วยคำพูดเพราะถ้าหากใช้เวลานานกว่านี้อีกสักเล็กน้อยเย่หานรุ่ยก็จะพบกับจุดจบและความพ่ายแพ้เท่านั้น
เย่หานหลินรู้อย่างชัดเจนถึงสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเขา ซึ่งความได้เปรียบของเขากลับถูกระงับทันทีและความคิดเดียวคือการป้องกันการรุกของเย่หานรุยพร้อมกับการยื้อเวลาเพราะตราบใดที่เวลาถูกยืดเยื้อออกไปล่ะก็เขาก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่อสวนกลับเมื่อเย่หานรุ่ยหมดแรง ดังนั้นเย่หานหลินจึงเปลี่ยนเป็นการป้องกันและตั้งรับอย่างสมบูรณ์
ตอนนี้เย่หานรุ่ยกำลังขี่เสืออยู่แล้วและไม่มีทางลงจากหลังของมันได้ดังนั้นเขาจึงต้องรวบรวมพละกำลังของเขาเพื่อโจมตีอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าจนเขาลืมที่จะตั้งรับและเขาก็ไม่เคยคิดที่จะตั้งรับอีกต่อไป อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เขางงงวยคือพื้นฐานการฝึกฝนของเย่หานหลินนั้นย่ำแย่กว่าตัวเขาอย่างมากแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจและมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขารู้สึกเช่นนั้นเพราะอันที่จริงเมื่อคนสองคนต่อสู้กันมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษะการต่อสู้เท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงสภาพจิตใจและสมาธิอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้เย่หานรุ่ยนั้นด้อยกว่าเย่หานหลินโดยสิ้นเชิง ดังนั้นความกระตือรือร้นและความตั้งใจที่จะชนะไม่เพียงแต่ไม่เสริมความแข็งแกร่งให้กับการต่อสู้เท่านั้นแต่ยังสามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
เย่หานหลินนั้นได้เปรียบกว่าเย่หานรุ่ยแล้วในตอนนี้และเขาก็เข้าใจทักษะและการโจมตีของเย่หานรุ่ยไม่มากก็น้อย นอกจากนี้ เขาต้องการที่จะแสดงสิ่งต่างๆให้เย่เชียนเห็นดังนั้นเขาจึงมีจิตวิญญาณการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามเขารู้ดีว่าเขาไม่ควรประมาทหรือใจร้อนเพราะบางครั้งการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระหว่างคนสองคนไม่ได้เกี่ยวกับระดับของทักษะการต่อสู้แต่เป็นสมาธิและสภาพจิตใจมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองคนแล้วเย่หานหลินนั้นมีสมาธิมากกว่า
เมื่อเห็นว่าการโจมตีของเย่หานรุ่ยค่อยๆสูญเสียความแข็งแกร่งลงไม่ได้รุนแรงและต่อเนื่องเหมือนก่อนหน้านี้แล้วเย่หานหลินก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มเพราะเขารู้ว่าโอกาสของเขามาถึงแล้ว เขากำลังถูกเย่หานรุ่ยโจมตีอยู่อย่างบ้าคลั่งและตอนนี้ในที่สุดเขาก็มีโอกาสที่จะโต้กลับแล้วและแน่นอนว่าเขาปฏิเสธที่จะพลาดโอกาสเช่นนี้ ทันใดนั้นเย่หานหลินก็โน้มตัวไปข้างหน้าและใช้ไหล่ของเขากระแทกใส่เย่หานรุ่ยอย่างรุนแรงจากนั้นเขาก็ใช้ฝ่ามือของเขากระแทกเข้ากับร่างกายของเย่หานรุ่ยทันที ซึ่งแรงกระแทกอันทรงพลังทำให้ร่างของเย่หานรุ่ยกระเด็นออกไปทันที เนื่องจากเย่หานหลินนั้นไม่รู้วิธีควบคุมความแข็งแกร่งของทักษะนี้เลยดังนั้นมันจึงไม่ได้ผ่อนแรงอะไรเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเดิมทีนี่เป็นทักษะที่เย่เชียนผสมผสานกับการโจมตีที่ทรงพลังมวยปาจี๋หลังจากการทดสอบจากการต่อสู้จริงมานับไม่ถ้วน แน่นอนว่าพลังการทำลายของมันไม่ควรถูกมองข้ามโดยธรรมชาติเพราะท้ายที่สุดเย่เชียนนั้นรู้ถึงแก่นแท้ของทักษะนี้ว่ามันแข็งแกร่งเพียงใดและสามารถสร้างความเสียหายให้กับอีกฝ่ายได้มากเพียงใดด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดค้นมันขึ้นมา แต่สำหรับเย่หานหลินนั้นเป็นของเลียนแบบล้วนๆถึงแม้ว่าจะมีเพียงรูปแบบการโจมตีที่เหมือนกันก็ตามแต่ด้วยพลังโจมตีอันทรงพลังนี้ร่างกายของเย่หานรุ่ยก็เป็นเหมือนว่าวที่กระเด็นออกไป
“ปัง” ร่างกายของเย่หานรุ่ยก็กระแทกลงไปที่พื้นอย่างแรงและกระเด็นออกไปหลายเมตรด้วยแรงกระแทกจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างลับๆโดยต้องบอกว่าเย่หานหลินนั้นมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จริงๆเพราะเย่หานหลินสามารถใช้ทักษะดังกล่าวได้เพียงแค่สังเกตจากตัวเองสองครั้งเท่านั้น ซึ่งครั้งแรกในตอนที่สู้กับตนและอีกครั้งตอนที่ตนสู้กับเย่หานห่าวแต่เย่หานหลินสามารถเรียนรู้ได้ถึงขนาดนี้เขาช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ผลลัพธ์นี้เป็นไปตามความคาดหวังของหยานซื่อฉุย ดังนั้นเธอจึงไม่แปลกใจอะไรมากนอกจากนี้เธอไม่มีความคิดที่จะสนใจการแข่งขันระหว่างเย่หานหลินและเย่หานรุ่ยเลยเพราะเธอเอาแต่จ้องมองไปที่เย่หานถิงโดยไม่กะพริบตา สำหรับเย่หานซวนนั้นเขาก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหัวและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ในความเป็นจริงถ้าหากเย่หานรุ่ยไม่ได้โจมตีอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าจนหมดแรงล่ะก็เขาจะไม่มีทางแพ้เลย แน่นอนว่าเย่หานซวนนั้นเห็นการเคลื่อนไหวของเย่หานหลินอย่างชัดเจนและถึงแม้ว่าเขาจะเห็นเย่เชียนใช้เพียงครั้งเดียวเมื่อตอนที่เย่เชียนต่อสู้ในการประลองศิลปะการต่อสู้ก่อนหน้านี้และเห็นได้ชัดว่าทักษะของเย่เชียนนั้นสูงกว่าของเย่หานหลินมาก ซึ่งในช่วงเวลาสั้นๆนี้หานหลินกลับสามารถใช้ทักษะนี้เพื่อให้บรรลุผลดังกล่าวได้ดังนั้นเย่หานซวนจึงมองเย่หานหลินว่าเป็นหนึ่งในอัจริยะจนเย่หานซวนรู้สึกว่าลูกหลานของตระกูลสาขาดูเหมือนจะค่อยๆเหนือกว่าลูกหลานของทายาทตระกูลหลักสายตรงขึ้นไปทุกที ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากเย่หานหลินได้รับอนุญาตให้ได้รับการศึกษาและเรียนรู้ทักษะการต่อสู้เช่นเดียวกับพวกเขาตั้งแต่วัยเด็กล่ะก็เกรงว่าทักษะในปัจจุบันของเย่หานหลินคงจะก้าวกระโดดและแตกต่างไปจากพวกเขามากใช่ไหม?
เย่หานห่าวและเย่หานถิงรีบเข้าไปช่วยเย่หานรุ่ยจากพื้น “พี่ใหญ่เป็นยังไงบ้าง?..พี่เป็นอะไรมากหรือเปล่า?” เย่หานถิงถามอย่างประหม่า
“ไม่..อะ..อะ..ไม่เป็นไร!” เย่หานรุ่ยตอบแต่ก็เกิดอาการไออย่างรุนแรงเพราะถึงแม้ว่าการโจมตีก่อนหน้านี้จะไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับเขามากนักแต่ก็ยังทำให้เขาหายใจไม่ออกราวกับว่ามีบางอย่างอุดตันอยู่ในหน้าอกของเขาและเขาก็หายใจไม่ออก เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่หานถิงก็รีบตบหลังเย่หายรุ่ยเบาๆเพื่อช่วยให้เขาหายใจอย่างราบรื่นขึ้น มันเป็นเพียงอาการบาดเจ็บภายในเล็กน้อยซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากนักแต่ถ้าหากเป็นเย่เชียนที่ใช้ทักษะนี้อย่างเต็มที่ล่ะก็มันสามารถที่จะฆ่าเย่หานรุ่ยในทันทีเลย ต่อให้จะไม่มีพลังของศิลปะการต่อสู้โบราณผสมอยู่ก็ตามแต่ก็สามารถหักซี่โครงของอีกฝ่ายได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวจนซี่โครงหักและทะลุหัวใจของอีกฝ่ายและทำให้เสียชีวิตในทันที อย่างไรก็ตามตอนจบนี้และผลลัพธ์นี้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดถึงแม้ว่าเย่หานรุ่ยจะจงใจฆ่าเย่หานหลินในการต่อสู้ก็ตามแต่เย่หานหลินก็ไม่ได้คิดแบบนั้น ซึ่งถ้าหากเย่หานหลินต้องการที่จะฆ่าเย่หานรุ่ยจริงๆล่ะก็เย่เชียนก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะเย่เจียอู๋คงจะโกรธมากและไม่ว่าใครจะถูกหรือผิดแต่ถ้าหากเย่หานหลินตายล่ะก็มันจะเลวร้ายอย่างมาก เพราะท้ายที่สุดแล้วทายาทสายตรงของตระกูลหลักคือการดำรงอยู่อย่างทรงคุณค่าสำหรับบตระกูลเย่แต่ตระกูลสาขาเป็นเพียงแค่เครื่องมือเท่านั้น
เย่ห่านห่าวก็จ้องไปที่เย่หานหลินอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วพูดอย่างดุเดือดว่า “ไอ้สุนัขรับใช้แกอยากตายมั้ย?..ถ้าพี่ใหญ่เป็นอะไรไปฉันจะไม่มีวันปล่อยแกไปแน่!..ฉันจะฆ่าแกให้ตาย!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็เดินเข้าไปตบหน้าเย่หานห่าวพร้อมกับเสียง “ผัวะ” จากนั้นเย่เชียนก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกว่า “แกกำลังขู่ใครงั้นเหรอ?..พวกแกเป็นฝ่ายมาขอสู้เองและตอนนี้พวกแกแพ้แล้ว..หืม..ทำไมล่ะแกไม่อยากยอมรับงั้นเหรอ?..อย่าคิดว่าทุกคนจะกลัวแกเพราะต่อให้แกคลานไปบอกท่านปู่ฉันก็ไม่กลัวหรอก!”
การแสดงออกของเย่หานห่าวก็เปลี่ยนไปในทันที ซึ่งพูดตามตรงเขายังมีความกลัวต่อเย่เชียนอยู่เพราะเขาได้สัมผัสถึงพลังบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ของเย่เชียนเป็นการส่วนตัวบนสังเวียนการประลองแล้ว อันที่จริงเขารู้อยู่แก่ใจว่ามันยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างตัวเขากับเย่เชียนอยู่ ดังนั้นหากเย่เชียนต้องการจะฆ่าเขาจริงๆล่ะก็มันคงจะเป็นเรื่องง่ายและยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่เขาพูดออกไปมันก็ไม่ถูกต้องจริงๆดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีจิตสำนึกที่รู้สึกผิดอยู่บ้าง
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “ตอนนี้ผลของการประลองก็ออกมาแล้วฉันหวังว่าแกจะทำตามสัญญานะ..ในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลเย่ฉันไม่คิดว่าแกจะกล้าแบกรับเรื่องนี้ใช่มั้ย?”
เย่หานห่าวและเย่หานถิงไม่รู้จะพูดอะไรดีและดูเหมือนพวกเขาจะสูญเสียอาการไปอย่างสมบูรณ์และการแสดงออกของเย่หานรุ่ยก็เปลี่ยนไปเพราะเขาเป็นถึงหลานชายคนโตของตระกูลเย่แต่เขาต้องคุกเข่าขอโทษตระกูลสาขามันจะไม่น่าอายและเสื่อมเสียเกียรติไปหน่อยเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็มีคนนอกอยู่ด้วยและเขาก็ได้เอ่ยปากยอมรับตกลงตามเงื่อนไขไปแล้ว ดังนั้นถ้าหากเขาผิดคำพูดอีกเขาคงจะไม่มีหน้ามีตาในสังคมได้อีกต่อไป
สถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจนี้ทำให้เย่หานรุ่ยสูญเสียอาการและสติไปอย่างมาก เมื่อเห็นสิ่งนี้เย่หานซวนก็รีบก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วโค้งคำนับจากนั้นก็พูดว่า “ผมต้องขอโทษคุณแทนพวกเขาด้วย..เพราะนี่คือบ้านของตระกูลเย่พวกเขาจึงไม่สามารถคุกเข่าขอโทษได้..ถ้าคนอื่นเห็นมันคงไม่ดีคุณคงไม่ได้คิดจะให้คนอื่นๆรู้เรื่องนี้ด้วยใช่มั้ย?”
เย่หานหลินก็หันไปมองเย่เชียนจากนั้นก็หันกลับมาแล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับความกรุณาของคุณ..หากเป็นในกรณีนี้มันก็ไม่สำคัญว่าคุณจะขอโทษหรือไม่ได้ขอโทษเพราะถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำขอโทษแต่มันก็ไม่ได้ออกมาจากปากของพวกเขา..เพราะงั้นคำขอโทษจึงไม่มีประโยชน์อะไรคุณเสียเวลาเปล่า..แต่ก็ช่างมันเถอะ”
เย่เชียนนั้นรู้ดีถึงสถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้ของตระกูลเย่ อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรในตระกูลเย่และถ้าหากผลการตรวจ DNA ออกมาว่าเขาไม่ใช่ลูกชายของเย่เจิ้งหรานล่ะก็แน่นอนว่าเย่เจียอู๋จะไม่ปฏิบัติต่อตนเองเช่นนี้ใช่มั้ย? ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากคำพูดของเย่เชียนเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างตระกูลหลักกับตระกูลสาขานั้นเย่เจียอู๋จึงไม่พอใจเขาอย่างมาก ดังนั้นในตอนนี้มันจึงไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องทำให้เย่เจียอู๋รู้สึกว่าเขาเป็นหนี้ตนอีกต่อไปแล้ว ซึ่งเย่หานหลินได้พูดเช่นนั้นแล้วเย่เชียนก็ต้องเห็นด้วยเพราะถ้าหากมีอะไรผิดพลาดเกรงว่ามันจะแย่สำหรับเย่หานหลินและเย่เชียนก็ไม่ต้องการให้เย่หานหลินมีปัญหากับตระกูลเย่ในตอนนี้
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีหยานซื่อฉุยอีกคนที่กำลังจ้องมองสิ่งต่างๆอยู่และผู้หญิงคนนี้ก็อยากให้เขาขัดแย้งกับเย่หานรุ่ยและคนอื่นๆเพื่อที่เธอจะได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาซึ่งเย่เชียนไม่ต้องการสิ่งนี้ ดังนั้นเย่เชียนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ในเมื่อคุณขอโทษแทนพวกเขาแล้วผมก็ไม่ต้องการยืดเยื้อเรื่องนี้อีกต่อไป..แต่มีอยู่อย่างหนึ่งถ้าหากพวกแกทำอะไรเย่หานหลินอีกในอนาคตล่ะก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน!”
ประโยคสุดท้ายถูกส่งถึงเย่หานรุ่ยและคนอื่นๆอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเย่เชียนจะดูน่าเกรงขามผสมกับการเย้ยหยันแต่เย่หานรุ่ยก็ไม่กล้าที่จะยั่วยุให้เกิดปัญหาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเขายังมีโอกาสจัดการกับเย่เชียนและเย่หานหลินอีกในอนาคต ดังนั้นในเวลานี้เขาจึงต้องอดทนและยับยั้งชั่งใจเอาไว้ชั่วคราว จากนั้นเย่หานรุ่ยก็หันหลังและเดินออกไปด้วยความโกรธส่วนเย่หานห่าวและเย่หานติงก็เดินตามไปอย่างรวดเร็ว แต่เย่หานซวนยังคงยืนอยู่ด้วยท่าทางขอโทษแล้วยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้เย่เชียนจากนั้นหันหลังและเดินตามพี่น้องเหล่านั้นไป
.
.