ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 774 โต้แย้งภายใน
ตอนที่ 774 โต้แย้งภายใน
ในห้องโถงทุกคนมารวมตัวกันทั้งเย่เจิ้งเซียง,เย่เจิ้งเฟิง,ถังซูหยานและลูกๆของพวกเขาก็กำลังรออยู่ที่นั่นแล้ว แน่นอนว่าอันซือกับเย่เหวินเองก็อยู่ที่นั่นโดยธรรมชาติแต่อันซือไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาและเมื่อเธอเห็นถังซูหยานดวงตาของอันซือก็เปลี่ยนไปเป็นโกรธเกรี้ยวทันที อย่างไรก็ตามถังซูหยานนั้นไม่ได้สบตาหรือเผชิญหน้ากับเธอเพราะถังซูหยานเพียงพยักหน้าอย่างสุภาพและยิ้มให้
อันที่จริงถึงแม้ว่าอันซือจะรู้จุดประสงค์ของเย่เจิ้งเซียงก็ตามแต่เธอก็จะไม่กังวลใดๆเลยเพราะเธอรู้ดีว่าเย่เชียนนั้นเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานและนี่คือความจริงไม่ว่าเย่เจิ้งเซียงต้องการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อย่างไรเขาก็ทำไม่ได้อยู่ดี
เมื่อเห็นเย่เจียอู๋เดินเข้ามาจากประตูทุกคนก็ยืนขึ้น ซึ่งสำหรับประเทศจีนแล้วการตรวจดีเอ็นเอเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยและสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีศูนย์ตรวจดีเอ็นเอในเมืองซานย่าอีกด้วย ซึ่งตัวอย่างเลือดของเย่เชียนที่ถูกเก็บในงานเลี้ยงวันเกิดและส่งต่อไปยังห้องตรวจสองมันก็เป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่ง
อารมณ์ของเย่เจียอู๋ยังคงดูประหม่าอยู่เล็กน้อยและบางส่วนก็ควบคุมไม่ได้เพราะเขาไม่รู้ว่าจะเผชิญกับผลตรวจที่ออกมาอย่างไร เพราะจากการสืบค้นของต้วนห่าวนั้นเป็นที่ชัดเจนว่าเย่เชียนไม่ใช่หลานชายของเขาแต่เขาก็ลังเลจริงๆที่จะรับคนที่มีพรสวรรค์อย่างเย่เชียนและอันที่จริงเขาก็ได้ตัดสินใจอยู่ในใจแล้วแต่เขาแค่ไม่ต้องการที่จะยอมรับมันเท่านั้นเอง
เย่หานรุ่ย,เย่หานห่าวและน้องสาวคนสุดท้องอย่างเย่หานถิงต่างก็เผยให้เห็นหน้าตาที่พึงพอใจระหว่างคิ้วของพวกเขาและพวกเขาได้บอกเย่เจิ้งเซียงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในตอนนี้และคิดว่าเย่เจิ้งเซียงนั้นส่งคนไปตามตัวเย่เชียนให้ในทันที เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการล้างแค้นให้ตัวเองและการลงโทษเย่เชียนกับเย่หานหลินจนทั้งสามคนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากแต่พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมเย่เจิ้งเซียงถึงเรียกทุกๆคนมาด้วยเหตุผลนี้
สำหรับเย่หานซวนเขามีปฏิกิริยาไม่มากแต่เขาแค่แอบสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่แม้แต่คนอย่างเย่เจียอู๋ก็ยังประหม่า หากเพียงเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เย่เจิ้งเซียงก็สามารถจัดการได้เพียงลำพังและตราบใดที่เขาไม่ทำอะไรที่มันเลยเถิดจนเกินไปและต่อให้เย่เจียอู๋จะไม่สบอารมณ์มากแค่ไหนถึงยังไงเย่เจียอู๋ก็จะไม่ทำอะไรอย่างแน่นอน ดังนั้นเย่หานซวนจึงรู้สึกแปลกๆว่ามันต้องมีบางอย่างที่สำคัญกว่าเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
สีหน้าของเย่เหวินดูกังวลและกลัวเล็กน้อยและเธอก็ดูอึดอัดมากเพราะเธอชัดเจนมากเกี่ยวกับจุดประสงค์ของการมาเยือนบ้านตระกูลเย่ในครั้งนี้ ซึ่งเธอคิดว่าตอนนี้ทุกคนในห้องโถงดูเหมือนจะรู้สิ่งต่างๆแล้วและท่าทางของพวกเขาก็จริงจังมากหากเป็นกรณีนี้เธอกับแม่และเย่เชียนเพียงสามคนก็ไม่มีทางที่จะออกจากไปบ้านของตระกูลเย่ได้เลย ซึ่งเธอไม่ได้กังวลเกี่ยวกับชีวิตหรือความตายของเธอแต่เธอไม่อยากเห็นอันซือเจ็บปวดอีกเพราะท้ายที่สุดอันซือแม่ของเธอต้องทนทุกข์ทรมานมาหลายปีแล้วและในที่สุดมันก็เป็นวันที่ดีแต่จนถึงตอนนี้เธอยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงและเธอก็ไม่สามารถทำได้เพราะเธอทำได้เพียงแค่รอดูการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น
เย่เจียอู๋นั่งลงกลางห้องและเหลือบมองผู้คนทั้งหมดแล้วถามว่า “เสี่ยวเชียนยังไม่มาอีกเหรอ?..เจิ้งเซียงแกส่งคนโทรไปเรียกเขามาหรือยัง?”
เย่เจิ้งเซียงก็พยักหน้าเบาๆแล้วพูดว่า “ผมส่งคนไปที่ตามแล้ว..เขาน่าจะมาถึงในไม่ช้านี้”
“อืม!” เย่เจียอู๋ตอบสั้นๆและไม่ได้พูดอะไรอีก ส่วนถังซูหยานที่เห็นท่าทางของเย่เจียอู๋ที่ด้านข้างและเธอก็รู้สึกเย็นชาในใจอย่างช่วยไม่ได้เพราะหลังจากที่เธอใช้เวลาอยู่กับเย่เจียอู๋มานานหลายปีเธอก็รู้โดยธรรมชาติว่าเย่เจียอู๋นั้นคิดอะไรอยู่ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ถังซูหยานใจสั่นเพราะเนื่องจากเย่เจียอู๋มีเจตนาฆ่าต่อเย่เชียนนั่นก็เห็นได้ชัดว่าเย่เจียอู๋คิดว่าเย่เชียนคงจะไม่ใช่ลูกชายของเย่เจิ้งหรานแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นถึงซูหยานก็ไม่อยากเชื่อเพราะถ้าจะพูดถึงความคุ้นเคยเธอก็เชื่อว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้สึกคุ้นกับเย่เจิ้งหรานไปมากกว่าเธอ ซึ่งความรู้สึกที่เย่เชียนเปิดเผยออกมานั้นชัดเจนมากว่ามันคือความรู้สึกที่เย่เจิ้งหรานให้กับเธอ ดังนั้นถังซูหยานจึงเชื่อในเย่เชียนว่าเขาจะต้องเป็นลูกของเย่เจิ้งหรานอย่างแน่นอน บางทีอาจมีความเข้าใจผิดในเรื่องนี้หรือมีคนกำลังสร้างปัญหาก็เป็นได้ถังซูหยานแอบคิดอย่างลับๆ หากมีสิ่งใดที่เธอต้องทำล่ะก็มันคงจะเป็นการพูดแทนเย่เชียนและถึงแม้ว่าความจริงจะปรากฏออกมาว่าเย่เชียนไม่ใช่ลูกชายของเย่เจิ้งหรานจริงๆก็ตามเธอก็จะไม่เสียใจเลยเพราะเธอรู้สึกดีกับเย่เชียนมาก
ขณะพูดเย่เชียนกับเย่หานหลินก็เดินเข้ามาจากประตูและเย่เชียนก็เดินนำมาด้วยท่าทางที่เงียบสงบโดยไม่มีความกังวลหรือประหม่าเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าเย่เชียนกล้าหาญแต่เขารู้ดีว่าสิ่งที่ควรเผชิญมักจะต้องเผชิญเสมออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่ต้องเดาเลยว่าจุดประสงค์ของการมาเยือนตระกูลเย่ในครั้งนี้คือการพิสูจน์ตัวตนของเขาและตอนนี้เขาก็จะได้พิสูจน์แล้วมันจึงเป็นเรื่องที่ดี
เมื่อเห็นเย่หานหลินเข้ามาใบหน้าของเย่เจียอู๋ก็แข็งทื่อเล็กน้อยและเขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า “ที่นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเอ็งเพราะงั้นออกไปซะ!”
ความยิ่งใหญ่ของเย่เจียอู๋ยังคงหนักแน่นมากจนเย่หานหลินไม่มีคำคัดค้านใดๆเขาจึงพยักหน้าเบาๆและกำลังจะออกจากประตูไป ส่วนเย่เชียนก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกันเพราะในเวลานี้การตัดสินใจของเย่เจียอู๋ไม่ได้ผิดเพราะถึงแม้ว่าจะเป็นการเลือกปฏิบัติเล็กน้อยแต่การสนทนาก็เกี่ยวกับครอบครัวภายในนั้นเย่หานหลินก็ไม่ควรเข้าร่วมจริงๆ ดังนั้นเมื่อเห็นสถานการณ์ดังกล่าวเย่เชียนก็เดาได้คร่าวๆว่ามันต้องเป็นผลจากการตรวจ DNA อย่างแน่นอน
“เดี๋ยวหยุดก่อน!” เย่เจิ้งเซียงตะโกนเรียกเย่หานหลินจากนั้นเขาก็หันไปมองเย่เจียอู๋แล้วพูดว่า “ท่านพ่อมีอีกอย่างที่ผมต้องจัดการก่อนและมันก็เป็นเรื่องของเขา”
เย่เจียอู๋ก็ถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้เขาจึงพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นเย่เจิ้งเซียงก็หันหน้าไปมองเย่หานหลินแล้วพูดว่า “แกควรรู้ว่าแกทำอะไรลงไป..ไหนลองพูดสิแกทำร้ายหานรุ่ยใช่มั้ย?”
เย่หานรุ่ยก็หยุดเล็กน้อยและคิดอย่างลับๆว่าเขาเดาถูกเย่เจิ้งเซียงนั้นกำลังสร้างปัญหาให้เขาจริงๆแต่ในเมื่อเขากล้าที่จะทำเขาก็ควรกล้าที่จะยอมรับมัน ดังนั้นเย่หานหลินจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ใช่!..ผมทำให้นายน้อยหานรุ่ยบาดเจ็บแต่..”
“ไม่มีแต่ทั้งนั้น!” เย่เจิ้งเซียงขัดจังหวะเขาและพูดว่า “แกเป็นแค่ตระกูลสาขาแต่ยังกล้าที่จะทำร้ายหานรุ่ยงั้นเหรอ?..แกมันไร้ค่าในสายตาของทุกคนนี่แกกำลังพยายามจะกบฏงั้นเหรอ?..ดูเหมือนว่าพวกเขาคงจะปล่อยให้พวกตระกูลสาขาทำตามอำเภอใจไปหน่อยแล้วเราควรจะเอาจริงเอาจังสักที..ถ้าฉันไม่สอนบทเรียนให้กับแกตระกูลเย่คงจะถูกหัวเราะเยาะในอนาคตอย่างแน่นอน”
มุมปากของหานรุ่ยอดไม่ได้ที่จะแสดงออกถึงชัยชนะและเขาก็ภาคภูมิใจมากเพราะการเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเย่นั้นเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจจริงๆจนเขาอดคิดในใจไม่ได้ว่าต่อให้เย่หานหลินจะเก่งแค่ไหนหรือมีความสามารถมากแค่ไหนแต่มันเป็นได้เพียงแต่สุนัขรับใช้จากตระกูลสาขาเท่านั้น
“จับตัวมันซะ..เอาตัวมันไปอยู่ในห้องขังและรอฉันไปจัดการ!” เย่เจิ้งเซียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพูดเพราะในฐานะผู้นำของตระกูลเย่สิทธิและคำสั่งเช่นนี้ย่อมมีโดยธรรมชาติและเย่เจียอู๋ก็ไม่ได้คัดค้านใดๆเพราะท้ายที่สุดแล้วความแตกต่างระหว่างตระกูลหลักกับตระกูลสาขานั้นก็คงอยู่มานานนับพันปี ดังนั้นการที่สมาชิกตระกูลสาขาทำร้ายทายาทของตระกูลหลักนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้อย่างยิ่ง
“เดี๋ยวก่อน!” เย่เชียนพูด
เย่เจิ้งเซียงหันไปเหลือบมองเย่เชียนแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเอ็งเพราะงั้นเอ็งก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง..เอ็งยังไม่ใช่สมาชิกของตระกูลเย่อย่างเป็นทางการและเอ็งก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้ามาแทรกแซงเรื่องในตระกูลเย่..นอกจากนี้ถึงแม้ว่าเอ็งจะเข้ามาในฐานะทายาทของตระกูลเย่ก็ตามแต่ฉันมีสิทธิ์จัดการกับสมาชิกทุกคนในตระกูลเย่!..ไม่มีใครมีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซงทั้งนั้น”
“ผมไม่ได้ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลเย่..ผมแค่อยากจะถามผู้นำตระกูลว่ากฎของตระกูลเย่นั้นมีเอาไว้เพื่อการพัฒนาที่ดีขึ้นของตระกูลเย่ไม่ใช่หรอ?..เพราะงั้นไม่ว่าใครก็ตามในตระกูลเย่ที่ไม่ซื่อสัตย์และภักดีก็ควรจะถูกลงโทษต่อให้จะเป็นสมาชิกของตระกูลหลักก็ตาม..แบบนี้มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยไม่ใช่หรอ?” เย่เชียนพูด
“เกิดอะไรขึ้น?” เย่เจิ้งเซียงถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดว่า “ความจริงก็อยู่ตรงหน้าแล้วเพราะเย่หานหลินทำร้ายหานรุ่ยและทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเพราะงั้นตามกฎของตระกูลเย่แล้วเย่หานหลินควรจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง..แบบนี้มันมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?”
“ถ้าแบบนั้นมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก” เย่เชียนพูด “ตอนนั้นผมก็อยู่ในที่เกิดเหตุและผมก็เห็นอย่างชัดเจน..ผมเชื่อว่านายน้อยหานรุ่ยน่าจะรู้ดีที่สุดว่าใครถูกหรือใครผิด..ในฐานะหลานชายคนโตของตระกูลเย่แล้วก็ควรจะเป็นคนที่เถรตรงไม่ใช่คนปลิ้นปล้อนที่ไม่สามารถยอมรับความจะพ่ายแพ้บนสังเวียนการประลองศิลปะการต่อสู้และมาแก้แค้นลับหลังแบบนั้น..แต่ที่แย่กว่านั้นคือเขาดันล้มเหลวอีกครั้งและยังไม่ยอมรับจนต้องมาฟ้องพ่อแบบนี้..หึ..ถ้าทายาทสายตรงของตระกูลเย่จะเป็นคนไร้ความสามารถขนาดนี้คุณยังจะมีหน้าไปควบคุมตระกูลสาขาอยู่อีกเหรอ?”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็หันไปมองเย่หานรุ่ยและพูดว่า “ไหนนายน้อยหานรุ่ยช่วยพูดถึงสถานการณ์จริงๆหน่อยว่ามันเป็นมายังไง..นอกจากนี้นายน้อยยังตกลงยอมรับเงื่อนไขของการประลองที่ยุติธรรมและตรงไปตรงมากับหานหลินแล้วไม่ใช่เหรอ?..ถ้าคุณแพ้คุณบอกจะทำตามเงื่อนไขของผมแต่ตอนนี้กลับใช้วิธีการตอบโต้ที่น่ารังเกียจแบบนี้มันไม่น่าอายเกินไปหน่อยเหรอ?..ถ้าเรื่องแบบนี้หลุดออกไปถึงหูของคนภายนอกผมคิดว่าหน้าตาในสังคมของตระกูลเย่คงจะหายไปอย่างน่าอับอายใช่มั้ย?”
“ท่านลุงครับ..พี่ใหญ่เป็นคนผิดจริงๆ..สิ่งที่เขาทำนั้นน่าอับอายมากเพราะเขาไม่เพียงแค่ดูหมิ่นหานหลินแต่ยังดูถูกเย่เชียนอีกด้วย..ผมคิดว่าหานหลินไม่สมควรถูกตำหนิเลย..ดังนั้นผมหวังว่าท่านลุงจะปฏิบัติตามกฎของตระกูลนะครับ” เย่หานซวนพูด ซึ่งเขาพูดดีอย่างมากเพราะเขาไม่ได้โต้แย้งกับเย่เจิ้งเซียงโดยตรงเหมือนที่เย่เชียนทำแต่เขากลับพูดอย่างมีเหตุผลว่าเย่หานรุ่ยนั้นเป็นฝ่ายผิดจริงๆ
“หานซวน!..แกควรจะรู้นะว่าตัวเองเป็นใคร..แกไปเข้าข้างสุนัขรับใช้และหมาข้างถนนที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ไหนได้ยังไงกัน” เย่หานรุ่ยพูดอย่างโกรธเคือง
“ช่างกล้าดีนี่!” เย่เจียอู๋ก็ขมวดคิ้วและตะโกนเสียงดังและความยิ่งใหญ่ที่เล็ดลอดออกมาจากทั่วร่างกายของเขาทำให้เย่หานรุ่ยถึงกับตัวสั่นด้วยความตกใจและปิดปากของเขาไปในทันที ถึงแม้ว่าเย่เจียอู๋จะเข้าใจในความแตกต่างระหว่างตระกูลหลักสายตรงกับตระกูลสาขาก็ตามแต่ท้ายที่สุดแล้วตระกูลเย่ก็อาศัยตระกูลสาขาเพิ่มพัฒนาอยู่ดีและไม่มีทางที่จะพัฒนาได้ตามลำพังเพราะในหลายๆด้านพวกเขาก็ต้องพึ่งพาความสามารถของตระกูลสาขาเช่นกัน
.
.
.
.
.
.