ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 775 นี่หรือตระกูลเย่
ตอนที่ 775 นี่หรือตระกูลเย่?
ถึงแม้ว่าเย่เจียอู๋จะยืนกรานเสมอถึงความแตกต่างระหว่างตระกูลหลักกับตระกูลสาขาก็ตามแต่เย่เจียอู๋ก็รู้ดีว่าสำหรับตระกูลเย่แล้วมันไม่มีทางที่จะเติบโตได้เพียงอาศัยตระกูลหลักเท่านั้น ดังนั้นถึงแม้ว่าทัศนคติของเขาที่มีต่อตระกูลสาขาจะไม่ค่อยดีนักแต่อย่างน้อยๆเขาก็ยังคงมีเหตุผลอยู่บ้าง
ตอนนี้เย่หานรุ่ยได้ดูถูกเหยียดหยามและใส่ร้ายตระกูลสาขาอย่างโจ่งแจ้งดังนั้นหากสิ่งนี้ไปถึงหูของสมาชิกตระกูลสาขาล่ะก็พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร? พวกเขาจะรู้สึกว่าการทำงานหนักหน่วงของพวกเขาเป็นเวลาหลายปีนั้นไร้ค่าและพวกเขาก็จะรู้สึกว่าพวกเขาเป็นได้แค่ทาสที่คอยทำตามคำสั่งของตระกูลเย่และพวกเขาก็จะผิดหวังในอนาคตของตระกูลเย่จนพวกเขาละทิ้งตระกูลเย่ไปทีละนิด ซึ่งผลที่ตามมานั้นคาดเดาไม่ได้เลย
เย่เจียอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะแอบคิดว่าบางทีเขาควรสนับสนุนตามสิ่งที่เย่เชียนพูดจริงๆและเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกตระกูลหลักกับตระกูลสาขาอย่างชัดเจนเลยเพราะในยุคนี้ถ้าเขาจะทำเหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อนก็ไม่ใช่แล้ว หากตระกูลต้องการทันสมัยในยุคใหม่และต้องการให้ตระกูลเย่พัฒนาต่อไปเขาก็ต้องใช้พลังทั้งหมดในตระกูลไม่ใช่แค่พึ่งพาลูกหลานทายาทของตระกูลหลักเท่านั้นเพราะท้ายที่สุดทายาทของทายาทสายตรงดูเหมือนจะไม่มีความสามารถมากนักในยุคนี้และตระกูลเย่ก็อาจจะพังทลายเร็วกว่านี้หากถูกส่งมอบให้กับพวกเขา
ใบหน้าของเย่เชียนก็มืดมนอย่างมากเพราะเย่หานรุ่นทำให้เขาโกรธ ดังนั้นเย่เชียนจึงมองไปที่เย่หานรุ่ยและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกว่า “ถ้าแกอยู่ข้างนอกป่านนี้ฉันคงฆ่าแกไปแล้ว!”
เจตนาฆ่าอันเย็นยะเยือกที่เย่เชียนเปิดเผยออกมาทำให้ทุกคนสั่นสะท้านและแม้แต่เย่เจียอู๋เองก็ไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งทุกคนอดไม่ได้ที่จะผงะและประหลาดใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามเย่เจียอู๋,เย่เจิ้งเซียง,เย่เจิ้งเฟิงและคนอื่นๆไม่ได้กลัวแต่กลับประหลาดใจที่เย่เชียนมีออร่าและแรงกดดันที่ทรงพลังเช่นนี้และนี่คือเจตนาฆ่าที่สมบูรณ์แบบและเป็นเจตนาฆ่าที่ได้มาการแลกด้วยเลือดและไฟแห่งความตายเท่านั้น
อย่างไรก็ตามคำขู่ของเย่เชียนทำให้เย่เจิ้งเซียงอึดอัดมากเพราะท้ายที่สุดที่นี่คือตระกูลเย่และมีคนนอกกล้าที่จะข่มขู่ลูกชายของเขาต่อหน้าเขาซึ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูไม่สบอารมณ์อย่างมาก เมื่อได้ยินเช่นั้นเย่เจิ้งเซียงก็มองไปที่เย่เชียนแล้วพูดว่า “เย่เชียนแกหยิ่งผยองเกินไปแล้ว..แกควรรู้สถานะของตัวเองเพราะนี่คือตระกูลเย่..มันไม่ใช่สถานที่ที่แกจะทำอะไรก็ได้..ไหนแกจะฆ่าใคร?”
“เย่เจิ้งเซียงแกเองก็อย่าหยิ่งผยองจนเกินไปเพราะนี่คือตระกูลเย่และเย่เชียนก็เป็นลูกของเจิ้งหราน..มันสมควรแล้วเหรอที่จะปล่อยให้ลูกชายของตัวเองดูถูกเหยียดหยามคนอื่นแต่พอคนอื่นพูดบ้างแกกลับไม่สบอารมณ์..แกนี่ช่างลำเอียงจริงๆแล้วแบบนี้แกจะมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นผู้นำของตระกูลเย่งั้นเหรอ?” อันซือสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ฉันยังไม่ได้แก้แค้นกับเรื่องที่แกทำในตอนนั้นเลยนะ” เมื่อเธอเห็นการเผชิญหน้าของเย่เชียนกับเย่เจิ้งเซียงแล้วอันซือก็มีความสุขมากและเป็นธรรมดาที่จะสนับสนุนเย่เชียนอย่างจริงจังและกระตุ้นให้พวกเขาทำสงครามกัน
“อันซือ!..สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือความผิดพลาดของเธอเองทั้งหมด..ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแล้วฟู่จื้อซานจะท้าทายตระกูลเย่ได้ยังไง..ยิ่งไปกว่านั้นน้องสองของฉันจะตายได้ยังไง?..การที่ฉันไม่ฆ่าเธอก็ถือว่าเมตตามากแค่ไหนถ้าไม่เห็นแก่น้องสองล่ะก็ฉันคงจะฆ่าเธอไปแล้ว!..เธอคิดว่าถ้าฉันไม่ล้มเลิกการไล่ฆ่าเธอล่ะก็เธอจะยังมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้หรือเปล่า?” เย่เจิ้งเซียงพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว
“นี่อาจเป็นสิ่งที่แกพลาดที่สุดในชีวิตของแกเพราะการที่แกไม่ได้ฆ่าฉันในตอนนั้นฉันก็เลยสะสมความอัปยศและความแค้นมานานหลายปี..ถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องทวงความยุติธรรมจากแก” อันซือพูดต่อ “ท่านพ่อก็อยู่ที่นี่ด้วยเพราะงั้นเหตุการณ์ในครั้งท่านน่าจะรู้ดีกว่าใคร..เพราะฉะนั้นฉันขอให้ท่านตัดสินใจอย่างยุติธรรมด้วย..ถ้าท่านพ่อไม่ได้บาดเจ็บสาหัสในสมัยก่อนนั้นท่านคงไม่มีโอกาสได้นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำตระกูลจนถึงทุกวันนี้..ย้อนกลับไปเมื่อตระกูลฟู่ท้าทายตระกูลเย่คุณเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเหมือนที่หดหัวอยู่แต่ในกระดองและทิ้งทุกอย่างให้เจิ้งหรานเผชิญหน้า..ฉันคิดว่าท่านน่าจะรู้ดีกว่าใครๆว่ามันเป็นเพราะความตายของทุกๆคนท่านถึงสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำได้”
ถังซูหยานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและท่าทางของเธอดูอึดอัดอย่างมากเพราะเธอยังชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งต่างๆในสมัยก่อนเช่นกันและเธอก็รู้ว่าคำพูดของอันซือนั้นมีความจริงบางอย่างอยู่แต่มันก็ดูเลวร้ายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเหตุผลที่ตระกูลฟู่ต้องท้าทายตระกูลเย่นั้นทั้งหมดก็เป็นเพราะอันซือและถ้าไม่ใช่เพราะอันซือล่ะก็เย่เจิ้งหรานก็คงจะไม่ต้องตายเพราะการต่อสู้ครั้งนั้น ถึงแม้ว่าการต่อสู้จะจบลงด้วยชัยชนะของเย่เจิ้งหรานแต่ทุกๆคนในตระกูลเย่ก็รู้ดีว่าสงครามครั้งนั้นทั้งสองฝ่ายเสมอกันและถึงแม้ว่าฟู่จื้อซานจะเสียชีวิตในสงครามครั้งนั้นแต่เย่เจิ้งหรานก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในอีกหนึ่งเดือนต่อมา ดังนั้นหากต้องการพูดถึงเรื่องนี้จริงๆถังซูหยานก็ยังคงมีความเกลียดชังต่ออันซืออยู่บ้างแต่หลังจากผ่านไปนานหลายปีความเกลียดชังของถังซูหยานก็ค่อยๆหายไปเพราะเธอเป็นคนจิตใจดีโดยกำเนิดและถังซูหยานก็รู้สึกว่าเธอไม่ควรเกลียดอันซือเพราะเห็นแกการที่อันซือมีลูกกับเย่เจิ้งหราน นอกจากนี้ลึกๆแล้วเธอเองก็ยังไม่ชัดเจนว่าใครถูกและใครผิดกับเหตุการณ์ในสมัยก่อน แต่สิ่งที่เธอรู้ก็คืออันซือเป็นเพียงผู้หญิงที่ยากจนและน่าสงสารคนหนึ่ง
“กล้าพูดจริงๆ” เย่เจิ้งเซียงตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “น้องสองต่อสู้อย่างหนักหน่วงเพื่อตระกูลเย่ในตอนนั้นและเขาก็เป็นวีรบุรุษของตระกูลเย่..เล่ห์ร้อยมารยาสตรีของเธอมันเป็นสิ่งที่เลวร้ายจริงๆ..พูดมาซะ!..ว่าวันนี้เธอมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไร..มันคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการพยายามล้างแค้นตระกูลเย่ใช่มั้ย?..ฉันขอบอกเลยนะว่าตราบใดที่ฉันอยู่ที่นี่เธอจะไม่มีโอกาสนั้น!”
“ใช่!..ฉันเกลียดตระกูลเย่แต่เกลียดเฉพาะแกเท่านั้น..ตำแหน่งผู้นำของตระกูลเย่ควรเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น..ด้วยเหตุนี้ฉันจึงพาเย่เชียนมาที่นี่เพื่อให้เขาจำบรรพบุรุษของเขาได้และทวงคืนสิ่งที่เป็นของเขากลับมา” อันซือพูด
ถังซูหยานนั้นไม่ได้พูดอะไรเลยและเธอก็ดูเหมือนคนนอก เดิมทีนั้นเธอเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเย่เจิ้งหรานแต่อันซือกลับพูดแบบนี้และประกาศตัวเองว่าเป็นภรรยาของเย่เจิ้งหรานอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามถังซูหยานก็ไม่เคยคิดที่จะโต้เถียงกับอันซือเพราะเธอไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งต่างๆของตระกูลเย่ ในตอนนั้นมันทำให้ใจของเธอแตกแหลกสลายอย่างที่อันซือพูดก่อนหน้านี้ที่ตระกูลฟู่ท้าทายตระกูลเย่นั้นทุกๆคนรวมไปถึงเย่เจิ้งซียงไม่ได้ทำอะไรแต่กลับปล่อยให้เย่เจิ้งหรานสู้อยู่คนเดียวทั้งๆที่เขาก็รู้ชัดเจนว่าในตอนนั้นพลังของเย่เจิ้งหรานเริ่มแย่ลงเนื่องจากการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่หนักหน่วงจนเกินไปไม่เช่นนั้นมันจะไม่จบแบบนั้นอย่างแน่นอน
ความเป็นจริงแล้วในสมัยก่อนนั้นเย่เจิ้งหรานได้ผนึกพลังที่ชั่วร้ายเอาไว้ในร่างกายของเย่เชียนแต่เนื่องจากเย่เจิ้งหรานไม่สามารถควบคุมมันได้เขาจึงถูกพลังอันชั่วร้ายโจมตีและได้รับบาดเจ็บภายใน ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะทักษะที่ยอดเยี่ยมของเย่เจิ้งหรานล่ะก็เขาคงจะเสียชีวิตในทันทีและถึงแม้ว่าเขาจะไม่ตายแต่มันก็เป็นอาการบาดเจ็บสาหัสร้ายแรงและแน่นอนว่าความเจ็บปวดนั้นไม่สามารถจินตนาการได้เลย หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์นี้ฟู่จื้อซานอาจจะสู้เย่เจิ้งหรานไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“หึหึ…” เย่เจิ้งเซียงอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “อันซือ..เธอนี่มันเป็นคนโง่เขลาจริงๆ..เธอไม่รู้หรือว่าโลกใบนี้มีเทคโนโลยีขั้นสูงแล้ว?..พวกเราได้ทำการตรวจดีเอ็นเอเรียบร้อยแล้ว..ฉันจะบอกความจริงให้ฟังนะเราได้เก็บตัวอย่างเลือดของเย่เชียนไปแล้วระหว่างงานเลี้ยงวันเกิดและส่งไปที่ห้องแล็บเพื่อทำการเปรียบเทียบและตรวจสอบดีเอ็นเอจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว”
อันซือก็ฉีกยิ้มเช่นกันแล้วพูดว่า “ทองแท้ไม่กลัวไฟ..แน่นอนฉันเองก็รู้ว่าโลกใบนี้มันมีเทคโนโลยีการเปรียบเทียบดีเอ็นเอแล้ว..แต่ความจริงก็คือความจริง..แกไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก”
“จริงเหรอ?” เย่เจิ้งเซียงยิ้มอย่างเย็นชาและหันไปชำเลืองมองเย่เจียอู๋แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ..ผลการตรวจดีเอ็นเอออกมาแล้ว”
เย่เจียอู๋นั้นไม่เคยขัดจังหวะการทะเลาะวิวาทระหว่างเย่เจิ้งเซียงกับอันซือเลยเพราะเขาแค่อยากจะเป็นผู้ยืนดูและเห็นสิ่งต่างๆให้ชัดเจนขึ้น ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเย่เจิ้งเซียงแล้วเย่เจียอู๋ก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “มาดูกันเถอะ..ผลการตรวจดีเอ็นเอเป็นยังไงบ้าง?”
“จากการเปรียบเทียบดีเอ็นเอของทายาทตระกูลเย่กับเย่เชียน..ผลออกมาคือไม่มีค่าความสัมพันธ์ทางสายเลือด!” เย่เจิ้งเซียงพูด “ถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือเย่เชียนไม่ใช่ลูกชายของน้องสองของเขาแต่เป็นตัวปลอม”
ทันทีที่เขาพูดเย่เจิ้งเฟิงที่อยู่ด้านข้างก็ถึงกับตกตะลึงและเขาก็เหลือบมองเย่เจิ้งเซียงด้วยความประหลาดใจและกำลังจะเปิดปากของเขาเพื่อพูดอะไรบางอย่างแต่เมื่อเขากำลังจะพูดเย่เจิ้งเซียงก็จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ดุร้ายเพื่อหยุดเขาไม่ให้พูดต่อ ส่วนการแสดงออกของเย่เจียอู๋แข็งทื่อและดูน่าเกลียดมากเพราะปรากฏว่าคนที่อยู่จุดสูงที่สุดในตระกูลเย่กลับถูกคนอื่นหลอกและความภาคภูมิใจในตนเองของเขาก็ทำให้เขายอมรับความจริงข้อนี้ได้ยาก รู้ทั้งรู้ว่าโลกใบนี้มันมีเทคโนโลยีการเปรียบเทียบ DNA แต่คนเหล่านี้กลับเมินเฉยและคิดว่าตัวเองโง่ขนาดนั้นเชียวหรือ?
ถังซูหยานก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อเพราะความรู้สึกของเธอที่มีต่อเย่เชียนช่างจริงใจราวกับว่าพวกเขารู้จักกันมาเป็นเวลานาน นอกจากนี้ทั้งคำพูดการกระทำและการแสดงออกของเย่เชียนก็คล้ายกับเย่เจิ้งหรานแต่ปรากฏว่าเย่เชียนไม่ใช่ลูกชายของเย่เจิ้งหรานซึ่งทำให้เกิดความคาดหมายของเธอไปมาก
อันซือก็ถึงกับขมวดคิ้วและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “เย่เจิ้งเซียง!..แกต้องการปิดบังความจริงงั้นเหรอ?..ฉันรู้ว่าแกกลัวอะไร!..แกกลัวว่าเย่เชียนจะกลับมาและแย่งทุกอย่างไปจากแกใช่มั้ย?..ยังไงก็เถอะความจริงก็คือความจริงและไม่ว่าแกจะเปลี่ยนแปลงยังไงมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้หรอก..ฉันไม่เชื่อในผลการตรวจดีเอ็นเอของแก..ถ้าจะพิสูจน์จริงๆพวกเราทั้งหมดควรจะไปรับผลตรวจด้วยกันและร่วมเป็นพยานในตอนนั้นสิ”
คำพูดของอันซือทำให้ความสงสัยส่วนใหญ่ของเย่เชียนหายไปเพราะถ้าหากเขาไม่ใช่ลูกชายของเย่เจิ้งหรานจริงๆล่ะก็อันซือก็น่าจะประหม่าและกระวนกระวายและจะไม่มั่นใจแบบนั้น ‘ฉันเป็นลูกของเธอจริงๆงั้นเหรอ?’ เย่เชียนอดคิดไม่ได้
คิ้วของเย่เจียอู๋ก็ขมวดเข้าหากันแน่นและเขาเห็นการโต้เถียงของทั้งสองเขาก็ไม่รู้จะเชื่อใครอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองเย่เจิ้งเฟิงที่ด้านข้างและพบว่าใบหน้าของเย่เจิ้งเฟิงดูผิดปกติไปจนเขาถึงกับตกตะลึงย “เจิ้งเฟิง!..แกเป็นคนรับผิดชอบในการตรวจดีเอ็นเอเพราะงั้นบอกฉันทีว่าผลการทดสอบเป็นยังไง?..มันควรมีเอกสารผลการตรวจดีเอ็นเอใช่มั้ย?..เอามันออกมาให้ฉันดูเดี๋ยวนี้!” เย่เจียอู๋พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
.
.
.
.
.