ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 776 ผลจรวจดีเอ็นเอ
ตอนที่ 776 ผลจรวจดีเอ็นเอ
ในความเป็นจริงเย่เจียอู๋นั้นเป็นคนที่มีเหตุมีผลอย่างมากแต่เขาแค่แกล้งทำเป็นสับสนในหลายๆเรื่องในตระกูลเย่และเมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเหล่าพี่น้องและเครือญาติต่อสู้กันซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของเขา เช่นเดียวกับจักรพรรดิคังซีซึ่งเป็นปราชญ์ในเวลานั้นแต่กลับถูกลูกชายทั้งเก้าคนแย่งชิงบัลลังก์ แน่นอนว่าในสมัยก่อนนั้นเย่เจิ้งเซียงมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำจัดฟู่จื้อซานและถ้าหากเย่เจิ้งเซียงสามารถรับมือกับฟู่จื้อซานได้ล่ะก็ตระกูลเย่ก็คงจะไม่ตกต่ำและเย่เจิ้งหรานก็คงจะไม่ตาย
แต่เรื่องต่างๆมันก็ได้เกิดขึ้นแล้วดังนั้นจากมุมมองของการพิจารณาโดยรวมและเพื่อให้ตระกูลเย่เดินหน้าต่อไปเย่เจียอู๋จึงต้องแต่งตั้งให้เย่เจิ้งเซียงเป็นผู้นำของตระกูลเย่คนต่อไป ซึ่งนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงแม้เย่เจียอู๋จะไม่เคยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆของตระกูลเย่มาหลายปีแล้วแต่เขาก็ยังคอยควบคุมอำนาจและกองกำลังหน่วยลับเอาไว้โดยไม่ได้มอบให้กับเย่เจิ้งเซียง
เย่เจียอู๋นั้นมีลูกชายสามคนและลูกคนที่สองคือเย่เจิ้งหรานที่หลงใหลในศิลปะการต่อสู้และไม่สนใจอำนาจมากนัก ดังนั้นถึงแม้ว่าเย่เจียอู๋ต้องการให้เขาสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ก็ตามแต่ด้วยบุคลิกและทัศนคติของเย่เจิ้งหรานนั้นเขาไม่เหมาะกับตำแหน่งผู้นำ ส่วนเย่เจิ้งเฟิงเป็นก็คนตรงไปตรงมาและมักจะทำสิ่งต่างๆอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเขาเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้นำตระกูลเย่แต่บางครั้งเขาก็มักจะลังเลใจและขาดความกล้าอย่างมากและศิลปะการต่อสู้ของเขาก็ไม่ได้ยอดเยี่ยม ด้วยเหตุนี้ลูกชายคนโตอย่างเย่เจิ้งเซียงที่เด็ดขาดและดุดันรวมไปถึงศิลปะการต่อสู้ของเขาก็ไม่ธรรมดาดังนั้นเขาจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะมอบตระกูลเย่เขาให้ แต่เย่เจียอู๋ยังลังเลเพราะเขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องอย่างไรจึงทำให้เกิดผลลัพธ์ดังกล่าว เนื่องจากเกิดความบาดหมางระหว่างพี่น้องจนทำให้ตระกูลเย่เกิดความวุ่นวายจนลูกชายของถังซูหยานหายตัวไปอย่างลึกลับและไม่มีข่าวคราวนับตั้งแต่นั้นมา ในตอนนี้ที่อันซือพาเย่เชียนมาปรากฏตัวจึงทำให้ถังซูหยานมีความสุขอย่างมากและเธอก็ต้องการให้เย่เชียนเป็นลูกของเย่เจิ้งหรานจริงๆเพื่อที่เธอจะได้ชดเชยความผิดพลาดในอดีตและทำให้หัวใจของเธอรู้สึกดีขึ้น
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเย่เจียอู๋ถึงให้เย่เจิ้งเฟิงเป็นคนรับผิดชอบในการทดสอบ DNA เพราะเขารู้ดีว่าด้วยนิสัยของเย่เจิ้งเฟิงนั้นเขาอาจทำให้ข้อเท็จจริงบิดเบือนได้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นเย่เจิ้งเซียงกับอันซือถกเถียงกันอย่างหนักหน่วงเย่เจียอู๋จึงหันไปมองเย่เจิ้งเฟิงแทน
“คือว่า…” เย่เจิ้งเฟิงก็ประหม่าอย่างมากและดวงตาของเขาก็เหลือบไปหาเย่เจิ้งเซียงโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเย่เจิ้งเซียงก็ยังคงขยิบตาให้เขาพร้อมกับการคุกคามที่ชัดเจนในสายตา ในสถานการณ์เช่นนั้นผู้ที่มีไหวพริบก็จะสามารถเห็นได้ในทันทีว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น
“พูดออกมาซะ!..แกจะเป็นคนขาดความมั่นใจและไม่กล้าตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองไปตลอดชีวิตรึไงกัน!” เย่เจียอู๋พูดต่อ “พวกแกอย่าคิดว่าฉันเป็นคนโง่ล่ะ..ที่ฉันให้แกรับผิดชอบในการตรวจดีเอ็นเอนั่นก็เพราะฉันเชื่อใจแกและอยากให้แกตัดสินใจอะไรเองสักที..อย่าคิดว่านอกจากแกแล้วฉันจะไม่ไว้ใจใครให้ไปทำการตรวจสอบดีเอ็นเองั้นเหรอ?!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หานซวนก็สะกิดแขนของเย่เจิ้งเฟิงอย่างเงียบๆและขยิบตาให้เพื่อเพิ่มความมั่นใจ จากนั้นเย่เจิ้งเฟิงก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ผลการตรวจดีเอ็นเอคือ..เย่เชียนเป็นทายาทของตระกูลเย่จริงๆ!”
ทันทีที่คำพูดของเย่เจิ้งเฟิงออกมาใบหน้าของเย่เจิ้งเซียงก็เต็มไปด้วยความโกรธและความมืดก็ปกคลุมใบหน้าของเขาทันที และเขามองเย่เจิ้งเฟิงอย่างดุร้าย แต่ใบหน้าของเย่เจียอู๋นั้นเปลี่ยนไปและน่ากลัวอย่างยิ่งเพราะต่อหน้าเขาแล้วเย่เจิ้งเซียงกลับโกหกและเสแสร้งกับเขาอย่างเห็นได้ชัดโดยไม่เกรงกลัวเขาซึ่งทำให้เย่เจียอู๋รู้สึกโกรธและผิดหวังอย่างมากจนเย่เจียอู๋คิดอย่างลับๆว่าความหลงระเริงในอำนาจของเย่เจิ้งเซียงนั้นมากเกินไปจนทำให้เขากลายเป็นคนละคน ซึ่งเย่เจียอู๋ก็คาดเดาว่าในอนาคตเย่เจิ้งเซียงคงต้องการกำจัดเขาด้วยซ้ำ
เมื่อได้ยินเช่นนี้เย่เชียนก็ไม่มีความสุขนักเพราะถึงแม้ว่าเขาจะโหยหาความอบอุ่นจากครอบครัวมานานแต่เขารู้สึกผิดหวังมากเมื่อเห็นสถานการณ์ในตระกูลเย่และเย่เชียนก็รู้ดีว่าในครอบครัวเช่นนี้เขาจะไม่สามารถรู้สึกถึงความอบอุ่นในครอบครัวเลยแม้แต่น้อยเพราะมันจะเต็มไปด้วยการต่อสู้แย่งชิงอำนาจและทุกคนก็อยากที่จะครอบครองทุกอย่าง เมื่อเทียบกับชายชราพ่อของเขาแล้วเย่เชียนก็รู้สึกว่าโลกนี้ช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้าหากเป็นไปได้เย่เชียนก็อยากที่จะหวังว่าสิ่งนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นและเขาไม่เคยพบกับอันซือและไม่เคยมาเหยียบที่บ้านของตระกูลเย่ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้นไปแล้วและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือย้อนกลับได้เลย
อันซือก็ฉีกยิ้มอย่างมีชัยและพูดว่า “เย่เจิ้งเซียง..แกมันเลว!”
ใบหน้าของเย่เจียอู๋ก็มืดมนและน่ากลัวและเขาก็จ้องมองไปที่เย่เจิ้งเซียงแล้วพูดว่า “แกมีอะไรจะอธิบายหรือเปล่า?”
“ท่านพ่อครับ..ผมแค่..” เย่เจิ้งเซียงพูดอย่างประหม่า “ผมแค่ต้องการตรวจสอบอย่างละเอียด..ผมเกรงว่าผลการตรวจดีเอ็นเอจะผิดพลาดเพราะงั้นผมจึงต้องการตรวจสอบอีกครั้งและรอการยืนยันอย่างละเอียดกว่านี้!”
“แกกลัวว่าผลการทดสอบจะผิดพลาดหรือกลัวว่าการทดสอบจะออกมาแบบนี้กันแน่!..ตอนนี้ผลการทดสอบก็ออกมาแล้วแต่แกยังหลอกลวงฉันอีก..ฉันคิดว่าแกเริ่มกล้าขึ้นเรื่อยๆแล้วสินะ..แกคิดว่าฉันทำอะไรไม่ได้แล้วใช่มั้ย?” เย่เจียอู๋พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “อย่าคิดว่าเพราะฉันแก่แล้วแกจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ..ฉันเตือนไปแล้วนะว่าตระกูลเย่ไม่ใช่ของแกคนเดียว..หึ!”
เห็นได้ชัดว่าเย่เจิ้งเซียงเริ่มควบคุมอาการไม่ได้และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธเมื่อเขามองไปที่เย่เจิ้งเฟิง หากไม่ใช่เพราะเย่เจิ้งเฟิงบอกความจริงออกไปล่ะก็ใครจะรู้ได้? นั่นเป็นเพราะเย่เจิ้งฟิงไม่กล้าที่จะโกหกแม้แต่ประโยคเดียวเพราะในตระกูลเย่นั้นเย่เจียอู๋ยังคงมีอำนาจสูงสุด ถึงแม้ว่าเย่เจิ้งเซียงจะเป็นผู้นำตระกูลเย่ก็ตามแต่ตราบใดที่เย่เจียอู๋พูดอะไรเย่เจิ้งเฟิงก็จะกลัวทันที นอกจากนี้เย่เจียอู๋ก็ยังมีอำนาจลึกลับและทรงพลังอยู่ในมืออีกด้วย
“เรื่องนี้ฉันจะจัดการกับแกทีหลัง!” เย่เจียอู๋พูดพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นเขาก็หันไปมองเย่เจิ้งเฟิงและพูดด้วยความผิดหวังและโกรธเกรี้ยวว่า “แกแก่มากจนเกือบจะเป็นปู่ของเด็กๆเหล่านี้ได้แล้วแต่แกกลับไม่มีความกล้าและความแน่วแน่เลย..แกสมควรที่จะเป็นทายาทของตระกูลเย่ของเรามั้ย?..ฉันเองก็ไม่แน่ใจและฉันก็ผิดหวังมาโดยตลอด”
เย่เจิ้งเฟิงก็รู้สึกละอายใจและก้มหน้าลงโดยไม่พูดอะไรใดๆ
จากนั้นเย่เจียอู๋ก็เหลือบมองเย่เชียนและผ่อนคลายลงจากนั้นเขาก็พูดว่า “เสี่ยวเชียนตอนนี้ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเอ็งเป็นทายาทของตระกูลเย่และเอ็งจะอยู่กับตระกูลเย่ในอนาคต..พรุ่งนี้ฉันจะพาเอ็งไปกราบไหว้บรรพบุรุษอย่างเป็นทางการและเอ็งจะอยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลของตระกูลเย่นับตั้งแต่นี้ไป”
เย่เชียนจะพูดอะไรได้อีกในตอนนี้และเขาทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วตกลง
“อันซือ!..เธอทนทุกข์ทรมานมานานหลายปีแล้วและทุกคนก็ควรหยุดถกเถียงกันได้แล้วว่าใครถูกหรือใครผิดในสมัยก่อน..เธอมีลูกให้กับเจิ้งหรานเพราะงั้นตระกูลเย่ของเราจึงเป็นหนี้บุญเธอ..หากในอนาคตเธอมีความต้องการอะไรเธอก็แค่พูดออกมา..ถ้าฉันสามารถทำได้ฉันก็ยินดีช่วย” เย่เจียอู๋พูดเบาๆ
ของคำพูดของเย่เจียอู๋นั้นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าอดีตก็คืออดีตและใครถูกหรือผิดก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ซึ่งถึงแม้ว่าเย่เจียอู๋จะไม่พอใจกับการกระทำของเย่เจิ้งเซียงในครั้งนี้แต่เย่เจิ้งเซียงก็ยังคงเป็นผู้นำของตระกูลเย่และถ้าหากยังไม่มีทายาทที่เหมาะสมกับผู้นำล่ะก็เย่เจียอู๋คงต้องปล่อยให้เย่เจิ้งเซียงนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นต่อไปก่อน สิ่งนี้ทำให้เขาไม่สามารถละทิ้งสิ่งต่างๆได้เพราะเขารู้มานานแล้วว่าเย่เจิ้งเซียงเป็นคนยังไง แต่แม้ว่าเย่เจิ้งเซียงจะร้ายกาจแต่ก็เป็นผู้นำที่ดีเช่นกันเพราะภายใต้การดูแลของเย่เจิ้งเซียงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตระกูลเย่ก็มีพัฒนาที่ค่อนข้างดีและถึงจะไม่ประสบความสำเร็จมากนักแต่ก็ค่อยๆก้าวหน้าและเติบโตทีละน้อย
ถึงแม้ว่าอันซือจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยแต่เธอไม่สะดวกที่จะพูดมากกว่านี้ในตอนนี้เพราะเป้าหมายแรกของเธอสำเร็จแล้วตราบใดที่เธออาศัยอยู่ในตระกูลเย่ได้และถึงแม้ว่าเย่เจิ้งเซียงจะไม่พอใจกับเธอแต่เขาก็ไม่กล้าทำอะไรเธออยู่ดี ดังนั้นตราบใดที่เธอสามารถอยู่ในบ้านของตระกูลเย่ได้เธอก็จะมีโอกาสแก้แค้นในอนาคต
“เจิ้งเซียง..แกไปเตรียมการสำหรับการสักการะบรรพบุรุษ..เรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้วเพราะงั้นอย่าคิดอะไรโง่ๆอีก..ไม่ว่าในกรณีใดเย่เชียนก็เป็นทายาทของตระกูลเย่และฉันไม่ต้องการให้ใครดูถูกเขาอีกไม่งั้นก็อย่ามาโทษฉันที่โหดร้ายก็แล้วกัน..ไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น!” เย่เจียอู๋พูดอย่างฉุนเฉียว
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เจียอู๋ก็พูดว่า “เอาล่ะๆทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว..ส่วนเสี่ยวเชียนเอ็งอยู่ต่อเพราะฉันมีอะไรจะพูดกับเอ็งหน่อย”
“ท่านพ่อยังมีเรื่องอื่นอีกครับ!” เย่เจิ้งเฟิงพูดอย่างเร่งรีบ
เย่เจียอู๋ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “มีอะไรอีก?”
“ตอนที่ผมส่งตัวอย่างเลือดไปที่ศูนย์ตรวจดีเอ็นเอผมแอบเอาผมของพี่สะใภ้ซูหยานเปรียบเทียบด้วย..ผลตรวจปรากฏออกมาว่าเย่เชียนกับพี่สะใภ้ซูหยานมีความสัมพันธ์แบบแม่ลูกกัน!” เย่เจิ้งเฟิงพูด “ในสมัยก่อนทุกคนรู้ดีกว่าพี่สองกับอันซือมีลูกด้วยกันแต่เป็นลูกสาวและพวกเขาก็ไม่เคยมีลูกชายจึงทำให้ผมสงสัย..ด้วยเหตุนี้ผมจึงตัดสินใจเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว” จากนั้นเย่เจิ้งเฟิงก็หันไปมองถังชูหยานอีกครั้งและพูดว่า “ผมขอโทษครับพี่สะใภ้ที่ผมตัดสินใจโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคุณ..ผมเป็นคนขอเส้นผมของพี่สะใภ้กับเสี่ยวฉุยเอง”
ทันทีที่คำพูดนั้นจบลงมันก็เหมือนกับสายฟ้าจากท้องฟ้าสีครามและทุกคนก็ถึงกับตกตะลึง แน่นอนว่าเย่เชียนและถังชูหยานก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันและทั้งคู่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขารู้สึกคุ้นเคยกันมาก ปรากฏว่าพวกเขาทั้งสองเป็นแม่และลูกกันนั่นเอง สีหน้าของทุกคนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงและไม่มีใครคาดคิดว่าเย่เจิ้งเฟิงจะพูดแบบนี้ออกมาอย่างกะทันหัน ส่วนเย่เจียอู๋ก็คาดไม่ถึงเลยว่าเย่เจิ้งเฟิงจะมีด้านที่ชาญฉลาดเช่นนี้อยู่ด้วย
การแสดงออกของเย่เจิ้งเซียงก็เปลี่ยนไปเป็นร่องรอยของความพึงพอใจและเมื่อเขามองไปที่อันซือด้วยสีหน้าที่ดูถูกเขาก็คิดกับตัวเองว่า “ช่างน่าสมเพชจริงๆตัวเองพยายามอย่างเหน็ดเหนื่อยแต่คนอื่นกลับได้ประโยชน์แทน!”
.
.
.
.
.
.
.