ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 778 อดีตที่ผ่านมา (2)
ตอนที่ 778 อดีตที่ผ่านมา (2)
ถังซูหยานก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้เพราะก่อนหน้านี้เธอมีความเห็นอกเห็นใจและสงสารอันซือมาโดยตลอดแต่ตอนนี้เมื่อเผชิญกับความจริงอันซือกลับปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเธอยังคงเคียดแค้นอยู่ฝ่ายเดียว ถังซูหยานไม่ใช่คนโง่เพราะเธอเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักถังดังนั้นถังซูหยานจึงรู้จุดประสงค์ของอันซือได้โดยธรรมชาติ
ถังซูหยานก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ใช่!..ปานรูปดาบนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเพราะฉันเชื่อว่าเจิ้งหรานก็เคยบอกคุณเหมือนกันแต่เนื่องจากคุณบอกว่าเย่เชียนเป็นลูกของกับเจิ้งหรานเพราะงั้นคุณก็ควรจะชัดเจนเกี่ยวกับร่างกายของเขามากกว่าปานรูปดาบสิ..ถ้าอย่างนั้นบนร่างกายของเย่เชียนมีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์อีกบ้าง?..หรืออะไรอีกที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเย่เชียนเป็นลูกชายของคุณ ”
“หืม?..เย่เชียนเป็นลูกของฉันและฉันก็รู้ว่ามันมีอะไรอยู่บนร่างกายของเขาบ้าง” อันซือพูด “แล้วเธอล่ะบอกว่าเย่เชียนเป็นลูกของเธอเพราะงั้นเธอมีหลักฐานอะไรบ้าง?”
ถังซูหยานก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เพราะเหตุผลที่เธอพูดแบบนี้คือให้โอกาสอันซือบอกความจริงกับเธอ หากเป็นกรณีนี้เธอจะได้มีเหตุผลในการขอร้องเย่เจียอู๋ในการลงโทษอันซือ แต่ตอนนี้อันซือกลับดื้อรั้นและเธอก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร
“ตอนที่เย่เชียนยังเด็กเขาเคยเล่นกับไฟและบังเอิญพลาดจนไฟไหม้ต้นขาของเขาด้วยเหล็กร้อนและมีแผลไฟไหม้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่โคนต้นขาของเขา” ถังซูหยานพูดจากนั้นเธอก็หันไปมองเย่เชียนแล้วพูดต่อ “ฉันพูดถูกมั้ย?”
เย่เชียนนั้นไม่มีข้อสงสัยใดๆในเวลานี้เพราะต้นขาของเขามีแผลไฟไหม้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่โคนต้นขาของเขาเมื่อตอนที่เขายังเด็กแต่มันหายเป็นปกติหลังจากผ่านไปหลายปีแต่เย่เชียนก็ยังคงจำมันได้อย่างชัดเจน ซึ่งมีคนไม่มากที่รู้เรื่องเรื่องนี้และแม้แต่ชายชราเองก็ยังไม่รู้ ดังนั้นเนื่องจากถังซูหยานสามารถพูดสิ่งนี้ได้อย่างมั่นใจนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าเธอเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงของเขา ยิ่งไปกว่านั้นความรู้สึกที่ถังซูหยานมอบให้เย่เชียนนั้นก็เป็นความรู้สึกที่ชัดเจนว่าเลือดข้นกว่าน้ำและความคุ้นเคยนั้นก็มีมาแต่กำเนิดและนี่คือสิ่งที่เรียกว่าสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก
ทุกคนหันมามองเย่เชียนราวกับรอการตัดสินใจของเขาและเย่เจียอู๋เองก็ยังกระหายคำตอบของเย่เชียนอย่างใจจดใจจ่อเช่นกันเพราะถ้าหากเย่เชียนเป็นลูกชายของถังซูหยานกับเย่เจิ้งหรานก็คงจะดี แต่สำหรับอันซือเธอดูประหม่าอย่างมากเพราะสถานการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่เธอไม่คาดคิด แต่ในเวลานี้เธอก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้และคนอื่นๆก็อยู่ที่นี่ด้วย แน่นอนว่าอันซือไม่กลัวความตายเพราะหัวใจของเธอตายไปแล้วและเธอก็ไม่เคยที่จะยอมแพ้ ซึ่งสิ่งเดียวที่เธอเสียใจก็คือการที่เธอไม่ได้แก้แค้นตระกูลเย่และล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายของเธอ
“แม่ครับ!” เย่เชียนสะอื้นร่ำไห้และสวมกอดถังชูหยานทันที เมื่ออันซือบอกว่าเป็นแม่ของเขาเย่เชียนกลับไม่ได้แสดงพฤติกรรมเช่นนี้แต่สำหรับถังชูหยานแล้วเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะทำเช่นนี้ ซึ่งถึงแม้ว่าเมื่อคืนนี้จะเป็นเพียงการพบกันภายในระยะเวลาสั้นๆก็ตามแต่หัวใจของเย่เชียนก็ประทับใจในตัวถังซูหยานอย่างสมบูรณ์และความคุ้นเคยที่เป็นผู้หญิงใจดีและใจกว้างคนนี้มอบให้เขานั้นทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย
คำพูดและการกระทำของเย่เชียนทำให้หัวใจของอันซือเย็นชาและคลื่นแห่งความกลัวไม่สามารถอัดอั้นอีกต่อไปได้ ส่วนถังวูหยานก็มีสีหน้าที่ดูมีความสุขและมือของเธอสั่นเล็กน้อยจากนั้นเธอก็กอดเย่เชียนและตบหลังของเย่เชียนเบาๆแล้วพูดว่า “ลูกแม่!..แม่ขอโทษนะ!” มีคำพูดนับพันคำอยู่ในใจของเธอในเวลานี้แต่เธอไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเพราะลูกชายที่ถูกพรากจากกันมานานกว่า 20 ปีจู่ๆก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอดังนั้นเธอจะไม่ตื่นเต้นได้ยังไง? ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาถังซูหยานคิดถึงลูกชายของเธอตลอดเวลาแต่เธอก็รู้ดีว่าความหวังที่ลูกชายของเธอจะยังคงมีชีวิตรอดอยู่นั้นน้อยมากแต่เธอก็ยังไม่ยอมรับโดยคิดว่าลูกชายของเธอยังมีชีวิตอยู่และในที่สุดเธอก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่รู้สึกผิดต่อเย่เจิ้งหรานแล้วเพราะเธอพบสายเลือดที่เหลืออยู่ของเขาแล้ว
สีหน้าของเย่เจิ้งเซียงก็เปลี่ยนไปและใบหน้าของเขาดูมืดมนอย่างมาก เขารู้ดีว่าเป็นเวลาหลายปีแล้วที่เย่เจียอู๋รู้สึกผิดต่อเย่เจิ้งหรานและเช่นเดียวกันกับถังซูหยาน ดังนั้นถ้าหากเด็กคนนั้นปรากฏตัวกลับมาเขาก็กลัวว่าเย่เจียอู๋จะรักเด็กคนนั้นเป็นพิเศษและกลัวว่าลูกชายของเขาจะไม่สามารถแข่งขันกับเย่เชียนในฐานะผู้นำตระกูลได้เลยใช่ไหม? เย่เจิ้งเซียงนั้นก็ชัดเจนมากเกี่ยวกับความสามารถของลูกชายของเขาถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่โง่เขลาแต่เขาก็ไม่ใช่คนที่มีสติปัญญาและมีไหวพริบเลย อย่างมากที่สุดเขาก็แค่ถูกมองว่าเป็นคนธรรมดาเท่านั้นแต่เย่เชียนกลับไร้ซึ่งความกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าปัญหาซึ่งสามารถสงบสติอารมณ์ได้และเอาชนะเย่หานห่าวลูกชายของเขาในการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้จนทำให้เย่เจียอู๋ประทับใจและดูเหมือนเย่หานห่าวกับเย่หานรุ่ยจะด้อยกว่ามาก ด้วยเหตุนี้เย่เชียนจะต้องเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปของตระกูลเย่อย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่เย่เจิ้งเซียงไม่อยากเห็น
นอกจากนี้ยังมีถังซูหยานที่คอยสนับสนุนเย่เชียนอยู่อีกและบางทีเธออาจจะเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆของตระกูลเย่มากขึ้นกว่าเดิมเพราะก่อนหน้านี้เธอไม่สนใจว่าผู้นำตระกูลเย่จะเป็นใครแต่ตอนนี้ลูกชายของเธอกลับมาแล้ว ดังนั้นถังซูหยานจะต้องคาดหวังและคอยสนับสนุนลูกชายของเธออย่างแน่นอน เย่เจิ้งเซียงนั้นรู้ดีว่าเบื้องหลังของถังซูหยานคือสำนักถังที่ยิ่งใหญ่และมีศักดิ์ศรีและสถานะมากมายในวงการศิลปะการต่อสู้และแม้แต่ตระกูลเย่ก็ต้องกลัวหากถังซูหยานสนับสนุนเย่เชียนอย่างเต็มที่ในฐานะผู้นำตระกูลเย่ ซึ่งนั่นหมายความว่าสำนักถังก็จะสนับสนุนโดยธรรมชาติเช่นกัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ลูกชายสองคนของเขาก็ไม่มีสิทธิ์แข่งขันกับเย่เชียนได้เลย
ตระกูลโบราณทั้งหมดนั้นล้วนมีทายาทที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อสืบทอดตระกูลเพียงอย่างเดียวแต่พวกเขายังเกี่ยวข้องกับโลกศิลปะการต่อสู้โบราณด้วย ส่วนใหญ่พวกเขายังคงได้รับอิทธิพลบางอย่างจากโลกภายนอกตัวอย่างเช่น สำนักหรือตระกูลใดที่มีสถานะที่สูงในโลกศิลปะการต่อสู้พวกเขาก็มักจะได้รับการสนับสนุนโดยตระกูลหรือสำนักอื่นๆ ซึ่งสิ่งใดสามารถช่วยเหลือกันนั้นนั่นก็เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง
เย่เจิ้งเฟิงไม่ได้มีสีหน้าอะไรมากมายแต่รู้สึกว่าเขาได้พูดบางอย่างที่ควรพูดออกไปแล้วและเขาก็รู้สึกโล่งใจและสบายใจอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงหันไปเหลือบมองเย่หานซวนลูกชายของเขาซึ่งกำลังพยักหน้าด้วยรอยยิ้มให้เขา อันที่จริงความคิดนี้มาจากเย่หานซวนและเขายังบอกเป็นนัยให้เย่เจิ้งเฟิงบอกความจริงในตอนนี้ นั่นเป็นเพราะเย่หานซวนอยู่ในกองทัพมานานแล้วเขาจึงตระหนักถึงเหตุผลของสิ่งต่างๆได้และได้เห็นความสามารถของเย่เชียนด้วยตาของเขาเองแล้วดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าควรมอบตระกูลเย่ให้กับเย่เชียนดีกว่าที่จะมาตกอยู่ในมือของเย่หานรุ่ย
เย่หานรุ่ยกับเย่หานห่าวนั้นตกใจอย่างเห็นได้ชัดผสมกับความโกรธเพราะไม่ว่าเย่เชียนจะเป็นสมาชิกในตระกูลเย่หรือไม่ก็ตาม พวกเขาก็จะไม่มีวันปล่อยเย่เชียนเพราะพวกเขาไม่ยอมให้ใครมาแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่กับพวกเขาอย่างแน่นอน
เย่เจียอู๋นั้นรู้สึกมีความสุขอย่างมากเพราะหลานชายที่หายไปกว่า 20 ปีได้กลับมาในที่สุดและยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนที่มีความสามารถและกล้าหาญ ดังนั้นในอนาคตเขาจะต้องมอบตระกูลเย่ให้กับเย่เชียนและสิ่งต่างๆมันจะต้องยอดเยี่ยมอย่างมาก
“อันซือ..เธอต้องการจะพูดอะไร?..เธอมีจุดประสงค์อะไรในการหลอกลวงเสี่ยวเชียนและทำให้เขาคิดว่าเธอเป็นแม่ของเขากัน?” เย่เจิ้งเซียงฉวยโอกาสจากสถานการณ์ดังกล่าวและตอบโต้อันซือ
“ฉันไม่ได้ต้องการหลอกลวง..ฉันพลาดเองเพราะฉันไม่ได้คิดว่าพวกแกจะใช้ผมของซูหยานไปทำการเปรียบเทียบดีเอ็นเอ..เอาเถอะความจริงเย่เชียนนั้นไม่ใช่ลูกชายของฉันจริงๆ..แต่เรื่องที่ตระกูลเย่ไล่ฆ่าฉันเมื่อสมัยก่อนฉันแค่อยากทวงความยุติธรรมของฉันก็เท่านั้นเอง” อันซือพูดต่อ “เมื่อฉันพบเย่เชียนครั้งแรกฉันอยากจะฆ่าเขาแต่ฉันก็รู้สึกว่ามันคงง่ายไปหน่อยเพราะฉันอยากให้ครอบครัวของพวกแกเข่นฆ่ากันเองทั้งปู่กับหลานและลูกกับแม่เพื่อจะได้ลบล้างความแค้นในใจ..ฉันจะไม่ขอโทษใครและถ้าพวกแกอยากจะฆ่าฉันก็เชิญเพราะฉันไม่มีความสามารถในการต่อสู้อีกต่อไปแล้ว..ตระกูลเย่ของพวกแกเก่งในการกลั่นแกล้งคนที่อ่อนแอกว่าไม่ใช่รึไง?”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะอันซือก็หันไปมองเย่เจิ้งเซียงแล้วพูดว่า “เย่เจิ้งเซียงอย่าภูมิใจเกินไปล่ะเพราะถึงแม้ว่าฉันจะตายและกลายเป็นผีฉันก็จะไม่ปล่อยแกไป..ชีวิตของแกต้องเป็นของฉันและมันต้องเป็นความตายที่น่าสมเพชเท่านั้น..แกน่ะเกิดมายากจนและน่าสมเพชมากกว่าฉันอีก”
คำพูดของอันซือทำให้ทุกคนประหลาดใจและทุกคนก็หันไปมองเย่เจิ้งเซียงด้วยความงุนงงแต่ความหมายในคำพูดของอันซือนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้วซึ่งหมายความว่าเธอมีความแค้นระหว่างเธอกับเย่เจิ้งเซียงอย่างมากและเรื่องนั้นก็คือการที่เย่เจิ้งเซียงเอาแต่หลับซ่อนและปล่อยให้เย่เจิ้งหรานที่บาดเจ็บอยู่ไปต่อสู้กับฟู่จื้อซานใช่ไหม?
สีหน้าของเย่เจียอู๋ก็เริ่มแข็งกระด้างอย่างเห็นได้ชัดและใบหน้าของเขาก็ดูมืดมนจนเหมือนจะระเบิดเป็นพายุได้ทุกเมื่อ
ถ้าไม่ได้ก็ทำลายนี่คือหลักการของเย่เจิ้งเซียง ซึ่งหลังจากการตายของเย่เจิ้งหรานและฟู่จื้อซานนั้นเย่เจิ้งเซียงคิดว่าอันซือจะต้องเลิกยุ่งวุ่นวายกับตระกูลเย่อีก อย่างไรก็ตามมันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะอันซือยิ่งโกรธแค้นมากกว่าเดิมจนทำให้เธอเสียสติไป ดังนั้นเย่เจิ้งเซียงจึงส่งผู้ยอดฝีมือจำนวนมากเพื่อไล่ล่าอันซือจนทำให้อันซือหลบหนีไป หลังจากนั้นอันซือก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและความสามารถในการต่อสู้ก็หายไป อาจเป็นไปได้ว่าเย่เจิ้งเซียงยังคงมีความเมตตาไม่เช่นนั้นด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลเย่แล้วอันซือจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในเมืองเจิ้งโจวได้อย่างไร?
“ไร้สาระ..ฉันน่าจะฆ่าเธอตั้งแต่ตอนนั้น” ใบหน้าของเย่เจิ้งเซียงก็มืดมนและเจตนาฆ่าก็ปรากฏขึ้นในทันที ซึ่งไม่มีใครรู้เรื่องความบาดหมางระหว่างเย่เจิ้งเซียงกับอันซือเลยยกเว้นเย่เจิ้งหรานเพียงคนเดียว แน่นอนว่าเย่เจียอู๋เองก็ไม่รู้เช่นกันด้วยเหตุนี้เย่เจิ้งเซียงจึงประหม่าเพราะกลัวว่าเย่เจียอู๋จะขุ่นเคืองไปกับการกระทำของเขา
.
.
.