ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 779 ความเมตตา
ตอนที่ 779 ความเมตตา
คนที่ไม่ฉลาดหลักแหลมยังสามารถคิดได้จากคำพูดของอันซือแล้วนับประสาอะไรกับเย่เจียอู๋? เขาเป็นคนแรกในตระกูลเย่ที่บุกเบิกและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆและเขาก็เป็นคนที่นำตระกูลเย่พัฒนาและเติบโตในสังคมสมัยใหม่ทั้งความสามารถและความยิ่งใหญ่ของตระกูลนั้นก็ค่อนข้างทรงพลัง
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับตระกูลศักดินาโบราณที่จะรวมเข้ากับสังคมสมัยใหม่แต่ยังคงยึดกฎที่มีมาตั้งแต่โบราณ ดังนั้นความสามารถของเย่เจียอู๋ในการทำเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเวลาหลายปีที่เย่เจียอู๋ดูเหมือนจะปล่อยวางแต่ในความเป็นจริงสิทธิ์ส่วนใหญ่ของตระกูลเย่ยังคงอยู่ในมือของเขา ตัวอย่างเช่นหน่วยลับที่เย่เจิ้งหรานสร้างขึ้นและมันเป็นสิ่งที่สำคัญและเสมือนกับหน่วยข่าวกรองของตระกูลเย่ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาของตระกูล นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ในแวดวงการทหาร,การเมืองและธุรกิจ อันที่จริงทุกอย่างยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเย่เจียอู๋และถึงแม้ว่าเย่เจิ้งเซียงจะเป็นผู้นำตระกูลเย่แต่จริงๆแล้วหลายสิ่งหลายอย่างก็ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเย่เจียอู๋อยู่ดี
หากทุกอย่างที่อันซือพูดเป็นความจริงนั่นก็เท่ากับว่าเย่เจิ้งเซียงเกลียดชังเย่เจิ้งหรานและเหตุผลที่เขาไม่ปล่อยให้เย่เจิ้งหรานกับฟู่จื้อซานเผชิญหน้ากันจุดประสงค์ก็คือการกำจัดทั้งสองนั่นเอง ทันใดนั้นสีหน้าของเย่เจียอู๋ก็ดูมืดมนอย่างมากและเขาก็ตะโกนอย่างเสียงดังว่า “หยุด!”
แต่มันก็สายเกินไปเพราะเย่เจิ้งเซียงพุ่งออกไปหาอันซือโดยไม่มีการเตือนใดๆและเขาก็เคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วและดุเดือดจนทุกคนไม่สามารถตั้งตัวได้ทัน สำหรับเย่เจิ้งเซียงนั้นเขาไม่ได้แค้นหรือเกลียดอันซืออีกต่อไปแต่เป็นเพราะสิ่งที่อันซือพูดในตอนนี้เขาเพียงแค่ปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้และศักดิ์ศรีของเขาเพราะเขาถูกเย่เจิ้งหรานแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไป ดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าเขาเป็นคนที่พ่ายแพ้และไม่ยอดเยี่ยมเหมือนกับเย่เจิ้งหราน ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถอดกลั้นความโกรธของเขาที่มีต่ออันซือได้และเขาก็ต้องการพิสูจน์ว่าเขานั้นแข็งแกร่งกว่าเย่เจิ้งหรานจริงๆเพราะสำหรับเย่เจิ้งเซียงแล้วศักดิ์ศรีของเขานั้นสำคัญกว่าความรู้สึกเสมอ
ถึงแม้ว่าเย่เจิ้งหรานจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วแต่ผู้คนจำนวนมากก็ยังคงพูดถึงชื่อเย่เจิ้งหรานจนถึงทุกวันนี้แทนที่จะพูดถึงชื่อเย่เจิ้งเซียงเมื่อพวกเขาพูดถึงตระกูลเย่ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมากและตอนนี้อันซือกลับพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าเย่เจียอู๋ซึ่งทำให้เขารู้สึกประหม่าจนเจตนาฆ่าก็พลุ่งพล่านออกมาอย่างรุนแรง
การกระทำของเขาไม่ได้เบาเลยเพราะถ้าหากเย่เจิ้งเซียงไม่โกรธอันซือจริงๆเขาจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเย่เจียอู๋ก็อยู่ไกลและมันก็สายเกินไปเมื่อเขาต้องการจะหยุดเย่เจิ้งเซียง
เย่เชียนก็สามารถสังเกตเห็นปฏิกิริยาของเย่เจิ้งเซียงได้อย่างชัดเจนเขาจึงไปหยุดอยู่ตรงหน้าอันซือโดยไม่ลังเลใดๆด้วยเสียง “ปัง” หมัดของเย่เชียนกับเย่เชียนก็ปะทะกันซึ่งเย่เชียนนั้นไม่มีเวลาที่จะตั้งตัวได้ทันและถึงแม้ว่าเขาจะป้องกันอย่างสุดกำลังของเขาก็ตามถึงยังไงเขาก็จะไม่สามารถรับการโจมตีของเย่เจิ้งเซียงได้อยู่ดี ดังนั้นร่างกายของเย่เชียนจึงกระเด็นไปกระแทกกับอันซือจนทั้งสองล้มลงบนพื้นไปอย่างรุนแรง
“อึก!” เย่เชียนสำลักเลือดออกมาเต็มปากและใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวในทันทีนี่ถือได้ว่าเป็นอาการบาดเจ็บที่หนักที่สุดที่เขาได้รับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนบ่อยครั้งในอดีตแต่ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีตั้งแต่เขามาถึงประเทศจีน ซึ่งพลังการโจมตีของเย่เจิ้งเซียงนั้นไม่ธรรมดาเพราะเย่เชียนนั้นไม่ใช่ศัตรูของเขาเลยจนพลังปราณที่ไหลเวียนในร่างกายของเขาก็ค่อยๆดับลงและเมื่อเขาสำลักเลือดออกมาเย่เชียนก็รู้ดีว่าเขาไม่มีความสามารถในการต่อสู้อีกต่อไป
จากนั้นเย่เชียนก็หันไปเหลือบมองอันซือและเห็นรอยเปื้อนเลือดที่มุมปากของอันซือ ซึ่งเธอกำลังอยู่ในอาการโคม่าเพราะผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่ได้ละทิ้งการฝึกทั้งหมดไปและเป็นอัมพาตมาหลายปีถึงแม้ว่าเธอจะหายเป็นปกติในเวลาต่อมาแล้วก็ตามแต่ร่างกายของอันซือก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ครั้งนี้เย่เจิ้งเซียงใช้พละกำลังอย่างเต็มที่โดยไม่ยั้งมือแต่อย่างใดๆดังนั้นหากเย่เชียนไม่เข้ามารับการโจมตีเอาไว้เกรงว่าอันซือคงจะถูกฆ่าตายในทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เหวินก็รีบวิ่งไปด้านข้างของอันซือเพื่อช่วยเธอและตะโกนว่า “แม่..แม่..ตื่นสิแม่!..แม่อย่าเป็นอะไรนะ..อย่าทิ้งหนูไว้ตามลำพังสิ” ถึงแม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาอันซือจะไม่ได้ทำหน้าที่ของแม่ให้สำเร็จแต่เนื่องจากความเกลียดชังของเธอต่อเย่เจิ้งหรานประกอบกับอาการอัมพาตของเธอจิตใจของอันซือจึงแย่ไปโดยธรรมชาติและเธอก็ไม่มีความสุขมาโดยตลอด ต่อมาถึงแม้ว่าความเจ็บป่วยของอันซือจะหายขาดแต่เธอก็ยังคิดที่จะแก้แค้นมาเสมอ ในตอนแรกเธอก็คิดที่จะเลิกแก้แค้นไปแล้วแต่การปรากฏตัวของเย่เชียนทำให้เธอปรารถนาที่จะแก้แค้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามอันซือก็ยังคงเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของเย่เหวินในโลกใบนี้ ดังนั้นเธอก็จะทนดูอันซือเจ็บปวดเช่นนี้ได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่าเย่เชียนกับอันซือจะไม่มีความรู้สึกดีใดๆต่อกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รู้ว่าอันซือกำลังหลอกใช้เขาเย่เชียนจึงรู้สึกอึดอัดอย่างมาก อย่างไรก็ตามในที่สุดอันซือก็ทำให้เขาหาบ้านเกิดได้และถ้าไม่ใช่เพราะอันซือเย่เชียนจะไม่สามารถตามหาครอบครัวและตระกูลเย่ต้นกำเนิดของเขาและมารดาผู้ให้กำเนิดอย่างถังซูหยานไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา ถึงแม้ว่าจุดประสงค์ของอันซือจะผิดแต่ผลลัพธ์ก็ออกมาดีและเย่เชียนก็ไม่อยากเห็นเธอตายอย่างนี้ ยิ่งไปกว่านั้นจากการสนทนาในตอนนี้เย่เชียนก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนและท้ายที่สุดอันซือก็เป็นเพียงเหยื่อของสงครามในฐานะผู้หญิงที่ยากจนและน่าสงสาร ภัยพิบัติทั้งหมดเกิดจากความรักที่เธอมีต่อเย่เจิ้งหรานหาก ดังนั้นถ้าต้องการบอกจริงๆว่าใครถูกและใครผิดก็ไม่มีใครสามารถบอกได้เลย
เมื่อถังซูหยานเห็นอาการบาดเจ็บของเย่เชียนเธอก็แทบจะไม่ลังเลเลยเพื่อรีบวิ่งไปหาเย่เชียนและจับเย่เชียนจากนั้นก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เสี่ยวเชียนลูกเป็นอะไรมั้ย?”
เย่เชียนก็ส่ายหัวเล็กน้อยถึงแม้ว่าตอนนี้อาการบาดเจ็บจะไม่รุนแรงนักแต่เขาก็ยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในร่างกายของเขาและมีปัญหาในการพูด “ผะ..ผมไม่เป็นไร” เย่เชียนพูดด้วยความยากลำบาก
ถังซูหยานก็หันหน้าไปมองที่เย่เจิ้งเซียงอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วพูดว่า “เย่เจิ้งเซียง..ถ้าลูกของฉันเป็นอะไรไปฉันจะฝังคุณลงหลุมด้วยตัวเอง!” ถังซูหยานผู้ซึ่งอ่อนโยนและสุภาพมาโดยตลอดถึงกับต้องพูดอย่างเดือดดาล ซึ่งคำพูดนั้นแสดงให้เห็นว่าเธอโกรธมากแค่ไหน
เย่เจิ้งเซียงก็รู้เช่นกันว่าเขานั้นทำผิดพลาดไปซึ่งมันไม่ใช่แค่ถังซูหยานเพราะแม้แต่เย่เจียอู๋ก็จะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน จากนั้นเย่เจียอู๋ก็พูดด้วยความโกรว่า “เจิ้งเซียง!..นับวันแกยิ่งหยิ่งผยองมากขึ้นเรื่อยๆเลยนะ..แกไม่ฟังฉันเลยด้วยซ้ำ..ฉันบอกให้แกหยุดแต่แกก็ยังไม่ฟัง..แกจะฆ่าคนต่อหน้าฉันเลยอย่างงั้นเหรอ?”
“ผมไม่กล้าครับ!” เย่เจิ้งเซียงคุกเข่าลงอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ท่านพ่อ..ผู้หญิงคนนี้หลอกท่านว่าเสี่ยวเชียนเป็นลูกของเธอกับน้องสอง..เธอต้องการหลอกพวกเราอย่างชัดเจน”
“เธอเป็นแค่ผู้หญิงและนี่เราก็อยู่ในบ้านตระกูลเย่ของเราเพราะงั้นถึงเธอจะพยายามทำอะไรเธอก็ทำไม่ได้อยู่ดี” เย่เจียอู๋พูด “เจิ้งเฟิง!..รีบเรียกรถพยาบาลมาเร็วและส่งอันซือกับเสี่ยวเชียนไปรักษาก่อน..เราค่อยไปคุยกันที่โรงพยาบาลทีหลัง” จากนั้นเขาก็มองเย่เจิ้งเซียงอย่างดุเดือดและพูดว่า “ฉันจะจัดการเรื่องนี้กับแกในภายหลัง”
หลังจากพูดจบเย่เจียอู๋ก็เดินลงมาจากด้านบนและเดินไปที่ด้านข้างของเย่เชียนจากนั้นเขาก็วัดชีพจรเย่เชียนจากนั้นเขาก็โล่งใจอย่างมากแล้วพูดว่า “โชคดีที่ไม่มีอะไรร้ายแรงแค่พลังปราณได้รับความเสียหายเท่านั้นและมันจะดีขึ้นหลังจากการพักฟื้นสักสองสามวัน”
“ท่านผู้อาวุโสผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ” เย่เชียนพูด
“เด็กโง่..เอ็งควรเรียกฉันว่าปู่ได้แล้ว” เย่เจียอู๋พูดด้วยความจริงใจ “เอาเถอะ..ถ้าเอ็งอยากรู้อะไรปู่ก็จะตอบ”
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าอันซือจะผิดแต่เธอก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของเย่เหวิและสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนนั้นมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้วและไม่สำคัญว่าใครจะถูกหรือใครผิด..ผมหวังว่าท่านปู่จะให้โอกาสเย่เหวินเพราะถึงยังไงเธอก็คือลูกสาวของพ่อและเป็นน้องสาวของผมเช่นกัน..เพราะงั้นปล่อยให้คุณป้าอันซือกับเย่เหวินอยู่ในตระกูลเย่ของเราด้วยจะได้ไหมครับ?..ที่นี่ก็ถือได้ว่าเป็นบ้านของพวกเขาเช่นกัน”
ถังซูหยานก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและชื่นชมการกระทำและทัศนคติของเย่เชียนอย่างมาก ส่วนเย่เจียอู๋ก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะเพราะข้อมูลที่เขาได้รับจากต้วนห่าวแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเย่เชียนเป็นคนที่จะมาล้างแค้นและมีความคับข้องใจโดยไม่มีความเมตตาใดๆเลย แต่ทัศนคติของเย่เชียนในตอนนี้มันเกินความคาดหมายของเขาอย่างมาก
ที่จริงแล้วเย่เชียนไม่ใช่อสูรสังหารแต่กลับมีความรับผิดชอบและทัศนคติที่ดีเกิดคาด บางครั้งถึงแม้ว่าเขาจะมีจิตใจที่ดีแต่ด้วยภาระอันใหญ่หลวงของเขาแล้วเขาก็แสดงมันออกมาไม่ได้เพราะเขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่ยังมีพี่น้องเขี้ยวหมาป่าอีกมากมายที่เขาต้องดูแล ดังนั้นเขาจะตายอย่างโดดเดี่ยวไม่ได้
“ได้..ฉันสัญญา!” เย่เจียอู๋พูด “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปฉันรับรองได้เลยว่าจะไม่มีใครกล้าทำร้ายอันซือกับเย่เหวินอีก..ไม่งั้นฉันเองที่จะเป็นคนจัดการอย่างไม่มีข้อยกเว้น” สำหรับอันซือนั้นเย่เจียอู๋ก็ไม่พอใจและโกรธเธอมากแต่เพื่อเห็นแก่เย่เชียนแล้วเขาจึงต้องเห็นด้วยเพราะเขารู้สึกว่าเขาเป็นหนี้เย่เชียนมากเกินไปและปล่อยให้เย่เชียนใช้ชีวิตอยู่ที่โลกภายนอกมานานหลายปีจนตัวเองไม่มีความรับผิดชอบในการเป็นปู่เลย นอกจากนี้จากข้อมูลที่รวบรวมมาจากการสืบค้นของต้วนห่าวแล้วเย่เจียอู๋ก็สามารถสรุปได้ว่าเย่เชียนมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมอย่างมากและเขาก็จะสามารถนำตระกูลเย่ก้าวไปสู้ยุคที่รุ่งโรจน์ได้ในอนาคต ซึ่ง ณ จุดๆนี้เขาจึง เห็นด้วย
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างพึงพอใจและหันไปมองเย่เหวินแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเหวิน..ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของเธอแต่ฉันก็เป็นพี่ชายต่างมารดา..เพราะงั้นเธอไม่ต้องกังวลไปเพราะฉันจะคอยปกป้องเธอเหมือนเดิม..ตราบใดที่ฉันยังอยู่ที่นี่มันจะไม่มีใครหน้าไหนมาทำร้ายเธอได้..ขอบคุณท่านปู่ด้วยล่ะ!”
.
.
.