ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 781 พลังปราณ
ตอนที่ 781 พลังปราณ
เมื่อพิจารณาจากมุมมองของถังซูหยานแล้วนั่นก็เป็นความจริงเพราะเธอไม่ต้องการให้เย่เชียนทำสิ่งที่เสี่ยงอันตรายอีกต่อไปเพราะมันยากมากสำหรับเธอที่ได้เจอหน้าลูกทั้งทีแต่กลับรู้ว่าลูกของเธอต้องเสี่ยงอันตรายอยู่ตลอดเวลา
“ชีวิตของทหารรับจ้างนั้นมันอันตรายมาก..แบบนี้แม่จะมั่นใจได้ยังไงว่าลูกจะไม่เป็นอะไร..เอาเถอะแม่จะช่วยให้ลูกขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเย่..มันดีกว่าทหารรับจ้างเยอะ” ถังชูหยานพูดต่อ “อาชีพของตระกูลเย่ครอบคลุมทั้งการทหาร..การเมืองและธุรกิจทั่วประเทศจีน..ลูกแค่คอยพัฒนาการดำเนินงานเท่านั้นเองและไม่ต้องเสี่ยงกับอะไรที่อันตรายแบบนั้นด้วย..แบบนั้นแม่จะสบายใจมากกว่า”
“แม่..ผมรู้ว่าแม่ทำเพื่อผม..แต่เหตุผลที่ผมอยากกลับไปไม่ใช่เพื่อตัวเอง” เย่เชียนพูด “ผมแบกรับอนาคตของผู้คนมากมายและแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่อยู่..ผมทิ้งพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผมมานานหลายปีแบบนั้นไม่ได้..ผมคิดว่าแม่คงไม่ได้ต้องการให้ลูกชายของแม่เป็นคนที่ขาดความรับผิดชอบใช่มั้ย?..อันที่จริงการทำอะไรที่เสี่ยงและอันตรายนั่นก็หมายความว่าค่าตอบแทนมันก็ต้องมากด้วยไม่ใช่หรอ”
ถังซูหยานตกตะลึงเล็กน้อยและถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่เต็มใจเพราะเธอเพิ่งจะพบเย่เชียนดังนั้นหากเธอกดขี่เขาในฐานะแม่มันก็อาจจะดูเป็นแม่ที่ใจร้ายไปหน่อยและเธอจะทำให้เกิดแรงกดดันทางจิตใจต่อเย่เชียน ซึ่งอาจนำไปสู่ความสัมพันธ์แบบแม่ลูกที่เลวร้ายและนี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ถังซูหยานหวังที่จะเห็นเลย
นอกจากนี้ถังซูหยานไม่ใช่คนประเภทที่ไม่เข้าใจโลกหรือเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล ดังนั้นเธอก็เข้าใจว่าสำหรับผู้ชายแล้วความรับผิดชอบมักสำคัญกว่าอารมณ์เสมอ ยิ่งเธอได้ยินเย่เชียนพูดถึงอดีตและเธอก็ชื่นชมมิตรภาพระหว่างเย่เชียนกับพี่น้องเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี คนเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อนกินเพื่อนเที่ยวแต่เป็นพี่น้องที่ผ่านชีวิตและความตายด้วยกันมานับไม่ถ้วน โดยทั่วไปแล้วความผูกพันเช่นนี้อยู่ไกลเกินกว่าความรักในครอบครัวเสียอีก
“ในเมื่อลูกตัดสินใจไปแล้วแม่ก็ห้ามลูกไม่ได้..แต่ลูกต้องสัญญากับแม่นะว่าหากลูกเจอเรื่องเลวร้ายอะไรลูกจะต้องผ่านมันไปให้ได้..อย่าหักโหมเหมือนเมื่อก่อนเพราะตอนนี้ลูกมีครอบครัวมีภรรยาและลูกที่ต้องดูแล” ถังซูหยานพูดต่อ “หากลูกมีปัญหาอะไรก็บอกแม่ได้เสมอ..ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเย่กับตระกูลถังมันจะช่วยให้เส้นทางของลูกมีอุปสรรคน้อยลงอย่างมาก”
สิ่งที่ถังซูหยานพูดนั้นสมเหตุสมผลเพราะตระกูลเย่กับตระกูลถังหรือสำนักถังนั้นมีคุณสมบัติดังกล่าวและกองกำลังของทั้งสองตระกูลโบราณต่างก็มีความซับซ้อนและความยิ่งใหญ่ทั่วประเทศจีน ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขาแล้วอุปสรรคและสิ่งกีดขวางมากมายของเย่เชียนก็จะถูกกำจัดออกไปอย่างง่ายดาย
“ขอบคุณครับ!” เย่เชียนพูดขอบคุณ เย่เชียนนั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีแม่ที่มีเหตุผลเช่นนี้ หลังจากหยุดชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “แม่ต้องระวังตระกูลเย่ให้มากนะเพราะความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวใหญ่แบบนี้มันซับซ้อนเสมอ..เมื่อผู้คนเห็นแก่อำนาจมันมักจะทำให้ความรักในครอบครัวอ่อนแอลง”
ถังซูหยานก็พยักหน้าเบาๆแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป..แม่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องร่างๆของตระกูลเย่มานานแล้ว..แม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรแม่..นอกจากนี้ตราบที่ท่านปู่ยังอยู่มันจะไม่มีใครกล้าทำอะไรเรา..ยิ่งไปกว่านั้นแม่ยังมีตระกูลถังเพราะงั้นพวกเขาจะไม่กล้าทำอะไรแม่หรอก”
“ดีแล้วที่ระมัดระวังสิ่งต่างๆ..แต่แม่ต้องระวังให้มากกว่าเดิม” เย่เชียนพูด “แม่..ผมขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม..ผมรู้ว่าแม่อาจจะลำบากใจแต่ผมหวังว่าแม่จะสัญญากับผมได้”
“เรื่องอันซือใช่มั้ย?” ถังชูหยานพูด “จริงๆแล้วเธอก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง..ถ้าพูดตรงๆแม่เองก็รู้สึกผิดต่อเธอมาโดยตลอดเพราะงั้นไม่ต้องห่วงตราบใดที่แม่ยังอยู่ที่นี่จะไม่มีใครแตะต้องได้แม้แต่เส้นผมของเธอ”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างโล่งใจและไม่ได้พูดอะไรใดๆ
คืนนั้นถังซูหยานไม่ได้ออกไปไหนเพราะเธอเกือบคุยกับเย่เชียนตลอดทั้งคืนก่อนที่จะนอนเฝ้าเขาที่เตียงในโรงพยาบาล ซึ่งเย่เชียนพยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอกลับไปพักผ่อนแล้วแต่ถังซูหยานไม่ยอมเพราะนานๆจะได้เจอกันทีและในอนาคตมันอาจยากที่จะได้พบกันอีก
เมื่อถังซูหยานรู้ว่ากำลังขัดเกลาวิญญาณชั่วร้ายที่เย่เจิ้งหรานผนึกเอาไว้ในตัวของเขาถังซูหยานก็ถึงกับตกตะลึง ในสมัยก่อนเย่เจิ้งหรานถูกเรียกว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของตระกูลเย่แต่หลังจากที่เขาขัดเกลาพลังดังกล่าวแล้วเขากลับก็ทำผิดพลาดโดยบังเอิญจนเกือบจะสูญเสียศิลปะการต่อสู้ตำรับโบราณของเขาไป ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งนี้เย่เจิ้งหรานก็คงจะไม่บาดเจ็บสาหัสและพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นการที่เย่เชียนกำลังขัดเกลาวิญญาณที่ชั่วร้ายนี้จึงทำให้ถังซูหยานประหลาดใจโดยธรรมชาติและอดกังวลไม่ได้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้เรียนรู้ว่าเย่เชียนไม่เพียงแต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากวิญญาณชั่วร้ายเท่านั้นแต่ด้วยความช่วยเหลือจากมันจึงทำให้เขาสามารถก้าวหน้าอย่างมากในการฝึกศิลปะการต่อสู้ตำรับโบราณและผสมผสานจิตวิญญาณอันชั่วร้ายเข้าด้วยกันกับพลังปราณอย่างราบรื่น ซึ่งทำให้ถังซูหยานประหลาดใจแต่เธอก็โล่งใจอย่างมากเช่นกัน
ถังซูหยานไม่รู้ถึงวิธีการขัดเกลาวิญญาณชั่วร้ายแต่หลังจากเรียนรู้การผจญภัยและชีวิตความเป็นมาของเย่เชียนแล้วถังซูหยานก็รู้สึกว่าบางทีนี่อาจเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ออกแบบมาสำหรับเย่เชียนโดยเฉพาะ อันที่จริงถังซูหยานนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเย่เชียนนั้นฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณ? นั่นเป็นเพราะเธอรู้ถึงลักษณะเฉพาะของวิญญาณที่ชั่วร้ายนี้และมันก็แปลกมากเพราะไม่มีทางที่ผู้ฝึกตนจะนำมันมาใช้ได้เลย ซึ่งปกติแล้วพลังเช่นนี้มักจะทำร้ายผู้ใช้แต่เย่เชียนกลับสามารถนำมันมาใช้เป็นพลังได้อย่างราบรื่น
วิญญาณที่ชั่วร้ายนั้นเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าพลังปราณ ศิลปะการต่อสู้ในการแต่งงานกับเสื้อผ้า ซึ่งเป็นพลังการต่อสู้ขั้นสูงสุดของศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นมันจึงมีปฏิกิริยากับผนึกที่พระนิรนามจากวัดหลิงลงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือผนึกเอาไว้ ดังนั้นเย่เชียนจึงสามารถใช้พลังนี้ได้อย่างราบรื่นโดยบังเอิญ
เย่เจิ้งหรานนั้นไม่ได้สนใจความโด่งดังและการสรรเสริญเยินยอเพราะสิ่งที่เขาสนใจมากกว่าคือการไล่ตามจุดสูงสุดของศิลปะการต่อสู้และเพิ่มศักยภาพของร่างกายมนุษย์เท่านั้น ศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงสุดคืออะไร? บางทีหากใครที่ไม่ได้อยู่ในจุดยืนเดียวกันกับเย่เจิ้งหรานก็ไม่สามารถรู้ได้เลย
เย่เจิ้งหรานนั้นไม่ได้เพิกเฉยต่อพลังดังกล่าวแต่ด้วยบุคลิกของเขาที่มั่นใจในตัวเองและดื้อรั้นจนเขาคิดว่าเขาสามารถทำสิ่งต่างๆที่คนอื่นทำไม่ได้และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาได้รับผลกระทบดังกล่าวแต่เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เย่เชียนได้รับโอกาสดังกล่าว
เย่เชียนยังใช้โอกาสนี้เพื่อถามอะไรหลายๆอย่างที่เขาไม่เข้าใจ เช่นขอบเขตของศิลปะการต่อตำรับสู้โบราณคืออะไรและมีกี่ขั้นและในที่สุดเย่เชียนก็เข้าใจแล้วว่าขอบเขตของศิลปะการต่อสู้อันดับ 3 ของเขานั้นยังต้อยต่ำและสำหรับปรมาจารย์หลายๆคนแล้วเย่เชียนก็เหมือนกับคนที่เพิ่งเริ่มฝึกฝนเท่านั้น
ขอบเขตศิลปะการต่อสู้ตำรับโบราณแบ่งออกเป็นขั้นฝึกตน ส่วนระดับสองคือขั้นแสวงหาและระดับสามคือขั้นทำลายล้าง ซึ่งเหนือระดับที่สามก็ยังมีอีกเก้าระดับแต่ขอบเขตปัจจุบันของเย่เชียนนั้นมากสุดเพียงระดับสามขั้นแรกเท่านั้น หากมีถึงเก้าระดับแล้วเย่เชียนจะเป็นคู่ต่อสู้ของเย่เจิ้งเซียงได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้เย่เชียนได้รับบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาลได้แล้ว ซึ่งนี่เป็นการพิสูจน์ว่ายังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเย่เชียนกับเย่เจิ้งเซียงอยู่ นอกจากนี้ยังทำให้เย่เชียนเข้าใจว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าและถ้าหากต้องการที่จะอยู่ยงคงกระพันตลอดไปเขาก็ต้องพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
อย่างไรก็ตามน่าเสียดายที่ศิลปะการต่อสู้ตำรับโบราณของเย่เชียนนั้นไม่มีอะไรเลยและถังซูหยานเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางที่จะช่วยเย่เชียนได้ ด้วยเหตุนี้เย่เชียนจึงต้องพึ่งพาความพยายามของตัวเองเท่านั้น
โลกของนักสู้โบราณนั้นช่างลึกลับยิ่งนัก ซึ่งสำหรับเย่เชียนเย่เชียนคนที่เพิ่งเริ่มต้นอย่างเขาก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่รู้จักมากมายและไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถเข้าใจได้ในชั่วข้ามคืนเพราะแม้แต่ถังซูหยานเองก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้เพราะเธอจำได้แค่ว่าเย่เจิ้งหรานเคยพูดกับเธอว่า “นักสู้ตำรับโบราณเป็นเพียงคนธรรมดาที่อยู่เหนือคนธรรมดา” ถึงแม้ว่าถังซูหยานจะไม่เข้าใจว่าประโยคนี้หมายถึงอะไรแต่เธอก็รู้สึกได้ว่าในโลกใบนี้น่าจะมีกองกำลังแข็งแกร่งกว่านักสู้โบราณเหล่านี้และนี่คือเหตุผลที่เย่เจิ้งหรานใฝ่หาศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงสุดและเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะเสี่ยงชีวิตไปกับมัน
ประมาณสามทุ่มถึงสี่ทุ่มเย่เชียนกับถังซูหยานต่างก็รู้สึกง่วง ดังนั้นเย่เชียนจึงมองไปที่ถังชูหยานแล้วพูดว่า “เรายังมีเวลาตั้งมากมายในอนาคต..เราเอาไว้ค่อยคุยกันก็ได้มันยังไม่สายเกินไปเพราะงั้นแม่กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ..นอนดึกเดี๋ยวสุขภาพไม่ดี..อย่าให้คนอื่นคิดว่าแม่เป็นคุณยายของผมสิ”
ถังซูหยานก็เหลือบมองเย่เชียนแล้วพูดว่า “แม่ดูแก่ขนาดนั้นเลยหรอ!” ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการตำหนิแต่ถังซูหยานไม่ได้หมายถึงการตำหนิเลยเพราะในคำพูดของเธอมันเป็นเหมือนความรักมากกว่า ถังซูหยานนั้นรู้ว่าร่างกายของเย่เชียนได้รับบาดเจ็บและเขาก็ต้องการพักผ่อนให้มากๆดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะพูดกับเขาแต่เธอก็ต้องยับยั้งชั่งใจเอาไว้ อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเหมือนที่เย่เชียนพูดว่ายังมีเวลาอีกมากในอนาคตเธอจึงไม่ต้องรีบร้อน บางครั้งความรู้สึกก็รุนแรงเกินไปแต่ถึงยังไงสิ่งต่างๆก็จะกระจ่างแจ้งในอนาคตอยู่ดีและไม่ต้องรีบร้อนจนเกินไป
“ลูกเองก็ควรพักผ่อนให้เยอะๆล่ะ” ถังซูหยานพูด หลังจากหยุดไปชั่วขณะเธอก็พูดต่อ “แม่ไม่รู้จักทักษะที่ลูกฝึกฝนมาเพราะงั้นแม่ก็ไม่กล้าให้คำแนะนำหรือช่วยเหลืออะไร..แต่ศิลปะการต่อสู้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการใส่ใจกับกระบวนการทีละขั้นตอน และอย่ารีบร้อนจนเกินไป..น้ำยังสามารถทำให้รถบรรทุกหรือเรือคว่ำได้เพราะงั้นลูกต้องทำตามขั้นตอนและวิธีการของลูกเอง”
.
.
.
.
.
.
.