ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 784 ปลื้มปีติ
ตอนที่ 784 ปลื้มปีติ
ถ้าคนในลัทธิม่อจื๊อรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของม่อหลงล่ะก็มันจะเป็นภัยคุกคามต่อม่อหลงอย่างแน่นอน ซึ่งด้วยทักษะและความสามารถปัจจุบันของม่อหลงนั้นเกรงว่าเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสาวกม่อจื๊อเลย ถึงแม้ว่าจะมีหวงฟู่ชิงเตี๋ยนคอยฝึกสอนสิ่งต่างๆแต่ก็ยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับสาวกฝ่ายอธรรมของลัทธิม่อจื๊อได้เลย ซึ่งหลังจากสงครามครั้งที่แล้วสาวกฝ่ายธรรมะของลัทธิม่อจื๊อต่างก็อาศัยอยู่อย่างสันโดษมานานหลายปีและมันไม่ง่ายเลยที่จะตามหาพวกเขาได้ ดังนั้นเพียงแค่พึ่งพาม่อหลงกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนมันก็ไม่เพียงพอที่จะรับมือและจัดการกับสำนักม่อจื๊อในปัจจุบันได้
ไม่ต้องพูดถึงสาวกฝ่ายอธรรมคนอื่นๆเลยเพราะเพียงแค่หยานซื่อฉุยคนเดียวม่อหลงก็ไม่สามารถรับมือกับเธอได้แล้ว ท้ายที่สุด ทักษะและความสามารถในปัจจุบันของม่อหลงก็ยังไม่เพียงพอและถึงแม้ว่าจะมีพลังขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าด้วยก็ตามแต่ก็คาดว่ามันยังไม่สามารถต่อสู้กับสำนักม่อจื๊อได้ แน่นอนว่าพลังและความสามารถของเขี้ยวหมาป่าในปัจจุบันจะไม่ได้อ่อนแอแต่ก็ไม่สามารถประมาทลัทธิม่อจื๊อที่สืบทอดมานับพันปีได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลัทธิม่อจื๊และยังไม่เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนและโครงสร้างของลัทธิและสำนักม่อจื๊อเลย ดังนั้นการประกาศสงครามโดยไม่รู้อะไรเลยท้ายที่สุดก็จะมีเพียงทางตันและความล้มเหลวเท่านั้น
เย่เชียนไม่อนุญาตให้ม่อหลงเปิดเผยตัวตนของเขาต่อหน้าเย่เจียอู๋และไม่ใช่ว่าเย่เชียนไม่เชื่อในเย่เจียอู๋แต่ยิ่งตัวตนของม่อหลงเป็นความลับมากเท่าไหร่และคนรู้น้อยมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งดีสำหรับเขาเท่านั้น เย่เชียนนั้นรู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้เพราะแม้แต่หน่วยกรงเล็บหมาป่าที่เป็นหน่วยลับยังไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยดังนั้นนับประสาอะไรกับชายชราคนนี้กัน? ในหัวใจของเย่เชียนแล้วพี่น้องเหล่านี้ที่ผ่านชีวิตและความตายกับเขามานับไม่ถ้วนนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูดม่อหลง,ชิงเฟิงและคนอื่นๆก็บอกลาเย่เชียนแล้วจากนั้นเย่เจียอู๋ก็หันหลังและเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆเตียง ส่วนเย่เจิ้งเฟิงนั้นไม่ได้พูดอะไรใดๆเพราะหลังจากใช้เวลาหลายปีในกองทัพเย่เจิ้งเฟิงก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของทหารที่เล็ดลอดออกมาจากม่อหลงและคนอื่นๆซึ่งไม่สามารถปกปิดได้ ผู้ที่อยู่ในกองทัพมานานหลายปีจะเผยอารมณ์และกิริยาทางทหารออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นเย่เจิ้งเฟิงจึงสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนโดยธรรมชาติและเห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เป็นพี่น้องและผู้ใต้บังคับบัญชาของเย่เชียนซึ่งทำให้เย่เจิ้งเฟิงอดไม่ได้ที่จะคาดเดาตัวตนของเย่เชียนและเดาว่าเย่เชียนนั้นสังกัดกองทัพใด
เย่เชียนก็หันไปเหลือบมองเย่เจิ้งเฟิงที่กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเขาและเย่เชียนก็เดาความคิดของเย่เจิ้งเฟิงได้ ดังนั้นเขาจึงขัดจังหวะโดยการพูดว่า “ลุงเจิ้งเฟิงครับ..ผมต้องขอบคุณจริงๆถ้าไม่ใช่เพราะคุณแล้วผมเกรงว่าความจริงคงจะไม่ปรากฏอย่างแน่นอน” จากนั้นเขาก็เหลือบมองเย่หานซวนแล้วพูดว่าและพูดว่า “นายด้วยขอบคุณ!”
เย่หานซวนก็ตกตะลึงไปชั่วขณะแล้วยิ้มเบาๆและคิดว่าทำไมเย่เชียนถึงขอบคุณตัวเอง? เย่หานซวนก็คาดเดาคร่าวๆว่าอาจจะเป็นเพราะเย่เชียนรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะตนที่เตือนสติพ่อของตน ด้วยเหตุนี้เย่เจิ้งเซียงจึงคิดว่า ‘ช่างมีสายตาที่เฉียบคมจริงๆ..การสังเกตสิ่งต่างๆได้ถี่ถ้วนขนาดนี้มันไม่ง่ายเลย”
เย่เจิ้งเฟิงก็หัวเราะและพูดว่า “ฉันในฐานะอาสามของเอ็งยังทำได้ไม่ดีพอเพราะงั้นไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก..ฉันแค่ทำหน้าที่ของฉัน..ปู่ของเอ็งเรียกฉันว่าคนไม่เอาไหนมาหลายปีแล้วด้วยเหตุนี้ฉันถึงถูกส่งตัวไปยังกองทัพตั้งแต่ยังเด็กแต่พอหลายปีผ่านไปบุคลิกและนิสัยของฉันก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”
“อันที่จริงลุงสามไม่ได้ไม่เอาไหนแต่ลุงสามค่อนข้างไม่เด็ดขาดเพราะกลัวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัว” เย่เชียนพูดถึงแม้ว่าจะเป็นการประจบสอพลอเล็กน้อยแต่มันก็เป็นความจริง ถึงแม้ว่าเย่เจิ้งเฟิงจะไม่เอาไหนแต่เขาก็เป็นลูกชายที่ดีและเป็นน้องชายและพ่อที่ดีให้กับครอบครัวมาโดยตลอด ดังนั้นหากตำแหน่งของผู้นำของตระกูลเย่อยู่กับเขาล่ะก็ถึงแม้ว่าตระกูลเย่จะไม่ได้มีอนาคตที่ยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ก็ตามแต่ตระกูลเย่ก็จะเป็นตระกูลที่ดีและอบอุ่นอย่างมาก
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็ถามต่อ “ลุงสามสังกัดอยู่ในเขตทหารไหนหรอครับ”
“เขตทหารเสิ่นหยาง” เย่เจิ้งเฟิงตอบ
“หานซวนก็สังกัดที่นี่ด้วยใช่มั้ย?” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม มันเป็นปกติที่พ่อกับลูกจะอยู่ด้วยกันโดยธรรมชาติด้วยเหตุนี้เย่เชียนจึงคิดว่าพ่อกับลูกคู่นี้ค่อนข้างจะสนิทสนมกันดีและพวกเขาก็เป็นญาติของตน ดังนั้นเย่เชียนจึงหวังที่จะสนิทสนมกับพวกเขาเอาไว้ ในอดีตเย่เชียนเป็นเพียงแค่คนนอกและบางทีเขาอาจจะมองข้ามมันไปแต่ตอนนี้มันต่างออกไปเพราะคนเหล่านี้เป็นครอบครัวของเขา แต่ด้วยความห่างเหินมายสยหลายปีเย่เชียนจึงไม่ได้มีความประทับใจใดๆกับญาติๆเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้หากเย่เชียนต้องการรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้เขาจะต้องค่อยเป็นค่อยไปตามธรรมชาติ
“ใช่..ผู้บังคับการกองพันทหารอากาศ!” เย่หานซวนพูด
ผู้บังคับการกองพัน? ถึงแม้ว่าตำแหน่งนี้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากนักแต่มันก็ไม่ง่ายที่จะไต่เต้าไปถึงระดับดังกล่าวได้ในวัยเดียวกันกับเย่หานซวน อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็คาดว่าตำแหน่งดังกล่าวอาจจะเกี่ยวข้องกับสถานะของตระกูลเย่ด้วยไม่มากก็น้อย แต่เมื่อเทียบกับตำแหน่งจอมพลของเย่เชียนแล้วตำแหน่งผู้บังคับการกองพันเช่นนี้ก็ดูธรรมดาไปเลยถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงในการบัญชาการก็ตาม
ทุกคนก็พูดคุยกันอย่างสบายๆและเมื่อเห็นว่าเวลาใกล้จะเที่ยงแล้วพวกเขาก็ออกจากห้องพักผู้ป่วยไป เย่เชียนเองก็ลุกขึ้นจากเตียงเพราะอาการบาดเจ็บของเย่เชียนไม่ได้ร้ายแรงดังนั้นมันจะเป็นการเสียเวลาที่จะอยู่ในโรงพยาบาลต่อ นอกจากนี้เย่เชียนก็ไม่ชอบโรงพยาบาลเพราะถึงแม้ว่านี่จะเป็นโรงพยาบาลเอกชนและสภาพแวดล้อมก็ดีกว่าแต่เย่เชียนยังคงรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยเมื่อคิดว่านี่เป็นโรงพยาบาลและมันจะต้องมีหมอที่หน้าเงินและเห็นแก่เงินเหมือนครั้งที่แล้ว
เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เจียอู๋ก็ไม่ได้ห้ามเย่เชียนเนื่องจากร่างกายของเย่เชียนไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงใดๆเขาจึงมีความสุขตามธรรมชาติ ส่วนเย่หานซวนก็รีบไปช่วยพยุงเย่เชียนและหลังจากที่เย่เชียนคุยกับเย่เจียอู๋เสร็จแล้วเขาก็เดินไปที่ห้องพักผู้ป่วยถัดไปเพื่อไปเยี่ยมอันซือกับเย่เหวิน แน่นอนว่าเย่เจียอู๋ลังเลอยู่พักหนึ่งและถึงแม้ว่าเขาจะสัญญากับเย่เชียนว่าจะช่วยดูแลอันซือกับเย่เหวินก็ตามแต่เขาก็ยังมีร่องรอยของความคับข้องใจอยู่ในใจอย่างหลีกเลี่ยงมาได้ ส่วนถังซูหยานเดิมทีเธอก็อยากจะไปเยี่ยมเยียนแต่เมื่อนึกถึงอดีตของเธอแล้วเธอเองก็ยังคงจะไม่พอใจดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะรอข้างนอกแทน
อันซือตื่นแล้วและร่างกายของเธอก็ไม่มีอะไรร้ายแรงแต่เธอได้รับบาดเจ็บภายในเล็กน้อยและคงต้องพักรักษาตัวสักระยะหนึ่ง เมื่อเห็นเย่เชียนเข้ามาเย่เหวินก็ตะโกน “พี่ชาย” อย่างระมัดระวังเดิมทีเย่เหวินคิดว่าเย่เชียนนั้นเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอดังนั้นเธอจึงรู้สึกประหม่ามากขึ้นเพราะหลังจากได้รู้ความจริงแล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกต่ำต้อยและด้อยกว่าเย่เชียนดังนั้นน้ำเสียงของเธอจึงค่อนข้างดูระมัดระวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อเห็นเย่เชียนเข้ามาอันซือก็หันหน้าหนีและไม่สนใจเขา ส่วนเย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวไปที่เตียง จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วถามว่า “ป้าอันซือ..ป้าสบายดีมั้ยหายดีหรือยัง?”
“แกไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง..ตอนนี้แกคงจะภูมิใจมากที่ได้พบแม่แท้ๆของแกแล้วใช่มั้ยล่ะ..ใช่แล้วฉันหลอกใช้แกเพื่อแก้แค้นตระกูลเย่..เพราะงั้นถ้าแกจะเกลียดชังฉันก็เรื่องของแกฉันไม่สนหรอก” อันซือพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
“ผมไม่รู้หรอกว่าใครถูกหรือผิดแต่นั่นมันก็หลายปีมาแล้ว..การจมปลักอยู่กับความทรงจำในอดีตมีแต่จะทำให้ตัวเองเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น..ถึงแม้ว่าคุณป้าจะไม่คิดถึงตัวเองก็ตามแต่ก็ควรจะคิดถึงอนาคตของเสี่ยวเหวินบ้างสิ..คุณต้องการให้เสี่ยวเหวินอยู่เคียงข้างคุณและช่วยคุณตลอดไป..ผมเองเคยคิดที่จะเกลียดคุณเหมือนกันแต่เมื่อคิดว่าคุณต้องพบเจออะไรตลอดหลายปีที่ผ่านมามันก็ยิ่งทำให้ผมโกรธและเกลียดคุณไม่ลง..อีกอย่างถ้าไม่ใช่เพราะคุณผมเกรงว่าผมคงจะหาบ้านไม่เจอ..เพราะงั้นไม่ว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มันจะเป็นยังไงแต่ผลลัพธ์ก็ออกมาดีและผมก็ต้องขอบคุณคุณป้าอันซือจริงๆ” เย่เชียนพูดอย่างช้าๆ “ผมบอกคุณปู่แล้วว่าคุณป้ากับเสี่ยวเหวินจะต้องอยู่ในบ้านของตระกูลเย่ต่อไป..หลังจากที่คุณหายดีแล้วเย่เจิ้งเซียงจะไม่กล้าทำอะไรคุณอีก”
อันซือก็ถึงกับมึนงงเล็กน้อยแต่ก็ยังพูดอย่างดื้อรั้นว่า “แกจะเกลียดฉันหรือไม่นั่นมันก็เรื่องของแก..แต่ฉันขอบอกเอาไว้นะว่าถ้าแกไม่ฆ่าฉันล่ะก็..ไม่ช้าก็เร็วฉันจะล้างแค้นตระกูลเย่ให้สิ้น..ซึ่งรวมถึงแกด้วย..ฉันน่าจะฆ่าแกตั้งแต่แรกแล้ว..ฉันไม่น่าพลาดเลย”
เย่เชียนไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับความแค้นและทัศนคติของอันซือได้ เขาจึงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้เมื่อรู้ว่าต่อให้เขาจะพูดอย่างไรมันก็คงไม่มีประโยชน์ การระงับความเกลียดชังมาหลายปีมันคงไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้นหากเขาต้องการให้อันซือปล่อยวางมันก็คงจะต้องใช้เวลา นอกจากนี้ยังควรให้เวลาเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองเย่เหวินแล้วพูดว่า “เสี่ยวเหวินดูแลแม่ให้ดีล่ะ..ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันได้ทุกเมื่อและจำเอาไว้ว่าพวกเราเป็นพี่น้องกันเสมอและฉันจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้”
เย่เหวินก็เหลือบมองเย่เชียนอย่างซาบซึ้งและมีประกายเล็กน้อยในดวงตาของเธอที่กะพริบไม่หยุดเพราะหลายปีที่ผ่านมาอันซือนั้นไม่เคยมอบความรักให้กับเธอเลยและไม่เคยมองเธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเหมือนเด็กคนอื่นๆจนเธอไม่เคยรู้สึกถึงความรักของแม่จากอันซือเลยสักครั้ง อันที่จริงแล้วเย่เหวินนั้นเหนื่อยและท้อแท้มากแต่เธอก็เป็นผู้หญิงที่จิตใจดีแต่อ่อนแอ เธอนั้นก็ยังมีความเปราะบางของตัวเองด้วยดังนั้นคำพูดของเย่เชียนจึงทำให้หัวใจของเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัยและทำให้เธอรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา
เย่เชียนเองก็สามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์และความคิดของเย่เหวิน จากนั้นเขาก็ยิ้มและตบไหล่เธอเบาๆแล้วพูดว่า “จำคำพูดของฉันเอาไว้ล่ะ..ถ้ามีอะไรก็รีบโทรหาฉันทันที..ช่วยดูแลคุณป้าให้ดีๆด้วยนะ”
หลังจากพูดจบเย่เชียนก็หันหลังกลับและเดินออกไป เมื่อเขามาถึงประตูเขาก็เห็นถังซูหยานรออยู่ที่ประตู เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มอย่างลำบากใจแล้วพูดว่า “แม่..แม่คงไม่โกรธผมใช่มั้ย”
ถังซูหยานก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กโง่..แม่น่ะดีใจมากที่เห็นลูกทำแบบนั้น..อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่ขัดขวางและโต้แย้งเอาไว้พ่อของลูกคงได้แต่งงานกับเธอไปแล้วจริงๆ..เอาเถอะถึงยังไงนี่ก็คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและแม่ก็ไม่ต้องการให้ลูกชายของแม่เป็นอสูรร้ายด้วย”
“เพื่อนของผมเคยบอกว่าผมอ่อนแอเกินกว่าที่จะตัดสินใจอะไรได้..ดังนั้นผมจึงถูกโต้แย้งเมื่อผมทำสิ่งต่างๆและนี่อาจเป็นจุดอ่อนของผม” เย่เชียนถอนหายใจเล็กน้อยและพูด ซึ่งจู่ๆร่างของหมาป่าผีไป๋ฮวยก็ปรากฏขึ้นมาในความคิดของเขาได้ อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่เอาไว้เย่เชียนก็คงจะถอนตัวออกจากองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าไปแล้วและไปใช้ชีวิตปกติของเขา แต่ความเป็นจริงนั้นไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนี้เพราะสำหรับพี่น้องมากมายแล้วเขาจะต้องแบกรับสิ่งต่างๆอย่างสงบและเสงี่ยมและมั่นคงเสมอ
.
.
.
.