ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 785 การตัดสินใจของผู้เป็นพ่อ
ตอนที่ 785 การตัดสินใจของผู้เป็นพ่อ
ศาลเจ้าบรรพบุรุษของตระกูลเย่ประดิษฐานอยู่ที่ลานด้านข้างของศาลาใหญ่และมีการจัดสักการะบรรพบุรุษครั้งใหญ่ทุกๆปีในช่วงเทศกาลตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์หมิงหรือพิธีวันเกิดและวันตายของบรรพบุรุษ นี่เป็นประเพณีที่สืบทอดกันในจีนซึ่งแสดงถึงความกตัญญูต่อปู่ย่าตายายแต่ด้วยความก้าวหน้าของสังคมและการเสื่อมถอยของวัฒนธรรมตะวันตกทำให้ประเพณีเหล่านี้สูญเสียความหมายเดิมไปอย่างมาก
หลานชายที่หายสาบสูญไปนานกว่า 20 ปี กลับมาแล้วดังนั้นเย่เจียอู๋จะต้องจัดงานครั้งใหญ่เพื่อขอบคุณบรรพบุรุษที่ให้พรนี้แก่เขา นอกจากนี้ยังถือได้ว่าเป็นพิธีรับกราบไหว้บรรพบุรุษอย่างเป็นทางการสำหรับเย่เชียนอีกด้วยเพราะชื่อของเย่เชียนก็ต้องถูกรวมอยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลของตระกูลเย่อย่างเป็นทางการ ซึ่งถึงแม้ว่าเย่เหวินจะเป็นลูกนอกสมรสของเย่เจิ้งหรานแต่ก็ถือว่าเธอทายาทคนหนึ่งเช่นกันแต่เย่เจียอู๋ก็ไม่ได้ตั้งใจจะจัดงานนี้สำหรับเธอเพราะนี่ถือได้ว่าเป็นนิสัยเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาของตระกูลเย่
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลักหรือตระกูลสาขาทุกคนต่างก็มีส่วนร่วมในกิจกรรมเหล่านี้ อย่างไรก็ตามภายในศาลาด้านในไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปและพวกเขาก็สามารถนมัสการได้จากภายนอกเท่านั้น
เย่เจียอู๋เป็นผู้นำตามด้วยเย่เจิ้งเซียงกับเย่เจิ้งฟิงและลูกหลานของพวกเขาอย่างเย่หานรุ่ยและเย่หานห่าวที่กำลังจ้องมองมาที่เย่เชียนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและความขุ่นเคือง การที่เย่เชียนเข้าสู่ตระกูลเย่อย่างเป็นทางการซึ่งหมายความว่าพวกเขาก็ต้องมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน นอกจากนี้เย่เจียอู๋ยังดูรักเย่เชียนมากซึ่งเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา
สายตาดุร้ายทั้งสองที่จ้องมาที่เขานั้นแน่นอนว่าเย่เชียนมองเห็นได้โดยธรรมชาติ แต่เย่เชียนนั้นไม่สนใจสายตาเหล่านั้นและเขาก็เหลือบมองคนเหล่านั้นและขดปากเล็กน้อยด้วยสายตาที่ยั่วยุ ซึ่งถ้าหากเย่เชียนหวั่นเกรงสองคนนี้เขาก็คงจะไม่ใช่เย่เชียนอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นดวงตาของเย่เชียนแล้วเย่หานรุ่ยและเย่หานห่าวก็ถึงกับตกใจและตัวสั่นด้วยความโกรธแต่พวกเขาไม่กล้าทำอะไร ยิ่งกว่านั้นพวกเขาได้เห็นและเรียนรู้ความสามารถของเย่เชียนแล้ว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีกและถึงแม้ว่าพวกสองคนจะร่วมมือกันแต่ก็กลัวว่าแม้แต่พวกเขาทั้งสองคนก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เชียนเลย
ส่วนเย่หานซวนนั้นเขาไม่ได้สนใจการแข่งขันแย่งชิงเหล่านี้เขาจึงทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขากับเย่เชียนจะไม่ได้สนิทกันหรือรู้จักกันมาเป็นเวลานานก็ตามแต่เขาก็รู้สึกว่าเย่เชียนนั้นดีกว่าเย่หานรุ่ยและเย่หานห่าวมาก แน่นอนว่าเย่หานซวนเองก็รู้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เชียนเลยไม่ว่าจะเป็นทักษะการต่อสู้หรือไหวพริบและความฉลาดหลักแหลมอีกด้วย
เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่หานซวนก็กระซิบข้างๆหูของเย่เชียนว่า “อย่าไปสนใจพวกเขาเลย..พวกเขาก็นิสัยแบบนี้แหละแต่อันที่จริงพวกเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรแต่เป็นเพราะลุงเจิ้งเซียงสั่งสอนพวกเขาแบบผิดๆก็เท่านั้นเอง”
เย่เชียนก็พยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมไม่ได้สนใจพวกเขา..แต่ถ้าพวกเขากล้าที่จะมายุ่งวุ่นวายกับผมอีกผมขอบอกได้เลยว่านั่นจะเป็นฝันร้ายของพวกเขา”
เย่หานรุ่ยกับเย่หานห่าวนั้นไม่รู้เลยว่าเย่หานซวนกำลังช่วยพวกเขาในทางอ้อมอยู่ แต่กลับมองว่าเย่หานซวนนั้นสนิทสนมกับเย่เชียนอย่างใกล้ชิดและคิดว่าเย่หานซวนนั้นเป็นแค่คนขี้แพ้ที่เห็นเย่เชียนได้ดีแล้วจะไปเข้าขางเย่เชียน ซึ่งนั่นทำให้ทั้งสองรู้สึกอึดอัดอย่างมากและพวกเขาก็คิดอย่างโกรธเคืองว่า ‘ทาสก็คือทาส..เมื่อไหร่ที่ฉันขึ้นเป็นผู้นำล่ะก็ฉันจะสั่งสอนพวกแกให้หลาบจำ!’
นี่อาจจะเป็นเพราะสายเลือดระหว่างพี่น้องเพราะเย่หานรุ่ยกับเย่หานห่าวนั้นดูเหมือนจะรับรู้ถึงความคิดของกันและกันเพราะพวกเขาต่างก็มองหน้ากันแล้วถอนหายใจด้วยความโกรธ อันที่จริงพี่น้องสองคนนี้ไม่ได้รักกันมากนักเพราะพวกเขาชัดเจนมากว่ามันจะมีผู้นำได้เพียงคนเดียวและมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถครอบครองทุกอย่างในตระกูลเย่ได้ ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาจึงได้รักษาความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนนี้เอาไว้รอวันตัดขาดนั่นเอง
“บรรพบุรุษของตระกูลเย่อยู่ที่นี่แล้วและวันนี้ก็เป็นพิธีสักการะที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ตระกูล..มันเป็นความจริงที่ว่าหลานชายของฉันที่หายตัวไปนานกว่ายี่สิบปีได้หวนคืนกลับมาแล้ว..นี่คือพรเพราะงั้นพวกเราจึงขอขอบคุณบรรพบุรุษ!” เย่เจียอู๋พูดต่อ “ขอสักการะบรรพบุรุษอย่างจริงใจและขอให้พวกท่านอวยพรให้ตระกูลเย่รุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น!”
จากนั้นเย่เจียอู๋ก็กราบนมัสการสามครั้งด้วยความจริงใจ ส่วนคนที่เหลือก็โค้งคำนับอย่างเป็นธรรมชาติและถึงแม้ว่าพวกเขาอาจไม่จริงใจแต่พวกเขาทั้งหมดก็ต้องทำภายในสถานการณ์เช่นนี้
เย่เจียอู๋ก็มองย้อนกลับไปที่เย่เชียนแล้วพูดว่า “มาสิเสี่ยวเชียน..ก้าวออกมาข้างหน้า”
ทันทีที่คำเหล่านี้หลุดออกมาสายตาของทุกคนก็เพ่งเล็งไปที่เย่เชียนทันทีเพราะคำพูดของเย่เจียอู๋นั้นค่อนข้างน่าสนใจและแม้แต่เย่เจิ้งเซียงเองยังต้องอยู่ข้างหลังเลยแต่เย่เชียนกลับได้มาอยู่ข้างหน้าและนี่มันหมายความว่าอย่างไร? เย่เจิ้งเซียงเป็นถึงผู้นำตระกูลเย่แต่ตอนนี้แม้แต่เขาก็ยังไม่มีสิทธิ์พิเศษเหมือนกับเย่เชียนซึ่งหมายความว่าตำแหน่งของเขาอาจจะไม่มั่นคงอีกต่อไปและอดไม่ได้ที่จะเดาว่าพ่อของเขาต้องการที่จะแต่งตั้งเย่เชียนเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปหรือไม่
เย่เจียอู๋นั้นไม่รู้ว่าคำพูดคำเดียวของเขาจะทำให้ทุกๆคนตกตะลึงได้จริงๆและหลังจากเห็นสายตาของทุกคนที่ดูตกตะลึงเขาก็เข้าใจในทันทีแต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรใดๆ หนึ่งคือเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายและอีกอย่างคือเขาเองก็จะทำให้ทุกคนคิดเช่นนั้นอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเย่เจียอู๋จะแก่แต่เขาก็ไม่ได้เลอะเลือนใดๆและยิ่งไปกว่านั้นเย่หานซวนไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเป็นผู้นำตระกูลเย่ ซึ่งทำให้ลูกชายทั้งสองของเย่เจิ้งเซียงไม่มีคู่แข่งจนพวกเขานั้นไม่สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ แต่ถ้าหากเขาสามารถมอบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งให้กับทั้งสองได้บางทีทั้งสองคนอาจจะเติบโตขึ้นอย่างรุ่งโรจน์ในอนาคตและไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำของตระกูลก็ตามถึงยังไงเย่เจียอู๋ก็จะไม่เสียใจและจะดีสำหรับตระกูลเย่อีกด้วย จากนั้นเย่เจียอู๋จึงจะสามารถปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างสบายใจ
ไม่ว่าทุกคนจะเดาแบบไหนหรือคิดอย่างไรก็ตามแต่หลังจากได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็ลุกขึ้นและเดินไปหาเย่เจียอู๋และคุกเข่าลง จากนั้นเย่เจียอู๋ก็พูดว่า “บรรพบุรุษทั้งหลายนี่คือเย่เชียนหลานชายของเย่เจียอู๋คนนี้!..และเขาเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานผู้เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลเย่ของเรา!..ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเย่เชียนจะมีชื่ออยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลเย่อย่างเป็นทางการและเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเย่!”
“เสี่ยวเชียนพ่อของเอ็งเป็นวีรบุรุษของตระกูลเย่และเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเพราะงั้นฉันหวังว่าเอ็งจะได้เลือดมาจากพ่อและสามารถทำให้ตระกูลเย่มีอนาคตที่รุ่งโรจน์ยิ่งขึ้นในอนาคต!” เย่เจียอู๋หันไปเหลือบมองเย่เชียนและตบไหล่เขาแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม
ความหมายนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นทันทีที่คำพูดหลุดออกมาและทำให้เย่เจิ้งเซียงรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก “ท่านพ่อครับ..ท่านต้องการให้เสี่ยวเชียนเป็นผู้นำตระกูลเย่อย่างงั้นหรอ?” เย่เจิ้งเซียงพูด “เสี่ยวเชียนยังเด็กเกินกว่าที่จะ…
“อย่ากังวลไป..ฉันไม่ได้จะแต่งตั้งให้เสี่ยวเชียนสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ในตอนนี้หรอก..การเลือกผู้นำของตระกูลนั้นเป็นหน้าที่ของผู้อาวุโสทุกคนในตระกูลและการพิจารณาก็จะแตกต่างกันออกไป..ส่วนเรื่องก่อนหน้านี้ให้ทุกคนเตรียมพร้อมสำหรับความผิดพลาดทั้งหมดด้วย!” เย่เจียอู๋พูด
เมื่อได้ยินเช่นนี้หัวใจของเย่หานรุ่ยกับเย่หานห่าวก็เต้นรัวในทันทีและพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเย่เจียอู๋ด้วยความตกตะลึงราวกับพวกเขาเป็นนักโทษที่รอคำพิพากษา
เย่เชียนก็อ้าปากและต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่เย่เจียอู๋จ้องมองเขาและทำให้เขาต้องกลืนคำพูดลงไปในทันที ส่วนเย่เจิ้งเซียงก็เหลือบมองเย่เชียนด้วยดวงตาที่เผยให้เห็นร่องรอยของความโกรธจากนั้นเขาก็พูดว่า “ท่านพ่อเรื่องนี้จะไม่ถูกรวมกับการพิจารณาผู้นำคนต่อไปใช่มั้ย?”
“หากพวกเขาไม่สามารถแก้ไปปัญหานี้ได้นั่นก็แสดงว่าเขาไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำของตระกูลเย่” เย่เจียอู๋พูด “ตระกูลเย่ของฉันมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับกองทัพมาโดยตลอด..ทั้งเจิ้งเฟิงและหานซวนก็อยู่ที่เสิ่นหยางเพื่อรับใช้ชาติในเขตทหารและตอนนี้สังคมในปัจจุบันก็กำลังก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งดังนั้นหากตระกูลเย่ของเราต้องการพัฒนาเราก็ไม่สามารถยึดติดกับกฎเดิมในการดำรงชีวิตได้ไม่เช่นนั้นเรามีแต่จะถูกกำจัดเท่านั้น..คราวนี้ฉันหวังว่าลูกหลานทุกคนจะสามารถเข้าร่วมกองทัพเพื่อฝึกซ้อม และหลังจากนั้นฉันจะตัดสินให้ถูกต้องตามกฎและเกณฑ์ที่กำหนดอย่างเป็นธรรม!”
“เข้าร่วมกองทัพ?” เย่เจิ้งเซียงพูดด้วยความตกตะลึง “ท่านพ่อนี่มันไม่ยุติธรรมเลย..หานซวนอยู่ในกองทัพมาโดยตลอดและเขาก็มีเครือข่ายและความสัมพันธ์กับคนวงการทหารแต่หานรุ่ยกับหานห่าวไม่เคยเลยแม้แต่น้อย..ท่านพ่อจะให้พวกเขาไปเป็นทหารน่ะเหรอ?..การประเมินแบบนี้มันไม่ยุติธรรมไปหน่อยเหรอ?”
“ไม่มีอะไรที่ไม่ยุติธรรมทั้งนั้น..นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่เคยออกห่างจากตระกูลเย่เลยดังนั้นพวกเขาจึงขาดวิสัยทัศน์และความกล้าหาญที่จะเผชิญโลกภายนอก..ซึ่งจุดประสงค์ของการทำแบบนี้ก็คือฝึกพวกเขาให้เติบโตยิ่งขึ้น” เย่เจียอู๋พูด “ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะฉันเป็นคนยุติธรรมเสมอและที่สำคัญพวกเขาทั้งหมดเป็นหลานของฉันและฉันจะไม่ลำเอียง..ฉันจะไปคุยกับคนใหญ่คนโตในเขตทหารเมืองหนานจิงเพื่อไม่ให้พวกเขาปฏิบัติกับใครอย่างพิเศษกว่าคนอื่นๆ..ทุกคนจะต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นและฉันจะไม่ช่วยอะไรใครทั้งนั้น”
“เขตทหารเมืองหนานจิง?” เย่เจิ้งเฟิงก็ถึงกับตกตะลึง อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้สนใจตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่แต่อย่างใด ดังนั้นเขาก็เลยไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับเย่เจิ้งเซียงเพราะงั้นเขาจึงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
ถึงแม้ว่าเย่เจิ้งเซียงจะไม่เต็มใจแต่เย่เจียอู๋ก็ได้พูดไปแล้วดังนั้นเขาจะพูดอะไรได้อีก? เย่เจิ้งเซียงชัดเจนมากเกี่ยวกับอารมณ์และนิสัยของเย่เจียอู๋เพราะเมื่อเย่เจียอู๋ตัดสินใจอะไรแล้วก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ส่วนเย่หานรุ่ยกับเย่หานห่าวก็ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ เดิมทีพวกเขาเป็นคนที่ไม่เคยแม้แต่จะออกหากจากตระกูลเย่เลยถึงแม้ว่าพวกเขาจะไปรอบๆในขณะที่พวกเขากำลังเดินทางแต่มันก็ไม่อะไรมากไปกว่าการเที่ยวและดื่มกินแต่ตอนนี้พวกเขากำลังจะถูกโยนเข้ากองทัพอย่างกะทันหันดังนั้นพวกเขาจะปรับตัวได้อย่างไร? “ท่านปู่นี่คือ..การพิจารณามันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?..พวกเราดีกว่าพวกในกองทัพอย่างแน่นอน..ผู้นำของตระกูลเย่เป็นผู้รับผิดชอบต่ออนาคตของตระกูลเย่และสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องพิจารณาก็คือความเข้าใจเกี่ยวกับตระกูลเย่สำหรับอนาคตของตระกูลเย่ไม่ใช่หรอครับ” เย่หานรุ่ยพูด
“ใช่!..ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” เย่หานห่าวรีบเห็นด้วยทันที
.
.
.
.
.
.