ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 79 งานราตรี (4)
ติ๊ง!
“เสียงอันแสบแก้วหูดังขึ้นในขณะที่นิ้วของเหว่ยเฉินหลงกดลงบนลิ่มเปียโน เขาสะดุ้งโหยงและหยุดเล่นทันที แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจเล่นอีกครั้ง แต่มันก็เหมือนเดิมเพราะเสียงที่เสียดหูก็ดังออกมาเหมือนก่อนหน้านี้
แขกที่อยู่ในงานต่างก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แน่นอนว่าพวกเขาเคยได้ยินเสียงเปียโนที่ทั้งไพเราะและไม่ไพเราะมาก่อน แต่ก็ไม่เคยมีเสียงไหนที่เสียดหูเท่ากับของเหว่ยเฉินหลงเลย พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเหว่ยเฉินหลงถึงกล้าที่จะออกมาแสดงบนเวที ในเมื่อเขามีฝีมือยอดแย่ขนาดนี้ เขาไม่กลัวเสียหน้าหรืออย่างไรกัน ?
ส่วนฉินหยู จ้าวหยา และหูวเค่อเองก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เพราะนี่มันต้องไม่ใช่ระดับทักษะที่แท้จริงของเหว่ยเฉินหลงอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาจะกล้าท้าทายเย่เชียนได้อย่างไร ?
คำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่พอฟังได้ก็คือเปียโนมันพังไปเสียแล้ว แต่ทุกคนก็เห็นกันอยู่ว่าเมื่อตอนที่เย่เชียนใช้มันก็ยังดีอยู่ และสาเหตุที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ เย่เชียนทำบางอย่างกับเปียโนด้วยฝีมือของเขา
“นายทำใช่มั้ย ?” ฉินหยูมองไปที่เย่เชียนและรีบถามอย่างรวดเร็ว
เย่เชียนได้แต่ฉีกยิ้มและไม่ตอบกลับ แม้ว่าวิธีการของเขาจะดูแยบยลเพียงน้อยนิด แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก หากมีใครจะตำหนิล่ะก็ เขาจะมองว่าเหว่ยเฉินหลงนั่นแหละที่ตั้งใจมาหาเรื่องกับเขาก่อนเอง
ฉินหยูมองเย่เชียนอย่างหมดหนทางและไม่พูดอะไรอีก ในขณะที่จ้าวหยาจ้องมองเย่เชียนอย่างเดือดดาลและพูดว่า “นายโกงนี่! นายมันไร้ยางอายจริง ๆ!”
“ใครไร้ยางอาย ? อย่ามากล่าวหากันผิด ๆ นะ ถ้าเธอจะไม่ทำตามสัญญาก็ไม่เป็นไรหรอก… เพราะฉันเองก็ไม่ต้องการให้ลูกหมาน้อยมาจูบกับฉันเหมือนกัน” เย่เชียนพูดอย่างไม่แยแส
“ไอ้ขี้โกง! ไอ้คนขี้โกง!” จ้าวหยาตะคอกอย่างโกรธเคือง
เย่เชียนทำตัวเหมือนหมูที่ตายแล้วและไม่กลัวน้ำร้อนเดือด ๆ เขามองจ้าวหยาด้วยสีหน้ายั่วยุและพูดว่า “ใช่ซี้… ฉันมันคนขี้โกง… ว่าแต่ถ้าฉันมันไอ้ขี้โกงแล้วยังไงล่ะ เธอจะทำอะไรฉันงั้นเรอะ ?”
“เจ๊หยูดูสิ เขากวนประสาทฉันอีกแล้ว!” จ้าวหยาเหวี่ยงแขนของฉินหยูไปมาเหมือนเด็กงอแง
ฉินหยูอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มและพูดว่า “อ้าว… เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเธอสองคน เธอจะให้ฉันจะเข้าไปยุ่งได้ยังไง ? เธอสองคนควรเคลียร์กันเองสิ”
“เจ๊หยู…! เจ๊กำลังร่วมมือกับไอ้คนโกงนี่เพื่อกลั่นแกล้งฉันใช่มั้ย ? ใช่ซี้… เขามันเป็นผู้ชายหนิ” จ้าวหยากะพริบตาปริบ ๆ และพยายามบีบน้ำตาแต่ฉินหยูก็ไม่สนใจเธอเลย
เหว่ยเฉินหลงรู้ดีว่าแม้ว่าทักษะของตัวเองจะไม่ดีถึงขั้นมืออาชีพ แต่เขาก็ไม่ควรจะทำได้แย่ขนาดนี้ ดังนั้นคำอธิบายเดียวก็คือเย่เชียนทำให้เปียโนเสียหาย ไอ้เด็กไร้หัวนอนปลายเท้าคนนี้น่ารังเกียจเกินไป ความโกรธของเหว่ยเฉินหลงปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในใจของเขา เรื่องแพ้ชนะกับคนอย่างเย่เชียนมันไม่ได้เลวร้ายนัก แต่การที่เขาต้องมาเสียหน้าต่อหน้าบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานมากมายนั้น โดยเฉพาะต่อหน้าฉินหยู เหว่ยเฉินหลงไม่สามารถกลืนความโกรธนี้ลงไปและใช้ชีวิตเยี่ยงนี้ได้
หลังจากหัวเราะแห้ง ๆ เหว่ยเฉินหลงก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเดินไปทางฉินหยู เขาเห็นเย่เชียนกำลังหมุนแก้วไวน์ในมืออย่างสบายใจราวกับว่าเขาไม่สนใจและไม่แยแสกับการเดินมาถึงของเหว่ยเฉินหลงเลย ซึ่งมันทำให้เหว่ยเฉินหลงเดือดดาลจนอยากจะฆ่าเย่เชียนให้ตายเสียตรงนี้
ในมุมมองของเย่เชียนนั้น เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่สูงส่งเลยแม้แต่นิด เขามักจะคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาที่ไม่ใช่คนที่ดีนักมาโดยตลอด ในบางครั้งคนเราก็ต้องทำสิ่งที่เลวร้ายบ้าง และยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเย่เชียน เมื่อต้องต่อสู้กับศัตรูแล้วล่ะก็ จะมีเพียงผลลัพธ์สุดท้ายเท่านั้นที่สำคัญ ตราบใดที่เขาบรรลุเป้าหมายที่ต้องการแล้ว ไม่ว่าจะด้วยกระบวนการหรือวิธีไหน ๆ มันก็ไม่สำคัญสำหรับเขาอีกต่อไป
“ไอ้คนชั้นต่ำ… ไอ้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า! เล่นสกปรก หน้าไม่อายจริง ๆ!” เหว่ยเฉินหลงสบถอย่างเดือดดาลขณะจ้องหน้าเย่เชียน
“หา ? คุณกำลังหมายถึงผมอยู่เหรอ ?” เย่เชียนถามด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ฉันไม่ได้พูดชื่อนาย… นายอย่าร้อนตัวสิ แต่ถ้านายอยากรับมันเอาไว้ก็ตามใจ ฉันก็จะไม่ขัด!” เหว่ยเฉินหลงพูดอย่างเหยียดหยาม
“แพ้ก็ยอมรับว่าแพ้สิ… ทำไมต้องมาพูดจาอะไรแบบนี้ด้วยล่ะ ? ผมหวังว่าคุณจะเลิกรบกวนหยูหยู่ซะทีนะ ไม่งั้นผมจะไม่สุภาพเหมือนวันนี้ที่ปล่อยให้คุณแค่เสียหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ!” เสียงของเย่เชียนเริ่มเย็นชาลงทุกที ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ นายขู่ฉันงั้นเหรอ ?” เหว่ยเฉินหลงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างยโสโอหังและเหยียดหยาม เขาพูดต่อไปว่า “เป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอันสุดแสนต่ำต้อย แต่นายยังมีหน้ากล้ามาขู่ฉันงั้นเหรอ ? นายลองไปถามใครดูก็ได้นะว่าตัวตนของฉัน เหว่ยเฉินหลงผู้นี้ในเซี่ยงไฮ้นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน ถ้าฉันต้องการที่จะจัดการกับนายมันก็ง่าย ๆ เหมือนการบดขยี้มดให้ตายนั่นแหละ”
“อุ๊ย! กลัวจังเลย…” เย่เชียนพูดและจับหน้าอกพร้อมทำท่าทางเจ็บปวดใจ
“เหว่ยเฉินหลง! ฉันขอเตือนคุณเอาไว้ก่อนเลยนะว่าถ้าคุณกล้าที่จะทำร้ายเขาแม้แต่ปลายเส้นผม คุณจะไม่ได้เห็นดวงตะวันขึ้นในวันถัดไปอีก จำคำของฉันเอาไว้” ฉินหยูแทรกขึ้นมา ใบหน้าของเธอเย็นชาราวกับน้ำแข็งที่ถูกแช่แข็งมานานนับพันปี
เหว่ยเฉินหลงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับภูมิหลังของฉินหยูเป็นอย่างดี มิฉะนั้นแล้วเขาคงไม่พยายามอย่างหนักหนาสาหัสในการไล่ตามเธอขนาดนี้ แม้ว่าในความเป็นจริงที่ว่า เธอนั้นเป็นผู้หญิงที่สวยและงดงามมาก แต่เหตุผลที่เขายังคงไล่ตามเธอต่อไปนั้นก็เป็นเพราะการสนับสนุนและอิทธิพลที่ทรงพลังของครอบครัวของเธอด้วย
ตอนนี้เมื่อเขาเห็นว่าเธอกำลังปกป้องเย่เชียน มันก็ทำให้ความเกลียดชังที่เขามีต่อเย่เชียนยิ่งทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ เขากัดฟันข่มความโกรธเอาไว้ในใจก่อนจะพูดอย่างโกรธแค้น
“เหอะ! ผู้ชายที่ต้องพึ่งพาผู้หญิงและให้ผู้หญิงคอยปกป้องแบบนี้น่ะ มันน่าอับอายขายขี้หน้าแค่ไหนรู้มั้ย ?!”
เย่เชียนไม่แยแสกับคำพูดของเหว่ยเฉินหลง เขาฉวยมือของฉินหยูมาจับอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็พูดว่า “ผมเต็มใจ… แล้วคุณจะทำไม ?”
ถึงแม้ว่าฉินหยูจะขัดขืนเล็กน้อยตอนที่เย่เชียนดึงมือเธอไป แต่เธอก็คิดว่ามันเป็นการดีที่สุดแล้วที่จะให้เขาสร้างสถานการณ์ในตอนนี้ เธอจึงมองเย่เชียนอย่างอ่อนโยนและไม่ได้พูดอะไรอีก
ในมุมของหูวเค่อนั้น เธอกำลังรู้สึกสนใจในตัวเย่เชียนมากขึ้นเรื่อย ๆ สัญชาตญาณของเธอกำลังบอกว่า เย่เชียนคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ
ทางด้านของจ้าวหยานั้น ถึงแม้ว่าเธอจะค่อนข้างไม่พอใจกับเย่เชียน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะประทับใจเหว่ยเฉินหลงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังแอบหวังเล็ก ๆ ในใจว่าเหว่ยเฉินหลงจะพาใครสักคนมาสอนบทเรียนให้แก่เย่เชียน เธอจะได้ไม่ต้องทำตามสัญญาของเธอโดยการต้องจูบกับคนขี้โกงจอมฉวยโอกาสคนนั้น
ถึงแม้ว่าเหว่ยเฉินหลงจะใส่ใจและนอบน้อมกับผู้ที่สนับสนุนฉินหยูอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเกรงกลัว ตอนนี้เขาแค่พยายามจะแสดงความเคารพต่อฉินหยูจนไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอย่างไรดี แต่เขาก็สัญญากับตัวเองในใจไว้ว่าจะทำให้ชีวิตของเย่เชียนเหมือนกับตกนรกทั้งเป็นให้ได้
ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!!!
ทันใดนั้นเอง เสียงลูกปืนกระทบกับเพดานห้องดังขึ้นหลายนัดโดยที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว โจรใส่หน้ากากกลุ่มหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาในห้องจัดงานแล้วกราดยิ่งขึ้นฟ้าอย่างบ้าคลั่ง
“หมอบลง! ทุกคนหมอบลงกับพื้นเดี๋ยวนี้!!!” หนึ่งในกลุ่มโจรตะโกนสั่งเสียงดัง
ผู้เข้าร่วมงานราตรีทั้งหมดเป็นคนร่ำรวยและมีฐานะสูง พวกเขาเคยแต่ได้รับการปฏิบัติเหมือนดั่งเจ้าหญิงเจ้าชายในวังและไม่เคยต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย มันทำให้พวกเขาตื่นตระหนกตกใจ พากันวิ่งไปมาอย่างระส่ำระสาย
และแล้ว… ห้องทั้งห้องก็กลายเป็นภาพแห่งความวุ่นวายและสับสนอลหม่านในทันที
เหว่ยเฉินหลงชะงักไปชั่วครู่ แต่ใบหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงถึงความกลัวมากนักเพราะเมืองเซี่ยงไฮ้ทั้งเมืองเป็นดินแดนของเขา เขาคิดว่าแม้แต่อาชญากรเหล่านี้ก็ต้องยอมสยบให้แก่เขา
ส่วนจ้าวหยานั้น โดยปกติแล้วแม้ว่าเธอจะดูเป็นผู้หญิงที่ฉุนเฉียวและมีความกล้าหาญอย่างมาก แต่ในช่วงเวลาที่เธอเห็นโจรกรูกันเข้ามา เธอก็กระโจนเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของฉินหยูอย่างหวาดกลัว
ในทางกลับกัน หูวเค่อที่ดูเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา เธอยังคงควบคุมสติได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก ที่สำคัญคือไม่มีร่องรอยของความกลัวปรากฏบนใบหน้าเธอเลยแม้แต่น้อย
ขณะเดียวกันนั้น ฉินหยูก็ขมวดคิ้วพร้อมกับเอามือดันจ้าวหยาและหูวเค่อให้หลบไปอยู่ข้างหลังเธอ ราวกับว่าเธอจะปกป้องทั้งสองคนอย่างสุดหัวใจ
แต่ทว่าในด้านของเย่เชียน เขาฉีกยิ้มอย่างขมขื่นและคิดในใจว่า ‘ไอ้เพื่อน ๆ พวกนี้ต้องการที่จะขโมยเครื่องประดับจริง ๆ อย่างงั้นสินะ ?’