ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 793 ความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อน
ตอนที่ 793 ความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อน
เมื่อได้สัมผัสกับโลกศิลปะการต่อสู้โบราณแล้วเย่เชียนก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับเหล่าปรมาจารย์และผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ตำรับโบราณได้ การต่อสู้เช่นนั้นมันจะโหดร้ายกว่าโลกภายนอกดังนั้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตัวเองจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนและไม่ต้องพูดถึงการประลองการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ประจำตระกูลเย่เลยเพราะนอกจากนี้ยังมีสำนักม่อจื๊อซึ่งเป็นศัตรูที่สำคัญที่สุดของเขี้ยวหมาป่าอีกด้วย นี่คือสิ่งที่เป็นของม่อหลงเพราะม่อลงนั้นเป็นผู้สืบทอดสำนักม่อจื๊อโดยตรง ซึ่งม่อหลงนั้นก็เป็นสมาชิกขององค์กรทหารรับจ้างและเป็นพี่น้องของเย่เชียนดังนั้นเย่เชียนจึงต้องรับผิดชอบและจัดการกับสำนักม่อจื๊อให้สำเร็จ
ถึงแม้ว่าพลังการต่อสู้ของบุคลากรของเขี้ยวหมาป่าจะแข็งแกร่งมากในปัจจุบันแต่ถ้าเทียบกับนักสู้ตำรับโบราณเหล่านั้นแล้วมันอาจจะอ่อนแอกว่ามากและท้ายที่สุดทักษะการต่อสู้ตำรับโบราณของพวกเขาก็ยังอ่อนแอกว่าและเกรงว่ามันจะง่ายมากเมื่อเผชิญหน้ากับนักสู้ตำรับโบราณเหล่านั้น ครั้งสุดท้ายที่เย่เชียนเผชิญหน้ากับเย่เจิ้งเซียงนั้นเย่เชียนแทบจะไม่ได้เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าความแข็งแกร่งของเย่เจิ้งเซียงนั้นอยู่ในระดับใดในแห่งศิลปะการต่อสู้โบราณ ในอนาคตเขาอาจพบตัวละครที่ทรงพลังมากกว่า ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของเขา
ดูหยานซื่อฉุยเป็นตัวอย่างเพราะเธอคิดที่จะฆ่าเย่เชียนในสักวันหนึ่งและถ้าหากเย่เชียนไม่สามารถแข็งแกร่งได้ในสักวันหนึ่งเขาก็จะถูกฆ่าโดยผู้ชายจอมปลอมคนนี้
หลังจากวางสายไปเย่เชียนก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเขารู้สึกเพียงว่าภาระบนบ่าของเขาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆและเขาก็ถึงกับต้องถอนหายใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่จำเป็นต้องการคิดอะไรมากมายแต่มันก็อดไม่ได้จะคิดเรื่องนี้อยู่ดี
สำหรับเขตการปกครองพิเศษไต้หวันนั้นเย่เชียนเชื่อว่าเฉินโม่ที่ดูแลสิ่งต่างๆอยู่ที่นั่นก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไร นอกจากนี้ยังมีแจ็คที่คอยเตรียมการแบบครบวงจรอยู่ ดังนั้นงานที่สำคัญที่สุดของเย่เชียนในตอนนี้คือการค้นหาความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้โบราณและวางรากฐานที่ดีสำหรับอนาคต
เมื่อเห็นเย่เชียนขมวดคิ้วหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ถึงผงะเล็กน้อยและถามว่า “อาจารย์มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ..มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย?”
เย่เชียนก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่!..นายช่วยเรื่องพวกนี้ไม่ได้”
“อาจารย์..ว่าแต่อาจารย์มีความคับข้องใจอะไรกับรัฐบาลจีนหรือเปล่า?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยถามอย่างระมัดระวัง
เย่เชียนก็หันไปชำเลืองมองแล้วถามกลับว่า “มีอะไรผิดปกติหรือเปลา?”
หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ผมน่ะเคารพอาจารย์เสมอเพราะอาจารย์สอนผมถึงวิธีปฏิบัติตนให้ถูกต้องและพูดได้เลยว่าหากไม่มีอาจารย์ก็คงจะไม่มีหวงฟู่เส้าเจี๋ยในวันนี้เพราะงั้นผมจึงรู้สึกขอบคุณมาก..แต่ผมน่ะเป็นทหารและเป็นทหารของประเทศชาติ..ในใจของผมศักดิ์ศรีของมาตุภูมิและประเทศชาติสำคัญกว่าทุกสิ่งเพราะงั้นถ้าวันหนึ่งอาจารย์ขัดแย้งกับประเทศจีนจริงๆผมก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไง..อีกฝ่ายก็ประเทศอีกฝ่ายก็อาจารย์ผู้มีพระคุณ..ผมเลือกไม่ได้จริงๆ”
เย่เชียนก็แน่นิ่งไปชั่วขณะและขมวดคิ้วโดยไม่ตั้งใจและในทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อยในใจเพราะอันที่จริงคำพูดของหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ชัดเจนมากถ้าหากวันหนึ่งเขากับรัฐบาลจีนขัดแย้งกันจริงๆหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็จะเป็นคนแรกที่ดำเนินการกับเขาอย่างแน่นอนในฐานะรั้วของชาติ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้ตำหนิเขาเพราะทุกคนต่างมีมุมมองของชีวิตและทัศนคติที่แตกต่างกัน ในสายตาของหวงฟู่เส้าเจี้ยบางทีเกียรติยศของประเทศอาจอยู่เหนือทุกสิ่ง แต่สำหรับเย่เชียนเพื่อนพ้องและพี่น้องและเครือญาติคือสิ่งสำคัญที่สุดและสามารถพูดได้ว่าเขาเห็นแก่ตัวแต่คุณก็ไม่สามารถพูดได้ว่าเขาไม่รักชาติเพราะถ้าเขาไม่รักชาติเย่เชียนก็คงไม่ดำเนินการล้างแค้นกับประเทศญี่ปุ่นเป็นแน่
เย่เชียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้วนายเองก็ตัดสินใจเอาไว้แล้วใช่มั้ย?..ไม่ต้องกังวลไปฉันไม่โทษนายหรอก..แต่ถ้าถึงวันนั้นจริงๆจงรู้เอาไว้นะว่าฉันไม่อ่อนข้อให้นายหรอกและนายก็จะไม่มีโอกาสได้สู้กับฉันด้วยทักษะปัจจุบันของนาย..ถ้าไม่อยากเสียโอกาสเมื่อวันนั้นมาถึงนายก็ควรจะตั้งใจฝึกและพัฒนาฝีมือของตัวเองซะ”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “ฉันคิดว่าเราควรจะรักษาระยะห่างกันในอนาคตเพราะสถานะของพวกเราน่ะต่างกันฉันเกรงว่ามันคงจะไม่ดี..นอกจากนี้การอยู่ใกล้ฉันเกินไปมันจะส่งผลเสียต่ออนาคตของนาย”
หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ยิ้มอย่างเศร้าสร้อยและหลังจากเย่เชียนลงจากรถแล้วเขาก็พูดว่า “บางทีเมื่อเราพบกันในครั้งต่อไปมันอาจจะไม่ใช่ในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์อีกต่อไปแต่เป็นศัตรู!” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
เมื่อมองเย่เชียนที่เดินจากไปหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็รู้สึกประหลาดใจและไม่สูญเสียอาการอย่างมาก เมื่อเขากำลังจะอ้าปากเพื่อหยุดเย่เชียนเอาไว้เขาก็พบว่าเขาไม่สามารถพูดได้เลย ด้วยเสียง “ผัวะ” หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ตบหน้าตัวเองอย่างรุนแรง
อันที่จริงแล้วการที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นดูกลายเป็นลูกผู้ชายมากขึ้นและกล้าหาญเช่นนี้เย่เชียนก็พึงพอใจมาก อย่างไรก็ตามหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นได้สูญเสียความเป็นตัวเองเหมือนเมื่อก่อนและเขาก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวเองเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ซึ่งทำให้เย่ เชียนรู้สึกเศร้าเล็กน้อย แต่ไม่ว่ายังไงเย่เชียนกับหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปเป็นเหมือนในอดีตได้
เย่เชียนนั้นไม่ได้ตำหนิหวงฟู่เส้าเจี๋ยเพราะถนนของทั้งสองแตกต่างกันและถูกกำหนดให้ไม่สามารถร่วมทางกันได้ หากวันหนึ่งเขาได้เผชิญหน้ากับหวงฟู่เส้าเจี๋ยจริงๆเย่เชียนก็จะไม่อ่อนข้อให้เพราะเขามีเหตุผลของตัวเองและความรับผิดชอบที่เขาต้องแบกรับเอาไว้มันหนักหน่วงมากและจะไม่มีใครหยุดยั้งเย่เชียนจากการก้าวไปข้างหน้าได้
การแข่งขันการวัดระดับการฝึกฝนหลักสูตรทางทหารได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในอีก 3 วันต่อมา แน่นอนว่าเย่เชียนไม่ได้เข้าร่วมและหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ทุกครั้งที่เห็นเย่เชียนดูเหมือนหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ เย่เชียนเองก็เข้าใจความรู้สึกของหวงฟู่เส้าเจี๋ยและไม่ได้มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อเขา ประการหนึ่งเย่เชียนยังคงมั่นใจมากว่าถ้าเขาสั่งให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยทำอะไรอีกฝ่ายก็จะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอนเพราะปัญหาระหว่างพวกเขาเป็นเพียงความแตกต่างทางสถานะเท่านั้นและไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกส่วนตัวใดๆ
เย่เชียนยังคงเหมือนเดิมที่ไม่ค่อยเข้าร่วมการฝึกอบรมใดๆเพราะเขาไม่ได้คิดที่จะแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำของตระกูลเย่ เขาแค่มาเพราะเขาไม่อยากทำให้เย่เจียอู๋ผิดหวังและนอกจากนี้การฝึกฝนเหล่านั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลยเพราะเขาฝึกหนักมาโดยตลอดและภาระก็เริ่มหนักขึ้นดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ต้องการเสียเวลาไปกับสิ่งเหล่านี้โดยเปล่าประโยชน์
ตอนนี้เย่เชียนก็ไม่กล้าผ่อนคลายการฝึกศิลปะการต่อสู้ตำรับโบราณเลยแม้แต่น้อยเพราะตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาประสบความสำเร็จในการรวมพลังทั้งสองขั้วนี้เข้าด้วยกันเย่เชียนก็รู้สึกว่าความรวดเร็วในการฝึกฝนของเขาพัฒนาไวขึ้นมากแต่เขากลับไม่สามารถรับมือการโจมตีของเย่เจิ้งเซียงเพียงครั้งเดียวได้ ซึ่งทำให้เขาสงสัยในทักษะที่เขาภาคภูมิใจมาโดยตลอดและเขาก็ต้องกังวลเพราะมันยังมีภัยคุกคามมากมายอยู่ตรงหน้าเขาในอนาคต ดังนั้นตราบใดที่เขาประมาทเขาก็อาจจะเสี่ยงจนไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย
ดูหยายซื่อฉุยเป็นตัวอย่างเพราะตอนที่เธออยู่ที่บ้านของตระกูลเย่เธอไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวหรือลงมือทำอะไรภายใต้ขอบเขตและอำนาจของตระกูลเย่ แต่ตอนนี้มันเป็นโลกภายนอกและเธอคงจะไม่มีข้อจำกัดใดๆอีกต่อไป ดังนั้นต่อให้เย่เชียนจะไม่เต็มใจก็ตามแต่มันก็ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ เย่เชียนจะสามารถรับมือหยายซื่อฉุยได้หรือไม่? เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นหยานซื่อฉุยคงจะไม่แสดงความเมตตาหรอกใช่ไหม? เมื่อใดที่เธอรู้สึกว่าเย่เชียนคุกคามเธอล่ะก็เธอจะฆ่าเย่เชียนอย่างแน่นอนและยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เย่เชียนออกมาจากเขตอำนาจของตระกูลเย่แล้วมันจึงไม่อะไรสามารถรับประกันได้ว่าหยานซื่อฉุยจะไม่จับตามองเย่เชียนอยู่
เย่เชียนก็ใช้ประโยชน์จากเวลาว่างครั้งนี้เพื่อฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น ส่วนสองพี่น้องเย่หานรุ่ยกับเย่หานห่าวก็เริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในค่ายทหารอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไปและไม่มีปัญหาเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป อย่างไรก็ตามการฝึกของหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ทราบสาเหตุและการลงโทษกับพวกเขารุนแรงขึ้นเช่นกัน อาจเป็นเพราะปัญหาของเย่เชียนทำให้เขาไม่สบอารมณ์ดังนั้นหวงฟู่เส้าเจี๋ยจึงระบายออกมากับพวกเขาแทน
อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปสองสามวันเย่เชียนก็เข้าใจสองพี่น้องเย่หานรุ่ยกับเย่หานห่าวดีขึ้นและเป็นไปตามที่เย่เจียอู๋และเย่หานซวนพูดว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนไม่ดีและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ก้าวหน้าไปมากเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงจุดที่สามารถพูดได้ทุกเรื่องแต่ก็ไม่ตึงเครียดเหมือนเดิมอีกต่อไปที่ราวกับเป็นศัตรูเพราะบางครั้งพวกเขาก็พูดคุยกันอย่างไม่เคร่งเครียด
ในวันนี้เย่เชียนยังคงหลับตาและทำสมาธิของเขาตามปกติและทันทีที่เขาตื่นจู่ๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้น จากนั้นเย่เชียนก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูอย่างงงๆและเป็นเสียงของเย่เจียอู๋ เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็มึนงงเล็กน้อยด้วยคำทักทายว่า “เสี่ยวเชียนที่นั่นเป็นยังไงบ้าง..เอ็งชินกับมันหรือยัง?” เย่เจียอู๋ถาม
“ก็ดีครับ..ความสามารถในการปรับตัวของผมมันยอดเยี่ยมอยู่แล้ว” เย่เชียน “ทำไมจู่ๆคุณถึงโทรมาหาผมล่ะ..มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”
“เด็กน้อยเอ๋ยอย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเอ็งอยู่ที่นั่นเป็นยังไง..ฉันละไม่อยากจะเชื่อฉันไม่ได้คาดหวังว่าเอ็งจะทำตัวเป็นอิสระอย่างสบายใจเฉิบเมื่ออยู่ที่นั่นโดยปราศจากอำนาจและอิทธิพลของตระกูลเย่..ฉันไม่คิดเลยว่าเอ็งจะทำแบบนั้น” น้ำเสียงของเย่เจียอู๋ดูปกติโดยไม่รู้ว่าโกรธหรือหยอกล้อกันแน่
เขายิ้มอย่างมั่นใจ และเย่ เฉียนกล่าวว่า “มันเป็นเพียงชื่อ ไม่มีอำนาจที่แท้จริง ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่เรื่องใหญ่” เย่เฉียนไม่ได้โกหกในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นจอมพลหนุ่ม แต่เขาต้องการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องจริง อำนาจ ฉันว่ามันไม่เท่าธงหรอกเหรอ? ยิ่งกว่านั้นเขาไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ ของรัฐ พูดตรงๆ ว่ายศจอมพลของเขาเป็นเพียงเครื่องต่อรองสำหรับรัฐบาลจีนที่จะเอาชนะเขา
“เอาเถอะอย่าไปพูดถึงเรื่องนั้นเลย..สนิทกันเข้าไว้ล่ะ” เย่เจียอู๋พูดต่อ “ด้วยความสามารถของเอ็งตอนนี้การไปค่ายทหารเพื่อฝึกมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี..ในเมื่อเอ็งไม่มีอะไรทำถ้างั้นสนใจทำอะไรให้ฉันบ้างมั้ยล่ะ”
“มีอะไรหรอครับ..ถ้าผมทำได้ผมก็จะลองทำดู” เย่เชียนพูด
“ส่งจดหมายถึงหยุนหยานเหมินให้ฉันทีจะได้มั้ย?” เย่เจียอู๋พูด
“ส่งจดหมาย?” เย่เชียนถึงกับผงะไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คุณไปหาคนส่งของไม่ดีกว่าหรอแล้วทำไมถึงต้องเป็นผม..อีกอย่างหยุนหยานเหมินมันอยู่ที่ไหนผมไม่รู้จริงๆ”
.
.
.