ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 794 ขอความช่วยเหลือ
ตอนที่ 794 ขอความช่วยเหลือ
“พวกเราตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณมีหลักการและกฎเกณฑ์ของพวกเราเอง..ถึงแม้ว่าการส่งพัสดุด่วนจะสะดวกแต่เราไม่สามารถแสดงความเคารพซึ่งกันและกันได้..สำนักหยุนหยานเหมินนั้นมีสถานะที่สูงที่สุดในโลกและเหนือกว่าตระกูลเย่ของเราด้วย..เพราะงั้นฉันจึงต้องการให้เอ็งไปส่งจดหมายและสารนี้ด้วยตัวเอง..ซึ่งมันจะสามารถแสดงความเคารพต่อสำนักหยุนหยานเหมินได้และในทางกลับกันมันจะสามารถทำให้เอ็งรู้จักโลกของตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณได้มากขึ้น…อย่างไรก็ตามเอ็งต้องระมัดระวังคำพูดเอาไวเด้วย” เย่เจียอู๋พูด
ถึงแม้ว่างานนี้ไม่ใช่งานที่ดีแต่ก็ดีกว่าเสียเวลาในค่ายทหารตั้งเยอะ “เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอกแต่ผมอยากรู้ว่าคุณต้องการส่งจดหมายอะไร” เย่เชียนถาม
“เอ็งจำได้ไหมว่าก่อนหน้านี้มีคนมาทำร้ายซูหยานแม่ของเอ็งระหว่างงานเลี้ยงวันเกิดของฉัน” เย่เจียอู๋พูด “ฉันรู้ว่าเอ็งก็อยู่ที่นั่นในเวลานั้นและเอ็งก็เรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาด้วย..เห็นได้ชัดว่าพวกเอ็งรู้จักกันเพราะงั้นฉันจึงคิดว่ามันเหมาะสมกว่าถ้าเอ็งเป็นคนไปส่งจดหมาย”
“ซงเจิ้งหยวน..เขามาจากสำนักหยุนหยานเหมินงั้นหรอ?” เย่เชียนถาม
“ใช่..เขาผู้นำเหล่าลูกศิษย์ของสำนักหยุนหยานเหมิน” เย่เจียอู๋พูด “ถึงแม้ว่าสถานะของตระกูลเย่ของเราจะไม่ดีเท่าของสำนักหยุนหยานเหมินก็ตามแต่เราจะเสียหน้าแบบนี้ไม่ได้เพราะงั้นฉันจึงอยากให้เอ็งไปส่งจดหมายเพื่อขอคำอธิบาย..เอ็งอยู่ในโลกภายนอกมาเป็นเวลานานถ้างั้นเอ็งก็ต้องเคยติดต่อกับผู้คนมากมาย..แบบนี้เอ็งจะไม่ทำให้ตระกูลของเราต้องเสียหน้าเป็นแน่”
“คุณปู่ครับ..ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจอะไรผิด..ถึงผมจะรู้จักซงเจิ้งหยวนก็จริงแต่พวกผมก็มีความขัดแย้งกันและผมเกรงว่าถ้าผมไปผลลัพธ์มันจะตรงกันข้ามน่ะสิ” เย่เชียนพูด ซงเจิ้งหยวนนั้นเป็นพี่ชายของหูวเค่อและหูวเค่อนั้นก็มาจากสำนักหยุนหยานเหมินด้วย แต่น่าเสียดายที่หูวเค่อก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้วไม่เช่นนั้นสิ่งต่างๆน่าจะจัดการได้ง่ายกว่านี้
“อันที่จริงการขอให้เอ็งไปส่งจดหมายครั้งนี้ไม่ได้จริงจังอะไรมากนักเพราะฉันแค่ต้องการให้เอ็งไปสืบหาว่าการกระทำของซงเจิ้งหยวนในครั้งนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาหรือเป็นคำสั่งของสำนักหยุนหยานเหมิน” เย่เจียอู๋พูดต่อ “ถึงแม้ว่าฉีจือเต๋าจะไม่ได้อยู่ในตระกูลเย่แล้วก็ตามแต่ถ้าหากมันเป็นคำสั่งของสำนักหยุนหยานเหมินล่ะก็นั่นแสดงว่าพวกเขากำลังจับตาดูตระกูลเย่อยู่และเราควรจะระมัดระวังเอาไว้ให้มาก”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเย่เชียนก็พูดว่า “ได้สิ..ซงเจิ้งหยวนมันทำร้ายแม่ของผมเพราะงั้นความแค้นนี้ต้องชำระ”
“อย่าประมาทเกินไปเพราะฮัวหยาซินผู้นำของสักนักหยุนหยานเหมินเป็นคนที่จริงจังมาก..เอ็งต้องพูดและทำสิ่งต่างๆอย่างเหมาะสมรู้มั้ย?” เย่เจียอู๋พูด
“ฮัวหยาซิน?..ผู้หญิงงั้นเหรอ?” เย่เชียนพูดและขดปากเล็กน้อย
เย่เจียอู๋ก็อึ้งไปครู่หนึ่งและเขาก็ไม่เข้าใจว่าคำพูดของเย่เชียนนั้นหมายถึงอะไร แต่เขาก็ไม่ได้เจาะลึกเข้าไปจากนั้นเขาก็พูดว่า “ถ้าเอ็งตกลงฉันจะส่งคนไปที่หนานจิงแล้วฉันจะติดต่อเอ็งอีกครั้งเมื่อเอ็งได้รับจดหมาย..ตอนนี้เอ็งไม่ต้องสนใจเรื่องการฝึกหรือค่ายทหารหนานจิงอีกต่อไปเพราะมันไม่มีอะไรให้เอ็งทำที่นั่นหรอก” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เจียอู๋ก็พูดว่า “เสี่ยวเชียนฉันรู้เรื่องทั้งหมดในค่ายทหารดี..การพิจารณาการฝึกนั้นไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดฉันแค่หวังว่าลูกหลานทุกคนจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เพื่อปลูกฝังความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องและร่วมมือกันต่อสู้เพื่ออนาคตที่ดีของตระกูลเย่”
“ฉันแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ ที่เหลือฉันไม่รู้” เย่เฉียนพูดอย่างเฉยเมย
ชายชรายิ้มอย่างช่วยไม่ได้และส่ายหัว ในที่สุดเขาก็เข้าใจหลานชายของเขาบ้างแล้ว บางครั้งเขาก็ไม่ได้ขี้สงสารหรือไร้ความปรานีเหมือนที่มองบนพื้นผิว ตรงกันข้าม เขาเป็นคนที่กระตือรือร้นและรักใคร่มาก แม้ว่าแผลเป็นบนใบหน้าของเขาจะทำให้เย่ เฉียนมีอารมณ์รุนแรง แต่ก็เป็นบางครั้งที่ลูกหลานของแม่น้ำและทะเลสาบที่รู้จักรักษามิตรภาพไว้เป็นอย่างดีไม่ใช่หรือ?
“เอาล่ะฉันจะวางสายแล้ว..เดี๋ยวฉันจะเขียนที่อยู่ของสำนักหยุนหยานเหมินเอาไว้บนซองจดหมายและฉันเชื่อว่าเอ็งจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว..หากเป็นไปได้อย่าให้ใครในเขตทหารหนานจิงรู้เป็นอันขาด..จำคำที่ฉันพูดเอาไว้เอ็งต้องระมัดระวังในทุกๆการพูดและการกระทำรู้มั้ย?” เย่เจียอู๋พูดอย่างจริงจังและดูเหมือนจะเป็นห่วงอย่างมาก ซึ่งตัวเย่เชียนเองก็แทบจะไม่เชื่อเลยเพราะเย่เจียอู๋เป็นคนเด็ดขาดในการทำสิ่งต่างๆแล้วเขาจะมีด้านที่เป็นห่วงเป็นใยเช่นนี้ได้อย่างไร?
ก่อนหน้านี้เย่เจียอู๋มักจะพูดว่าเจิ้งเฟิงนั้นเป็นคนที่ไม่เด็ดขาดแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเย่เจิ้งเฟิงจะได้นิสัยนี้มาจากเย่เจียอู๋ ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้เย่เพราะเย่เจิ้งเฟิงนั้นดูเหมือนก็เป็นคนที่เจ้าเล่ห์น้อยที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งสามคน ซึ่งเขาเป็นคนตรงไปตรงมาแต่ขาดแค่ความมั่นใจ แท้ที่จริงแล้วคนเช่นนี้ก็ไม่เลวเลยเพราะอย่างน้อยๆอำนาจก็ไม่ทำให้เขาเสื่อมทรามและหยิ่งผยองได้
“ครับ!” เย่เชียนตอบแล้ววางสายไป
หลังอาหารเย็นเย่เชียนก็อยู่ในห้องตลอดเวลาและกำลังใช้ความคิดซึ่งหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กดเบอร์โทรศัพท์ของหูวเค่อและหลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆเย่เชียนก็แยกแยะอารมณ์ออกไป หลังจากได้ยินเสียงของหูวเค่อจากอีกฝั่งแล้วเย่เชียนก็ยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “ที่รักคิดถึงผมมั้ย?”
“เอาเถอะ..ปู่ของฉันมอบหมายงานให้คุณแค่คุณกลับทิ้งขยะเอาไว้ในไต้หวันและปล่อยให้ฉันคอยดูแลแต่คุณกลับไปไหนต่อไหนและหายไปโดยไม่บอกสักคำ” หูวเค่อพูดพร้อมกับบ่นบ้าง หลังจากหยุดไปชั่วขณะหูวเคอ่ก็พูดต่อ “ยังไงก็เถอะซื่อฉีบอกกับฉันว่าเธอพบคุณที่บ้านของตระกูลเย่อย่างงั้นหรอ?..คุณไปติดต่อกับตระกูลเย่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เรื่องมันยาวน่ะพูดง่ายๆก็คือผมมาจากตระกูลเย่และพ่อของผมคือเย่เจิ้งหรานแห่งตระกูลเย่” เย่เชียนพูด
หูวเค่อก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อเธอจึงถามว่า “พ่อของคุณคือเย่เจิ้งหรานซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะปรมาจารย์อันดับหนึ่งของตระกูลเย่เมื่อยี่สิบปีที่แล้วน่ะเหรอ?”
“ใช่!..ผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยและไม่คิดว่าผมจะได้เจอญาติและครอบครัวของตัวเองจริงๆ” เย่เชียนพูด
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง..ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเสมอ..ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเมื่อฉันเห็นคุณในตอนนี้ฉันก็คิดว่าคุณมีพลังแปลกๆบางอย่างในร่างกาย..เอาเถอะขอแสดงความยินดีด้วย” หูวเค่อพูดต่อ “มีอะไรถึงได้โทรมาหาฉันล่ะ”
“การที่ผมโทรไปหาคุณมันจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นด้วยหรอ” เย่เชียนพูด “ถ้าผมบอกว่าผมคิดถึงคุณก็เลยโทรมาหาคุณล่ะคุณจะเชื่อมั้ย?”
“คุณพูดอะไรของคุณ” หูวเค่อพูด “ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้คุณพูดจริงหรือเปล่า..ฉันคงจำมันไม่ได้หรอกเพราะมันนานมากแล้ว”
“ดูที่คุณพูดสิ..มันจะเป็นอย่างงั้นได้ยังไงคุณคือชีวิตของผมและเป็นอนาคตของผม..คุณทุกสิ่งทุกอย่างของผม..ให้ตายผมก็จะไม่วันลืมคุณ” เย่เชียนพูด “หรือคุณมีผู้ชายคนอื่นอยู่ที่ไต้หวันแล้ว?”
“ไร้สาระ..คุณเห็นฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ?” หูวเค่อพูด “เอาเถอะหยุดพูดไร้สาระได้แล้วบอกฉันมาว่ามีอะไรจะให้ฉันช่วยอีก”
“ก็ที่งานฉลองครบรอบวันเกิดแปดสิบปีของเย่เจียอู๋ครั้งล่าสุดน่ะพี่ใหญ่ของคุณซงเจิ้งหยวนก็มาเข้าร่วมงานด้วยไม่ใช่เหรอ..เขาแอบมาลอบทำร้ายแม่ของผมเพื่อจะชิงฉีจือเต๋าไป..ตอนนี้เย่เจียอู๋คุณปู่ของผมก็เลยบอกให้ผมไปส่งจดหมายถึงสำนักหยุนหยานเหมินของคุณและไปพบผู้นำของคุณเพื่อขอคำอธิบายในเรื่องที่เกิดขึ้น” เย่เชียนพูด “คุณเองก็น่าจะรู้ดีว่าผมเป็นคนขี้ขลาด..ถ้าผมไปที่นั่นและไปทำให้คนเหล่านั้นขุ่นเคืองล่ะก็ผมคงจะรอดยากและท้ายที่สุดสามีของคุณก็จะถูกฆ่าตายที่นั่น”
“คุณเนี่ยนะขี้ขลาด?..ถ้าคุณขี้ขลาดก็ไม่มีใครกล้าหาญแล้ว” หูวเค่อพูด “ยังไงก็เถอะคุณต้องระมัดระวังทั้งคำพูดและการกระทำ..อาจารย์ของฉันน่ะเป็นคนที่เคร่งเครียดและจริงจังอยู่เสมอ..บางสิ่งบางอย่างพูดทางอ้อมดีกว่าเพราะถ้ามันตรงเกินไปก็อาจจะส่งผลเสียได้” หลังจากหยุดไปชั่วขณะหูวเค่อก็พูดต่อ “คุณบอกว่าศิษย์พี่ของฉันทำแบบนั้นเพื่อไปขโมยฉีจือเต๋าอย่างงั้นหรอ?..นี่ไม่น่าจะใช่ความคิดอาจารย์ของฉัน..ฉันบอกได้เลยว่าอาจารย์ของฉันก็รู้ว่าฉีจือเต๋าไม่ได้อยู่ในตระกูลเย่อีกต่อไปแล้วเพราะงั้นเขาก็คงไม่โง่พอที่จะส่งศิษย์พี่ของฉันไปขโมยมันหรอก”
“ตามที่คุณพูด..คุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของพี่ชายของคุณอย่างงั้นหรอ?..ดูเหมือนว่าความทะเยอทะยานพี่ชายของคุณไม่ได้เล็กน้อยเลยนะ” เย่เชียนพูด “เขากล้ามาก..กระทั่งกล้ามาสร้างปัญหาในวันเกิดปู่ของผมเลย..นี่ถ้าไม่ใช่แม่ของผมมีเมตตาในเวลานั้นล่ะก็ผมคิดว่าพี่ชายของคุณคงจะตายไปแล้ว..ว่าแต่อาจารย์ของคุณรู้ได้ยังไงว่าฉีจือเต๋าไม่ได้อยู่ในตระกูลเย่แล้ว?”
“ฉีจือเต๋าเป็นอาวุธคู่กายของพ่อของคุณในตอนนั้น..แต่หลังจากที่พ่อของคุณเสียชีวิตลงฉีจือเต๋าก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยและบางคนก็คิดว่านี่เป็นข่าวลือที่ตระกูลเย่พยายามแพร่กระจายข่าวลวงเพราะกลัวว่าจะมีคนที่อยากจะครอบฉีจือเต๋ามาตามหามัน..แต่ฉันรู้ว่ามันคือความจริง” หูวเค่อพูด “อีกอย่างฉีจือเต๋าน่ะก็อยู่กับคุณตลอดเวลาเลยไม่ใช่เหรอ?”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มเบาๆจากนั้นก็พูดว่า “นี่คุณรู้มานานแล้วเหรอว่ามีดคลื่นโลหิตที่ผมพกเอาไว้มันคือฉีจือเต๋า..แล้วทำไมคุณไม่พูดก่อนหน้านี้ล่ะ..นั่นก็หมายความว่าคุณรู้มานานแล้วรวมทั้งเรื่องผู้คนจากตระกูลเย่ด้วยงั้นหรอ?”
“ถ้าเรื่องนั้นฉันเองก็ไม่รู้..อย่ามองฉันผิดไปสิ..ตอนนั้นคุณบอกเองไม่ใช่หรอว่าอู๋หวนเฟิงขโมยมีดนั้นมาจากพิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษและต้องเสียแขนข้างหนึ่งไปเพื่อสิ่งนี้..ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณมาจากตระกูลเย่..ถึงแม้ว่าตอนนั้นฉันจะค่อนข้างสงสัยก็เถอะแต่ฉันไม่ใช่คนที่จะพูดเรื่องไร้สาระได้โดยไม่มีหลักฐานแน่ชัดแบบนั้นหรอก” หูวเค่อพูด
“แล้วคุณได้บอกอาจารย์ของคุณหรือเปล่าว่าฉีจือเต๋าอยู่กับผมน่ะ?” เย่เชียนพูด
“ใช่..ฉันเคยบอกเขาไป” หูวเค่อยอมรับตามตรงอย่างไม่เสแสร้ง
“มันน่าสมเพชจริงๆ..ตามความจริงฉีจือเต๋าเล่มนี้มันเป็นสมบัติของตระกูลแต่คุณกลับไปบอกอาจารย์ของคุณแล้วยังบอกให้ผมไปหาอาจารย์ของคุณด้วยตัวเองอย่างงั้นเหรอ?” เย่เชียนพูด
“คุณกำลังดูหมิ่นอาจารย์ของฉันอยู่งั้นหรอ..ไร้สาระ..ฉันไม่อยากคุยกับคุณแล้ว” น้ำเสียงของหูวเค่อดูโกรธเล็กน้อย
“ก็ได้ๆ..ผมไม่พูดเรื่องนี้แล้วก็ได้” เย่เชียนพูด “ไม่ต้องห่วงเรื่องฝั่งไต้หวันนะเพราะผมคนของผมเตรียมพร้อมอยู่ที่นั่นแล้วไม่ต้องกังวล..พวกเขาทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของผม..ว่าแต่เรื่องความสัมพันธ์ของเราน่ะเราควรจะแจ้งให้อาจารย์ของคุณทราบด้วยใช่มั้ย?..มาเถอะเรามาแต่งงานกันเถอะ!”
“นี่มันไม่ใช่นิสัยของคุณเลย” หูวเค่อพูด “เย่เชียนที่ฉันรู้จักคือคนที่ไม่กลัวฟ้าและเหว..ตอนนี้คุณกลับมากังวลเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้มันดูไม่เหมือนคุณเลย..ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้พบอาจารย์ของฉันมานานแล้วเพราะงั้นฉันเองก็ควรจะกลับไปเยี่ยมอาจารย์บ้าง”
.
.
.