ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 806 เตรียมพร้อมที่จะไป
ตอนที่ 806 เตรียมพร้อมที่จะไป
อาการบาดเจ็บของเฉินเหวินไม่ได้ร้ายแรงมากยกเว้นบาดแผลเล็กๆน้อยๆที่เกิดจากการต่อสู้กับหม่าซานเหอ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีอะไรร้ายแรงส่วนสำหรับความโกรธของเขาชั่วขณะหนึ่งนั้นทำให้เลือดของเขาคลั่งในสมอง ซึ่งนี่เป็นสัญญาณของอาการข้างเคียงจากความเครียดและความโกรธแค้นจนถึงที่สุดแต่ตราบใดที่เขาพักรักษาตัวสักระยะหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นอาการบาดเจ็บภายในซึ่งจำเป็นต้องฟื้นตัวอย่างช้าๆและการแพทย์ในปัจจุบันก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
เมื่อเฉิงเหวินตื่นขึ้นเขาก็เห็นเย่เชียนกับหลัวจ้านยืนอยู่ข้างเตียงของเขาและเฉิงเหวินก็พยายามลุกขึ้นแต่เย่เชียนรีบจับเขานอนลงแล้วพูดว่า “คุณป่วยอยู่เพราะงั้นอย่าฝืนตัวเองเลย..นอนพักผ่อนให้เพียงพอเถอะ”
การแสดงออกของเฉิงเหวินก็ดูรู้สึกผิดอย่างมากจากนั้นเขาก็มองหน้าเย่เชียนด้วยสายตาที่ขอโทษ “ประธานเย่ผมขอโทษ” เฉิงเหวินพูดด้วยความรู้สึกผิด
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มจางๆว่า “ทุกๆคนควรได้รับการให้อภัยและโอกาสเสมอ..นอกจากนี้เหตุการณ์มันก็ผ่านไปด้วยดีเพราะงั้นผมจะไม่ตำหนิคุณสำหรับเหตุการณ์นี้..ผมเองก็ต้องรับผิดชอบเช่นกันเพราะถ้าผมเข้ามาจัดการดูแลสิ่งต่างๆเป็นประจำมันก็คงจะไม่เกิดขึ้น..นอกจากนี้ในที่สุดคุณก็โทรหาหลัวจ้านซึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ต้องการให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นแบบนี้”
“ประธานสิ่งที่คุณพูดมันทำให้ผมรู้สึกละอายใจมาก..ถ้าไม่ใช่เพราะผมล่ะก็เรื่องในวันนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น” เฉิงเหวินพูด “โชคดีที่ประธานไม่เป็นอะไร..ถ้าเกิดอะไรขึ้นผมจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองไปตลอดชีวิต”
“โถ่เฉิงเหวิน..ฉันเคยบอกนายไปแล้วไม่ใช่เหรอว่านายเป็นลูกผู้ชาย..มันมีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ตราบใดที่เราตั้งใจหรอก..เรายังมีพี่น้องที่ซื่อสัตย์ต่อกันอีกตั้งมาก..นายจะแบกรับทุกอย่างด้วยตัวเองทำไม..นายยังมองพวกเราเป็นพี่น้องอยู่หรือเปล่า” หลัวจ้าน พูด “นายรู้มั้ยว่านายเกือบจะฆ่าประธานเพราะความไม่เชื่อใจพวกพ้องของนายน่ะ..ถ้านายยังเป็นแบบนี้นายจะมีหน้าไปพบประธานเฉินอย่างงั้นเหรอ?..แต่ก็เอาเถอะเรื่องนี้มันจบลงแล้วฉันไม่อยากพูดถึงมันอีก..แต่ฉันจะเป็นกำลังใจให้นายหายเร็วๆก็แล้วกัน..เราผ่านลมผ่านฝนและพายุมามากมายด้วยกันเพราะงั้นความยากลำบากหรืออุปสรรคอะไรเราก็จะผ่านมันไปได้..ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายจะล้มลงเพราะเรื่องนี้..ถ้าเป็นแบบนั้นนายก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นสหายของหลัวจ้านคนนี้”
เฉิงเหวินก็เงียบไปครู่หนึ่งและมองไปที่หลัวจ้านแล้วพูดว่า “หลัวจ้านฉันขอบใจนายมาก!”
“หืม..นายขอบคุณอะไรของนาย..เราไม่ได้เป็นพี่น้องกันหรอกเหรอ?” หลัวจ้าน “เฉิงเหวิน..นายก็รู้ใช่มั้ยว่าฉันเกลียดอะไรมากที่สุด?..เรื่องคำพูดน่ะ”
เฉิงเหวินก็ยิ้มแหยงๆแล้วพูดว่า “ใช่..ฉันรู้ดี”
“โถ่เฉิงเหวิน..การแสดงออกของนายในตอนนี้ทำให้เราประหลาดใจ..นายเก่งเรื่องการใช้สติปัญญาเท่านั้นแต่นายไม่เก่งเรื่องการพูดสักที..ฉันไม่รู้จะพูดกับนายยังไงจริงๆ” หลัวจ้านพูดด้วยรอยยิ้ม
“หลัวจ้านอย่าล้อฉันเล่นแบบนี้สิ” เฉินเหวินพูดด้วยรอยยิ้มที่น่าอึดอัดใจ หลังจากหยุดไปชั่วขณะเฉิงเหวินก็พูดต่อ “ฉันไม่ได้คาดหวังว่าภรรยาและลูกๆของฉันจะต้องตายด้วยน้ำมือของพี่น้องของเราจริงๆ..เฮ้อ..ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ”
“ทุกอย่างมันจบลงแล้ว..ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้อยู่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น..ฉันเชื่อว่าภรรยาและลูกของคุณคงไม่ต้องการเห็นสิ่งนี้ใช่ไหม..เราได้แต่ทำใจยอมรับมัน..ผู้ชายต้องข้ามผ่านอุปสรรคทุกรูปแบบได้..ตอนนี้หลัวจ้านก็ตกลงที่จะอยู่ต่อเพื่อรักษาการณ์สถานการณ์โดยรวมแล้วเพราะงั้นพวกคุณก็สามารถทำงานร่วมกันได้อีกครั้ง” เย่เชียนพูด
“จริงเหรอ?” เฉิงเหวินมองหลัวจ้านอย่างตื่นเต้นและถาม
“นายอย่าเพิ่งดีใจไปเพราะเมื่อไหร่ที่นายหายดีแล้วและสถานการณ์โดยรวมมั่นคงฉันก็ต้องไปอยู่ดี” หลัวจ้านพูด
เฉิงเหวินก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งแล้วเขาก็ยิ้มและพูดว่า “ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตที่เหลือ..ในบรรดาผู้บุกเบิกน่ะเหลือพวกเราเพียงแค่สองคนแล้ว..นายจะให้ฉันแบกรับมันไปคนเดียวงั้นเหรอ”
หลัวจ้านก็ยักไหล่เล็กน้อยและไม่พูดอะไร
จากนั้นเฉิงเหวินก็หันหน้าไปเหลือบมองที่เย่เชียนแล้วพูดอย่างคลุมเครือว่า “ประธานเย่แล้วหม่าซานเหอ…”
“โทษของหม่าซานเหอไม่อาจยกโทษให้ได้..ส่วนเรื่องที่จะทำยังไงกับเขาน่ะเหรอผมได้มอบหน้าที่นั้นให้หลัวจ้านไปแล้วเพราะงั้นผมจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก” เย่เชียนพูด “อย่าไปสนใจเรื่องนี้เลยเพราะเขาจะได้ชดใช้ในสิ่งที่เขาทำ..แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณตอนนี้คือการรักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นตัวโดยเร็วที่สุดเพราะสถานการณ์ในเมืองหนานจิงจำเป็นต้องให้คุณช่วย..คุณไม่ต้องการให้หลัวจ้านแบกภาระหนักๆแบบนี้เพียงลำพังหรอกใช่มั้ย?..ผมเองก็ยังมีงานที่สำคัญมากที่ต้องไปจัดการอยู่และต้องเดินทางในสองวันนี้เพราะงั้นผมไม่สามารถอยู่ช่วยสิ่งต่างๆในเมืองหนานจิงได้”
“ประธานจะไปเร็วๆนี้?” หลัวจ้านถามด้วยความประหลาดใจ
“ครั้งนี้ผมต้องมาต่อไฟท์เที่ยวบินที่เมืองหนานจิงเพราะงั้นผมจึงแค่แวะมาตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทแต่ไม่คิดว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นมากมายขนาดนี้” เย่เชียนพูด “ผมมีบางอย่างที่สำคัญมากๆที่เมืองปักกิ่งแล้วจะล่าช้าไม่ได้เลยไม่งั้นผมเองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงจะมีผลมากน้อยแค่ไหน..อันที่จริงผมอยากอยู่ช่วยพวกคุณจริงๆแต่ผมทำไม่ได้..ผมขอรับปากว่าเมื่อสิ่งต่างๆเสร็จแล้วในอนาคตพวกเราจะได้มีช่วงเวลาที่ดีร่วมกันอย่างแน่นอน”
“พวกเรารู้ว่าประธานเย่มีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่และอุตสาหกรรมในเมืองหนานจิงก็เป็นเพียงสิ่งเล็กๆของประธานเพราะงั้นมันจึงไม่สามารถหยุดประธานได้เลย..แต่เนื่องจากประธานเฉินให้อุตสาหกรรมนี้กับประธานเย่แล้วฉันก็หวังว่าประธานเย่จะมาดูมันเมื่อตอนที่มันรุ่งโรจน์และอย่างน้อยๆก็ให้พี่น้องที่อยู่ข้างล่างได้เห็นตัวตนของประธานบ้าง..ถ้าเราปล่อยให้เวลามันผ่านไปนานฉันเกรงว่าโครงสร้างของบริษัทจะอ่อนแอลงและคนด้านล่างก็จะไม่รู้อะไรเลยถ้าพวกเขาไม่ได้เห็นคนที่เป็นคอยขับเคลื่อนพวกเขา” หลัวจ้านพูด “แต่ประธานเย่วางใจได้เลยว่าตราบใดที่หลัวจ้านอยู่ที่นี่มันจะไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน..ประธานเย่สามารถทำสิ่งต่างๆโดยไม่ต้องกังวล..เราแค่หวังว่าประธานเย่จะไม่ลืมเราและติดต่อเรามาเป็นครั้งคราวบ้าง”
เย่เชียนก็ตบไหล่หลัวจ้านเบาๆแล้วพูดว่า “พวกคุณทุกคนเป็นพี่น้องของผมเพราะงั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตผมจะไม่มีวันลืมพวกคุณเด็ดขาด..ไม่มีใครสามารถฆ่าคุณได้ทั้งเลือดและหยาดเหงื่อของคุณผมจะจำมันเอาไว้..ผมขอสัญญาว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตผมจะไม่ลืมพวกคุณ”
“ด้วยคำสัญญาของประธานเย่แบบนี้หลัวจ้านคนนี้ก็จะไม่ลังเลเลยที่จะรับมันเอาไว้” หลัวจ้าน “บริษัทได้เกิดเรื่องใหญ่แบบนี้มันอาจจะยุ่งวุ่นวายชั่วคราวแต่ประธานไม่ต้องกังวลไป..ฉันจะทำให้สถานการณ์ในเมืองหนานจิงกลับมามีเสถียรภาพโดยเร็วที่สุด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมก็รู้สึกโล่งใจถ้าคุณพูดแบบนี้” จากนั้นเขาก็หันไปเหลือบมองเย่หานหลินแล้วพูดว่า “โทรไปจองตั๋วเครื่องบินได้เลย..พรุ่งนี้เช้าเราจะเดินทางไปปังกิ่งกันตั้งแต่เช้า” เย่หานหลินตอบรับและหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย
จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองเฉิงเหวินแล้วพูดว่า “ดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะ..ถ้าเจอสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในอนาคตก็อย่าฝืนทำคนเดียวรู้มั้ย..คุยกับหลัวจ้านให้มากกว่านี้..แต่ถ้ามีอะไรที่ไม่สามารถรับมือได้จริงๆก็โทรมาหาผมได้ทุกเมื่อ..ตราบใดที่ผมสามารถช่วยได้ผมก็จะช่วย”
ต่อสู้กับประเทศนั้นง่ายแต่การปกป้องประเทศนั้นยาก นี่คือหลักการที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยและนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมทุกราชวงศ์จึงไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป เพราะความปรารถนาของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุดและโลกที่เย่เชียนต่อสู้นั้นกว้างใหญ่มากและเขาก็ไม่สามารถทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้ ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการโดยคนอื่น ดังนั้นวิธีการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวคุณกับผู้นำเหล่านี้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งและเป็นสาเหตุให้เกิดสิ่งนี้ในเมืองหนานจิง
อย่างไรก็ตามตอนนี้หลัวจ้านและเฉิงเหวินก็ประจำการอยู่ในเมืองหนานจิงแล้วเพราะงั้นเย่เชียนจึงสามารถโล่งใจได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาวเพราะเย่เชียนต้องการผู้ใต้บังคับบัญชาที่จริงใจและมั่นคงกว่านี้และต้องมีความสามารถรวมถึงทักษะการจัดการองค์กรเพื่อช่วยเขาจัดการอุตสาหกรรมเหล่านี้
ตอนนี้เป้าหมายของเย่เชียนนั้นมุ่งเป้าเข้าไปในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้ตำรับโบราณและเขาก็ไม่มีเวลาที่จะหันเหความสนใจมากเกินไปในการจัดการสิ่งเหล่านี้เพราะโลกของนักสู้โบราณนั้นซับซ้อนและอันตรายมากกว่าและไม่มีที่ว่างสำหรับความประมาทเลย ไม่เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะพ่ายแพ้และคราวนี้ก็เป็นงานส่งจดหมายถึงแม้จะดูเรียบง่ายมากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้เสร็จลุล่วงไปด้วยดีเพราะท้ายที่สุดไม่เพียงแต่ต้องรักษาใบหน้าของอีกฝ่ายเท่านั้นแต่ยังต้องเคารพศักดิ์ศรีของตระกูลเย่ด้วย หากใครไม่ระวังก็มีแนวโน้มสูงว่าตระกูลเย่และสำนักหยุนหยานเหมินจะเปิดสงครามกัน ที่สำคัญกว่านั้นเย่เชียนยังจำเป็นต้องค้นหาว่าเหตุการณ์นี้เป็นเพราะสำนักหยุนหยานเหมินหรือซงเจิ้งหยวนกันแน่
หลัวจ้านและเฉิงนั้นที่ไม่เจอกันนานเย่เชียนก็เชื่อว่าพวกเขามีเรื่องต้องพูดคุยกันมากมาย ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่รบกวนพวกเขาและเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป หลังจากที่เห็นเย่เชียนออกมาเย่หานหลินก็รีบเดินเข้าไปหาเขาแล้วพูดว่า “ฉันจองตั๋วเอาไว้เรียบร้อยแล้วไฟท์บินจะออกตอนเก้าโมงเช้าพรุ่งนี้”
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “น่าจะถึงปังกิ่งประมาณช่วงเที่ยงๆ” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็หันไปเหลือบมองเย่หานหลินแล้วพูดว่า “นายมีอะไรจะถามฉันมั้ย?”
“เอ่อ…” เย่หานหลินลังเลและไม่รู้ว่าจะถามดีหรือไม่
“ขอถามหน่อยได้ไหมว่านายมีอะไรในใจหรือเปล่า..ในเมื่อเราเป็นพี่น้องกันมันก็ไม่เห็นจะต้องลำบากใจกันเลยนี่” เย่เชียนพูด
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเย่หานหลินก็ถามว่า “มีดที่ฉันเห็นในห้องประชุมเมื่อกี้นี้…” เย่หานหลินหยุดคำพูดไประหว่างทางและเย่เชียนก็เข้าใจได้ว่าเย่หานหลินต้องการจะถามอะไร ดังนั้นเขาจึงยิ้มอย่างแผ่วเบาและแล้วพูดว่า “ใช่มันคือฉีจือเต๋าแต่ฉันชอบเรียกมันว่าคลื่นโลหิตมากกว่า..ฉันได้รู้เมื่อไม่นานมานี้ว่ามีดเล่มนี้เป็นอาวุธของพ่อฉันมาก่อน..ตอนนี้ถือได้ว่ามันกลับมาสู่เจ้าของเดิมของมันแล้ว..มีคนรู้เรื่องนี้ไม่มากและฉันก็ไม่ต้องการทำให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นมากไปกว่านี้..ฉันหวังว่านายจะเก็บความลับนี้เอาไว้กับฉันและอย่าพูดชื่อของมันออกมาอีกเข้าใจมั้ย?”
เย่หานหลินก็พยักหน้าอย่างหนักหน่วงแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว..คลื่นโลหิตเล่มนี้เป็นอาวุธวิเศษที่ผู้คนนับไม่ถ้วนอยากที่จะครอบครองมัน..ถ้าคนรู้ว่ามันอยู่ในมือของบอสมันจะทำให้เกิดปัญหามากมายอย่างแน่นอน”
.