ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 808 แรงจูงใจ
ตอนที่ 808 แรงจูงใจ
ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะละเอียดอ่อนมากและไม่ใช่ทั้งศัตรูหรือเพื่อนแต่ทุกคๆรั้งที่เย่เชียนอยู่กับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเขาก็รู้สึกผ่อนคลายมากและเขาไม่ต้องลังเลหรือกังวลที่จะพูดอะไรใดๆออกมา ซึ่งทำให้เย่เชียนรู้สึกสบายใจอย่างมาก
เมื่อนึกถึงรูปลักษณ์ของหยานซื่อฉุยในแบบภรรยาแล้วเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน จากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ดีกว่าผมทนอยู่กับผู้หญิงแบบนั้นไม่ได้..แต่ผมคิดว่าปู่อาจจะทำได้นะลองดูสิ..ตอนนี้ปู่ก็แก่มากแล้วเพราะงั้นมันได้เวลาหาภรรยาแล้วนะปู่..ปู่จะโสดจนลงโลงเลยหรือไง..แบบนั้นระวังจะตายตาไม่หลับเอานะ”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็กลอกตาไปมาแล้วพูดว่า “นี่เอ็งกำลังล้อฉันเล่นงั้นเหรอ?..ฉันจะบอกให้ว่าฉันไม่ใช่ผู้พรหมจารีแล้วอย่าทำให้ดูน่าอายไปหน่อยเลย..ฉันรู้ว่าเอ็งหมายถึงอะไร..เอ็งต้องการรู้เกี่ยวกับอดีตของฉันใช่มั้ย?..ถ้าเอ็งอยากจะสืบค้นเอาเองฉันก็จะไม่บอก”
เย่เชียนพูดพลางสบถเล็กน้อย “โถ่เอ๊ย..ปู่คิดว่าผมสืบหาไม่ได้อย่างงั้นเหรอ..ปู่ยังจำตาแก่หยุนจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้มั้ย?..ผมคิดว่าเขาต้องรู้เรื่องของคุณหลายอย่างและปู่ของผมเองเขาก็น่าจะรู้เหมือนกัน..ถ้ามีเวลาผมจะไปถามพวกเขาว่าทำไมปู่ถึงยังไม่แต่งงานและมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนในวัยชราแบบนี้สักที” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็เหลือบมองไปที่เป้ากางเกงของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนแล้วพูดว่า “ว่าแต่ปู่ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องนั้นใช่มั้ย?”
“ไร้สาระ” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดและมองเย่เชียนด้วยหางตาจากนั้นก็พูดต่อ “ฉันยังแข็งแรงดี..มันตั้งเป็นเสาไฟเมื่อตื่นนอนในทุกๆเช้าเสมอ..แต่ของเอ็งน่ะเมื่อเอ็งอายุเท่าฉันมันคงจะไม่ทำงานแล้ว”
เย่เชียนก็กลั้นขำและอดหัวเราะไม่ได้
“เอาล่ะ..หยุดคุยเรื่องเหลวไหลกันได้แล้วคราวนี้เอ็งมาทำอะไรที่ปักกิ่ง..ฉันขอเตือนเอ็งจริงๆนะว่าอย่าสร้างปัญหาในปักกิ่งไม่งั้นก็อย่ามาโทษฉันที่ไม่เห็นแก่มิตรภาพก็แล้วกัน” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด
“ผมจะไปกล้าทำแบบนั้นได้ยังไง..ที่นี่ก็เหมือนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของจักรพรรดิเว้นแต่ว่าผมอยากจะตายจริงๆ..ผมจะกล้ามาสร้างปัญหาที่นี่ได้ยังไง” เย่เชียนพูด
“ไม่มีอะไรในโลกใบนี้ที่เอ็งไม่กล้าทำหรอก” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด
เย่เชียนก็ยักไหล่แล้วพูดว่า “ผมสัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหาแต่ผมไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนอื่นจะไม่มาสร้างปัญหาให้ผม..อย่าโทษผมถ้ามันเกิดแบบนั้นขึ้นมา”
“ฉันรู้สึกโล่งใจถ้าเอ็งพูดแบบนี้..เอ็งก็แค่ต้องเป็นตัวของตัวเองและตราบใดที่เอ็งไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายฉันก็จะจัดการส่วนที่เหลือให้เอง” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด
“นี่แหละผมรอคำพูดแบบนี้มานาน..ในที่สุดผมก็ไม่ได้เป็นมิตรกับปู่โดยเปล่าประโยชน์” เย่เชียนพูด “คราวนี้ที่ผมมาปักกิ่งเพราะเย่เจียอู๋ปู่ของผมขอให้ผมไปสำนักหยุนหยานเหมินเพื่อส่งจดหมายถึงผู้นำของหยุนหยานเหมิน..ฮัวหยาซิน..ปู่เองก็น่าจะรู้จักฮัวหยาซินใช่มั้ย?..ผมได้รับการเตือนมาว่าเขาเป็นคนที่จริงจังและเคร่งเครียดมากเพราะงั้นปู่มีอะไรที่คุณอยากจะแนะนำหรือเตือนผมมั้ย?”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ตกตะลึงและการแสดงออกของเขาเปลี่ยนไป เมื่อเห็นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเช่นนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็คาดเดาไม่ได้เลยว่าการแสดงออกของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นหมายถึงอะไร อย่างไรก็ตามเมื่อหวงฟู่ชิงเตี๋ยนได้ยินชื่อฮัวหยาซินร่างกายของเขาก็สั่นเทาซึ่งทำให้เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นมีความลับอะไรอยู่
“ฉันไม่สามารถช่วยเอ็งในเรื่องนี้ได้และมันจะลำบากมากถ้าฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยว..เรื่องนี้เอ็งสามารถทำเองได้” หลังจากนั้นไม่นานหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็พูดต่อ “ยังไงก็เถอะข่าวที่เอ็งได้ยินมานั้นถูกต้อง..เอ็งต้องระวังให้มากเมื่อพูดและกระทำไม่งั้นมันจะไม่มีใครสามารถทำนายจุดจบของเอ็งได้..ถึงแม้ว่าทักษะและพลังการต่อสู้ของตระกูลเย่นั้นจะไม่ได้อ่อนแอแต่ถ้าฮัวหยาซินจุดไฟสงครามล่ะก็มันจะไม่มีวันดับได้เลย”
“ปู่ผมรู้สึกแปลกๆ..ผมคิดว่าปู่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับฮัวหยาซินใช่มั้ย..ระหว่างปู่กับเธอมีอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นหรอ?” เย่เชียนพูด
“อะไร..ฉันจะไปมีความสัมพันธ์อะไรกับเธออย่ามาไร้สาระ” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดอย่างประหม่า ขนาดหวงฟู่ชิงเตี๋ยนผู้ซึ่งไม่มีอารมณ์แปรปรวนและโทสะยังถึงกับประหม่าเมื่อเผชิญกับเรื่องนี้ มนุษย์ทุกคนนั้นมีจุดอ่อนเพราะฉะนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเองก็มีจุดอ่อนเช่นกันและความอ่อนแอของเขาก็อยู่ตรงนี้
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหวงฟุ่ชิงเต๋ยนเช่นนี้ก็สรุปได้มากขึ้นเรื่อยๆว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและฮัวหยาซินอย่างแน่นอน แต่จะเป็นเรื่องไหนนั้นเย่เชียนก็ไม่สามารถเดาได้ อย่างไรก็ตามนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นดังนั้นเย่เชียนก็ไม่ต้องการที่ถามอย่างเจาะลึกมากเกินไป
“ปู่รู้จักกริชฉีจือเต๋าใช่มั้ย?” เย่เชียนถาม
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “แน่นอนฉันรู้ว่ามันเป็นอาวุธของพ่อเอ็งและเมื่อย้อนกลับไปสมัยก่อนพ่อของเอ็งน่ะเอาชนะปรมาจารย์ทั่วทุกสารทิศได้ด้วยฉีจือเต๋าเล่มนั้น..แต่ตอนนี้มันอยู่ในมือของเอ็งแล้ว..ว่าแต่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นเหรอ?”
“เอาล่ะในเมื่อปู่รู้อยู่แล้วว่ามีดคลื่นโลหิตนั้นเป็นอาวุธประจำกายพ่อของผมแล้วทำไมปู่ถึงไม่บอกผมล่ะ..ปู่รู้ตั้งแต่แรกแล้วหรอว่าผมมีความสัมพันธ์กับตระกูลเย่?” เย่เชียนพูด
“ในตอนแรกฉันเองก็คิดแบบนั้น..ฉันคิดว่าเอ็งถูกส่งไปที่องค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าโดยตระกูลเย่เพื่อเข้าฝึกอบรม..แต่ภายหลังฉันได้ติดตามสอบสวนเรื่องที่ฉีจือเต๋าถูกขโมยไปจากพิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษโดยน้องชายของนายอู๋หวนเฟิงในตอนนั้นมันทำให้ฉันล้มเลิกความคิดนี้ไป” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด “ถ้าฉันรู้ว่าเอ็งเป็นหลานชายของเจียอู๋ล่ะก็ฉันคงพาเอ็งไปหาเขาตั้งนานแล้วทำไมต้องรอจนถึงตอนนี้ด้วย?”
“โถ่ใครจะไปรู้ว่าในใจปู่นั้นคิดอะไรอยู่” เย่เชียนขดปากแล้วพูด อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนไม่ได้โกหกและไม่จำเป็นต้องโกหก หลังจากหยุดไปชั่วขณะคราวเย่เชียนก็พูดต่อ “ในคืนวันงานครบรอบวันเกิดของเย่เจียอู๋น่ะหยุนหยานเหมินส่งซงเจิ้งหยวนไปเป็นตัวแทนแต่เขากลับใช้ประโยชน์จากคืนนั้นเพื่อโจมตีแม่ของผมและพยายามที่จะชิงฉีจือเต๋าไป..เพราะงั้นไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของฮัวหยาซินหรืออะไรก็ตามแต่ตระกูลเย่ก็จะต้องทวงความยุติธรรมใช่มั้ย?”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “การต่อสู้ระหว่างพ่อของเอ็งกับฟู่จื้อซานนั้นเป็นอะไรที่แยบยลมาก..ในเวลานั้นพ่อของเอ็งไม่ได้ใช้ฉีจือเต๋าเลยเพราะงั้นเมื่อการต่อสู้จบลงหลายๆคนก็เดากันต่างๆนาๆว่าถ้ามันอยู่ที่ไหนกันแน่..ถ้าพ่อของเอ็งใช้มันในตอนนั้นก็คงจะไม่มีใครคิดแบบนั้นอย่างแน่นอน..ซึ่งเป็นเหตุที่มันหายสาบสูญไปโดยไม่มีสาเหตุและแม้แต่คนในตระกูลเย่เองก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน..เรื่องนี้ฉันคิดว่าฮัวหยาซินก็รู้ดีเพราะงั้นมันก็ชัดเจนมาก..สรุปได้ก็คือการกระทำของซงเจิ้งหยวนนั้นไม่ใช่การถูกฮัวหยาซินยุยง..ฉันคิดว่าซงเจิ้งหยวนทำมันโดยไม่ได้รับอนุญาต”
“หูวเค่อก็บอกผมแบบเดียวกัน..ดูเหมือนว่าคราวนี้มันจะไม่เกี่ยวอะไรกับฮัวหยาซินจริงๆ” เย่เชียนพูด “ยังไงก็เถอะดูเหมือนปู่จะรู้เรื่องในอดีตหลายอย่างเลยเพราะงั้นเรามาคุยกันเถอะ..ช่วยเล่าเหตุการณ์ตอนที่พ่อกับฟู่จื้อซานต่อสู้กันให้ฟังหน่อย”
“ถ้าเอ็งอยากรู้เรื่องพวกนี้ทำไมไม่ถามปู่ของเอ็งล่ะ..หรือถามแม่ของเอ็งก็ได้..ตอนที่เกิดเรื่องฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง..ฉันรู้แค่ข่าวลือพวกนั้น..ฉันรู้ว่าแค่ว่าของพ่อเอ็งได้รับบาดเจ็บก่อนจากการต่อสู้กับฟู่จื้อซาน..ในสมัยนั้นน่ะศิลปะการต่อสู้ของเย่เจิ้งหรานนั้นเหนือกว่าผู้ฝึกตนทุกคนและเป็นสิ่งที่นักสู้โบราณใฝ่ฝันมาตลอด..พูดได้เลยว่านักสู้ตำรับโบราณในสมัยนั้นไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเย่เจิ้งหรานพ่อของเอ็งได้เลย..แม้ว่าทักษะและความสามารถของฟู่จื้อซานจะยอดเยี่ยมและถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์ระดับสูงแต่ก็ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ด้วยเมื่อเปรียบเทียบกับพ่อของเอ็ง..ในตอนนั้นไม่มีใครคาดคิดเลยว่าพ่อของเอ็งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ครั้งนั้นและเสียชีวิตในที่สุด..การตายของเย่เจิ้งหรานพ่อของเอ็งน่ะคือการสูญเสียนักสู้โบราณครั้งยิ่งใหญ่ของเรา” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด
เย่เชียนนั้นรู้เรื่องนี้เพราะเขาเคยได้ยินถังซูหยานพูดว่าเมื่อเย่เจิ้งหรานต่อสู้กับฟู่จื้อซานอย่างดุเดือดนั้นเย่เจิ้งหรานก็ได้รับบาดเจ็บแล้วและไม่สามารถใช้พลังรักษาพักฟื้นได้เลย ไม่เช่นนั้นเขาจะแพ้ฟู่จื้อซานได้อย่างไร? ทั้งหมดเป็นเพราะพลังอันชั่วร้ายและถ้าหากไม่ใช่เพราะพลังอันชั่วร้ายแล้วเขาจะสับสนและบาดเจ็บได้อย่างไร? แต่หนึ่งสิ่งที่เย่เชียนสงสัยก็คือถ้าระดับศิลปะการต่อสู้ของเย่เจิ้งหรานถึงระดับนั้นจริงๆแล้วทำไมเขาถึงต้องฝึกฝนและขัดเกลาพลังอันชั่วร้ายด้วย? เขาเพียงแค่ฝึกตามตำราและวิธีปกติเท่านั้นและเขาก็จะสามารถรักษาสถานะไร้พ่ายของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มีเพียงสองเหตุผลสำหรับสิ่งนี้ ประการเย่เจิ้งหรานต้องการแสวงหาความก้าวหน้าในศิลปะการต่อสู้อีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงไปฝึกฝนมันแต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะฝ่าฟันไปได้ไกลแค่ไหน ประการที่สองเย่เจิ้งหรานมีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไปไหรือหยิ่งยโส ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ ดังนั้นเขาจึงถูกมันเล่นงานซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ดังกล่าว จากความเข้าใจของเย่เจิ้งหรานแล้วถึงแม้ว่าหลายคนในตระกูลเย่จะกล่าวว่าแม้แต่ถังซูหยานก็เชื่อว่าเย่เจิ้งหรานแอบขัดเกลาพลังอันชั่วร้ายเพราะเขาต้องการที่จะแสวงหาความก้าวหน้าในศิลปะการต่อสู้นั่นเอง
ท้ายที่สุดสำหรับคนที่เข้าถึงขอบเขตศิลปะการต่อสู้ตำรับโบราณเหมือนกันกับเย่เชียนก็ไม่มีเลยสักคน ดังนั้นต่อหน้าเย่เจิ้งหรานแล้วทุกคนก็เป็นเหมือนคนโง่เขลา ดังนั้นจึงไม่มีอะไรสามารถกระตุ้นเย่เจิ้งหรานได้มากไปกว่าการแสวงหาความก้าวและประสบการณ์ใหม่ๆ
เย่เชียนก็ถอนหายใจเล็กน้อย “บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตาแต่ในเมื่อศักดิ์ศรีของพ่อยังไม่หมดไปผมก็จะไปทวงคืนในสักวันหนึ่ง..ผมจะทำให้โลกแห่งศิลปะการต่อสู้ต้องสั่นคลอนอีกครั้ง!”
“ฉันเองก็เชื่อว่ามันจะต้องมีวันนี้และฉันก็รออยู่เพราะงั้นเอ็งอย่าทำให้ฉันต้องผิดหวังก็แล้วกัน” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด “อย่างไรก็ตาม คุณต้องรู้ว่าถ้านักศิลปะการต่อสู้โบราณถูกควบคุมโดยความปรารถนามากเกินไป ศิลปะการต่อสู้จะ ข่มเหง ก้าวหน้า เหตุที่บิดาของท่านสามารถบรรลุถึงความสูงนั้นได้เพราะท่านเปิดกว้างต่อโลกมากและไม่มีความปรารถนา หากท่านต้องการมีความสำเร็จของบิดาท่านต้องเสียสละให้มาก และมากที่สุด สิ่งสำคัญคือการควบคุมความปรารถนาของคุณเอง หากคุณไม่สามารถควบคุมได้ มีแนวโน้มว่าจะไปในทางที่ชั่วร้าย”
มุมปากของเย่เชียนก็กระตุกเล็กน้อยและรอยยิ้มที่ชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นและเขาก็พูดว่า “ผมเป็นเพียงคนเดียวที่ควบคุมความปรารถนาหรือความฝันของตัวเองและความปรารถนากับความฝันก็ไม่สามารถควบคุมผมได้..มีแค่ความฝันและความปรารถนาเท่านั้นที่จะสามารถขับเคลื่อนให้ผู้คนก้าวไปข้างหน้าได้..กล่าวอีกนัยหนึ่งคือความปรารถนาและความฝันเป็นแรงผลักดันที่สนับสนุนให้มนุษย์นั้นมีชีวิตอยู่ต่อ”
.
.