ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 809 ผู้หญิงโรคจิต
ตอนที่ 809 ผู้หญิงโรคจิต
หากทุกคนไม่มีความฝันและความปรารถนาเขาก็จะสูญเสียแรงจูงใจที่จะก้าวไปข้างหน้า สำหรับเย่เชียนแล้วความปรารถนาและความฝันเป็นแรงผลักดันที่ผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้าและเป็นที่มาของความพากเพียรที่จะพัฒนาสิ่งต่างๆ
นักสู้โบราณหลายคนก็ปรารถนาที่จะบรรลุถึงระดับสูงสุดของศิลปะการต่อสู้ตำรับโบราณ หากปราศจากความปรารถนาและความฝันไปล่ะก็ปรารถนาพวกเขาจะไม่มีวันพัฒนาได้เลย ดังนั้นพวกเขามักจะละเลยสิ่งพื้นฐานที่สุดของการเป็นมนุษย์ไป อันที่จริงในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายไม่มีใครที่ไร้ความปรารถนาและความฝันอย่างแน่นอนและถ้าหากใครที่ยังยืนยันว่าพวกเขานั้นไม่มีความปรารถนาล่ะก็นั่นเป็นเพียงการหลอกลวงตนเองแบบหนึ่งเพราะในเมื่อไม่มีความปรารถนาพวกเขาจะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้กันไปทำไม?
แน่นอนว่าเย่เชียนเองก็ไม่เคยเชื่อในทฤษฎีเหล่านี้เพราะเขายืนกรานว่ามนุษย์นั้นควรมีความปรารถนาแต่ก็ไม่ควรถูกควบคุมด้วยความปรารถนาของตนเอง เราควรควบคุมความปรารถนาเพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราสามารถใช้ความปรารถนาอย่างสมเหตุสมผลและแปลงมันเป็นแรงผลักดันสำหรับความก้าวหน้าของเราเอง เมื่อคนถูกควบคุมโดยความปรารถนาพวกเขามักจะตกลงไปในวังวนแห่งความโลภและกลายเป็นบ้า ดังนั้นมันจึงไม่ง่ายเพราะผู้คนมักจะจมลงไปในความโลภอย่างง่ายดาย และมักจะคิดว่าตนควบคุมกิเลสได้แล้วแต่หารู้ไม่ว่าพวกเขานั้นเองที่ถูกกิเลสควบคุม
หลายคนบอกว่าที่เย่เชียนออกจากสำนักงานใหญ่หรือฐานทัพองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าและกลับไปประเทศจีนเพราะเขาเหนื่อยกับอาชีพทหารรับจ้างแต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลยเพราะเย่เชียนแค่ปลูกฝังความปรารถนาของตัวเองและปล่อยให้มันเผาไหม้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นเหตุผลที่เย่เชียนออกผจญภัยไปรอบโลกหลังจากพักผ่อนมาเป็นเวลาหนึ่งปีนั่นก็เพราะความปรารถนาของเขาเริ่มเผาผลาญและลุกโชนอีกครั้งแล้ว
เมื่อได้ยินการโต้เถียงของเย่เชียนแล้วหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ไม่พูดอะไรอีกและเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเพราะหลังจากที่รู้จักเย่เชียนมานานหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ยังคงชัดเจนมากเกี่ยวกับบุคลิกและนิสัยของเย่เชียน พูดง่ายๆก็คือเย่เชียนมีหลักการและความคิดเป็นของตัวเองและไม่มีใครเปลี่ยนสิ่งที่เขาเชื่อหรือคิดได้ อีกอย่างหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็เห็นด้วยกับคำพูดของเย่เชียนเพราะมันยากมากสำหรับเราที่จะมาควบคุมความปรารถนาและความฝันของตัวเองและถ้าหากเราไม่ระวังเราก็จะถูกควบคุมโดยความปรารถนาจนความเป็นความโลภ ซึ่งเย่เชียนนั้นเป็นคนที่มีความสามารถและพรสวรรค์อย่างมากดังนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจึงกลัวว่าวันหนึ่งเย่เชียนจะเดินไปตามเส้นทางที่ชั่วร้ายและกลัวว่าจะไม่มีใครสามารถควบคุมเขาได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ยังคงมีความเมตตาอยู่ในหัวใจและตราบใดที่ความเมตตานี้ยังไม่ถูกทำลายเย่เชียนก็จะไม่เริ่มเดินในเส้นทางที่ชั่วร้ายอย่างแน่นอน
ไม่นานนักก่อนที่พวกเขาจะมาถึงโรงแรมที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนได้จองไว้ก่อนหน้านี้และหลังจากลงจากรถเย่เชียนก็เดินตรงเข้าไปในร้านอาหาร จากระยะไกลเย่เชียนเห็นคนที่คุ้นเคยสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารและหนึ่งในนั้นคือม่อหลงหมาป่าเขี้ยวทมิฬและอีกคนก็คือคนที่เย่เชียนคุ้นเคยเป็นอย่างดี เมื่อมาถึงอาหารก็ถูกวางเอาไว้เต็มโต๊ะแล้วและเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อยและหันไปมองหวงฟู่ชิงเตี๋ยนด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นเช่นนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็หัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้โกหกเอ็งใช่มั้ยล่ะ?..นี่เพื่อนเก่าของเอ็ง”
เมื่อเย่เชียนกำลังจะเดินเข้าไปทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองมาที่เขาจนเขาขมวดคิ้วโดยไม่ตั้งใจและกวาดสายตามองออกไปรอบๆที่มุมหนึ่งของร้านอาหารมีชายหนุ่มนั่งอยู่ที่นั่นด้วยรอยยิ้มที่ปากและกำลังมองมาที่เขา หลังจากที่เห็นใบหน้าของชายหนุ่มอย่างชัดเจนเย่เชียนก็ถึงกับสั่นเทาไปทั้งตัว
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเองก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงในปฏิกิริยาของเย่เชียนและอดไม่ได้ที่จะมองตามสายตาของเย่เชียนไป ซึ่งหลังจากเห็นอีกฝ่ายหนึ่งหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ตกใจเช่นกัน ดูเหมือนว่าการสืบข่าวของเธอจะไม่ธรรมดาและเธอก็ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้จริงๆ
“ฉันบอกแล้วไงว่านายหลบซ่อนไปจากสายตาของฉันไม่ได้หรอก..ยังไงซะวันนี้เราต้องได้รู้ดีกัน” ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้นชายหนุ่มผิวขาวที่มุมห้องก็ลุกขึ้นและรีบวิ่งไปทางเย่เชียนในทันที ซึ่งความเร็วนั้นเร็วราวกับพายุสายฟ้าและเขาก็มาถึงด้านหน้าของเย่เชียนในชั่วพริบตา
ฉากนี้ทำให้ม่อหลงและชายหนุ่มที่โต๊ะเดียวกันถึงกับต้องตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งและไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอย่างกะทันหัน “น้องเย่นายนี่เสน่ห์แรงจริงๆ..ไม่ว่านายจะไปที่ไหนก็เต็มไปด้วยศัตรูทั่วทุกที่จริงๆ” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่กับม่อหลงพูดด้วยรอยยิ้ม อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้คิดที่จะเข้าไปช่วยหรืออะไรเพราะหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็อยู่ที่นี่เพราะฉะนั้นมันคงไม่มีใครโง่พอที่จะสร้างปัญหาใช่มั้ย? ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนก็ไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆอีกด้วยไอรีนโนเวล
“ก็นะผมมันเสน่ห์แรงจริงๆแหละ..ดูสิมีแต่คนอยากจะเข้าหาทั้งนั้น” เย่เชียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูด อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าคำพูดจะผ่อนคลายแต่เย่เชียนก็ไม่กล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยต่อสู้กับหยานซื่อฉุยมาก่อนแต่เขาก็รู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนยังพูดอีกว่าทักษะและความสามารถของผู้หญิงคนนี้นั้นได้รับการสืบทอดมาจากตู้ฟู่เหว่ยอย่างสมบูรณ์แบบ
ใช่ชายหนุ่มชุดขาวคนนั้นคือหยานซื่อฉุยหยานซื่อฉุยศิษย์เอกของตู้ฟู่เหว่ยผู้นำแห่งสำนักม่อจื๊อ เมื่อมองแวบแรกจะไม่มีใครคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงเพราะนอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยงามของเธอและก้นที่กลมกว่าผู้ชายเล็กน้อยแล้วก็ไม่มีส่วนไหนที่ทำให้มองว่าเธอเหมือนผู้หญิงอีกเลย
“ช่างพูดจริงๆนะ!” หยานซื่อฉุยพูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกและเธอก็ไม่หยุดแต่อย่างใดและเธอก็ใช้ฝ่ามือของเธอโจมตีเข้าไปที่หน้าอกของเย่เชียนทันที
“ฉันเคยเห็นแต่ผู้ชายจับหน้าอกผู้หญิงแต่ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงจับหน้าอกของผู้ชายมาก่อนเลย..นี่เธอจะลวนลามฉันงั้นเหรอ?” เย่เชียนก็ใช้ฝ่ามือของตัวเองเพื่อหยุดยั้งการโจมตีนั้นและไม่กล้าที่จะผ่อนแรงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งในการโจมตีนี้เย่เชียนใช้พลังปราณในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง
พลังไทเก็กนี้เป็นการผสมผสานระหว่างพลังชั่วร้ายและผนึกของพระนิรนามจากวัดหลิงหลงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน มันไม่ใช่พลังงานไทเก็กของลัทธิเต๋าแต่เป็นพลังที่ผสมผสานมาจากธรรมชาติ แต่ถ้าให้เทียบว่าแบบไหนแข็งแกร่งกว่าก็ไม่สามารถบอกได้เลยแต่พลังปราณของเย่เชียนนั้นไม่ธรรมดา
ในสมัยก่อนเย่เจิ้งหรานประสบปัญหาเนื่องจากการฝึกฝนการขัดเกลาพลังอันชั่วร้ายที่ไม่สามารถรับไหวและเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องผนึกพลังเหล่านั้นทั้งหมดลงในร่างกายของเย่เชียน ซึ่งพลังนี้มีพลังมหาศาลเพียงใดมันก็คาดเดาไม่ได้เลยเพราะจุดที่สำคัญที่สุดคือการเรียกออกมาใช้และต้องใช้ประโยชน์จากมันโดยการควบคุมมันให้ได้และต้องควบคุมมันให้ได้ถึง 60% เพื่อที่จะไม่ถูกพลังมันย้อนกลับมาทำลายตัวเอง แต่เย่เจิ้งหรานนั้นคิดว่าเขาสามารถควบคุมพลังนี้ได้ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และฝืนทนมันก่อนที่จะถ่ายโอนเข้าสู่ร่างกายของเย่เชียน อาจกล่าวได้ว่าเย่เชียนนั้นเป็นนักสู้ระดับปรมาจารย์ตั้งแต่เขาเกิดแต่จนถึงตอนนี้เขาแค่ยังไม่สามารถใช้พลังนี้ได้อย่างเต็มที่ก็เท่านั้นเอง
สำหรับวัดหลิงหลงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนพระนิรนามก็ได้ปลูกฝังผนึกบางอย่างเอาไว้ในร่างกายของเย่เชียน แต่มันก็เป็นเพียงพลังในการยับยั้งเท่านั้นเพราะพลังที่แท้จริงขึ้นอยู่กับพลังปราณในร่างกายเสียมากกว่า ถึงแม้ในท้ายที่สุดพลังทั้งสองจะผสมผสานกันเป็นหนึ่งแล้วก็ตามจะเห็นได้ว่าพลังอันชั่วร้ายของเย่เชียนนั้นทรงพลังอย่างมาก อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ยังไม่สามารถเรียกพวกมันออกมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อเย่เชียนต้านทานการโจมตีของหยายซื่อฉุยเห็นได้ชัดว่าหยานซื่อฉุยก็ตกตะลึงแต่เธอก็คาดหวังผลลัพธ์นี้เอาไว้เช่นกันเพราะเมื่อเธออยู่ในบ้านของตระกูลเย่เธอก็เห็นแล้วว่าเย่เชียนนั้นไม่ธรรมดา ดังนั้นเธอจึงอยากลองตรวจสอบความสามารถของเย่เชียนเพราะการดำรงอยู่ของบุคคลดังกล่าวในตระกูลเย่นั้นเป็นภัยคุกคามครั้งยิ่งใหญ่ของเธออย่างมาก
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังกลับไปสองสามก้าวหลังจากได้ยิน “ปัง” แต่หยานซื่อฉุยนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหนแต่ฝ่ามือของเธอนั้นโดนดีดกลับทันทีแต่ไม่มีใครเห็น ซึ่งมือของเธอก็สั่นเล็กน้อยแต่ผลออกมาอาจดูเหมือนว่าเย่เชียนนั้นแพ้หยานซื่อฉุย
นี่คือสิ่งที่เย่เชียนกังวลมาเสมอและเหตุผลที่เขาไม่เต็มใจที่จะต่อสู้กับหยานซื่อฉุยตอนที่เขาอยู่ในตระกูลเย่เพราะเขากลัวว่าหยานซื่อฉุยจะรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขา อย่างไรก็ตามหยานซื่อฉุยก็ได้รับรู้แล้วในตอนนี้ ซึ่งถ้าไม่ใช่ในกรณีฉุกเฉินเช่นนี้เย่เชียนก็ไม่คิดที่จะเผชิญหน้ากับเธอเลย อีกอย่างถ้าเขาไม่ใช้พลังอย่างเต็มที่หยานซื่อฉุยก็คงจะไม่ยอมถอนตัวไปอย่างแน่นอน
“ฉันคิดไม่ผิดจริงๆว่านายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในหมู่ลูกหลานของตระกูลเย่” หยานซื่อฉุยพูด
เย่เชียนก็เช็ดเลือดจากมุมปากเขาแล้วยิ้มจางๆและพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจเธอเลยจริงๆ..เธอหาฉันเจอได้ยังไงเพราะฉันเพิ่งจะมาถึงเมืองปักกิ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง”
“นี่คือโชคชะตา..เราถูกกำหนดให้เผชิญหน้ากัน” หยานซื่อฉุยพูด
“โชคชะตา?..ฉันคิดว่ามันคือโชคร้ายเสียมากกว่า..เธออยากลองสู้กับฉันงั้นเหรอ?..เห็นได้ชัดว่าเธอต้องการชีวิตของฉัน!” เย่เชียนพูด
“ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วฉันจะทดสอบความสามารถของนายได้ยังไง” หยานซื่อฉุยพูด “แต่ตอนนี้ฉันได้รู้แล้วและมันทำให้ฉันรู้สึกว่าการปล่อยให้นายอยู่ในโลกใบนี้มันเป็นหายนะอย่างมากสำหรับฉัน..ดูเหมือนว่าฉันต้องฆ่านายทิ้งซะ!”
“เธอนี่มันโรคจิตจริงๆ..คราวที่แล้วเธอไม่ได้ไปพบนักจิตวิทยาหรอกเหรอ?..เราไม่ได้มีความแค้นต่อกันแล้วเธอจะฆ่าฉันไปทำไม?..ฉันเคยไปนอนกับแม่ของเธองั้นเหรอ?” เย่เชียนขมวดคิ้วแล้วพูดเพราะเขาหงุดหงิดและรำคาญผู้หญิงคนนี้อย่างมาก ซึ่งเขาอยู่บนเครื่องบินมาตั้งแต่เช้าและยังไม่ได้กินข้าวเลยด้วยซ้ำแต่กลับต้องมาเจอผู้หญิงคนนี้ที่จ้องจะมาฆ่าเขาซึ่งทำให้เขาหงุดหงิดอย่างมาก
แสดงออกของหยานซื่อฉุยก็ดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดและเจตนาฆ่าก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของเธอทันทีเพราะสิ่งที่เย่เชียนในพูดตอนนี้ทำให้เธอโกรธจริงๆเพราะเธอเองก็จุดอ่อนและทัศนคติเชิงลบเช่นกัน ซึ่งคำพูดของเย่เชียนได้ไปจี้จุดระเบิดโทสะของเธอ เมื่อเห็นสิ่งนี้เย่หานหลินก็พุ่งเข้าไปหยุดที่ด้านหน้าของเย่เชียนและมองหยานซื่อฉุยอย่างระมัดระวัง ตราบใดที่หยานซื่อฉุยเริ่มเคลื่อนไหวเขาก็จะไม่ลังเลเลยและถึงแม้ว่าจะรู้ว่าข้างหน้ามันคือความตายก็ตาม
“หานหลินนายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ..ถอยออกไปซะ” เย่เชียนหันไปเหลือบมองเย่หานหลินและพูด แทนที่จะปล่อยเย่หานหลินตายไปอย่างไร้ประโยชน์ทำไมเย่เชียนถึงไม่ลองต่อสู้กับหยานซื่อฉุยด้วยตัวเองไปเลยล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็มีพรรคพวกของตัวเองอยู่มากมาย ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ว่าหยานซื่อฉุยจะมีทักษะและเก่งแค่ไหนก็ตามแต่เธอก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับคนจำนวนมากได้ใช่ไหม?