ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 812 ความก้าวหน้า
ตอนที่ 812 ความก้าวหน้า
สิ่งที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดนั้นถ้ามันไม่ทำให้เย่เชียนเศร้าก็ดูเหมือนจะโกหกเพราะทั้งสองอยู่ด้วยกันมานานมากและเย่เชียนก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนพี่น้อง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นอาจารย์และลูกศิษย์แต่เย่เชียนไม่เคยมองเขาในฐานะลูกศิษย์เลยและทำเหมือนเขาเป็นพี่น้องและดูแลเขาอย่างดี
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ชัดเจนมากว่าเขาและหวงฟูเส้าเจี๋ยนั้นมีเป้าหมายที่แตกต่างกันและต้องขัดแย้งกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นนอกเหนือจากปัญหาความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้วเย่เชียนจึงไม่โทษหวงฟูเส้าเจี๋ยเพราะการเลือกและการตัดสินใจของเขานั้นไม่ได้ผิด
เมื่อเห็นการแสดงออกของเย่เชียนแล้วหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ได้สาปแช่งหวงฟูเส้าเจี๋ยอย่างรุนแรงในใจเพราะท้ายที่สุดหวงฟูเส้าเจี๋ยก็ยังเด็กเกินไปที่จะตัดสินใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างละเอียด ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเลือกเส้นทางนี้แต่มันก็เป็นเส้นทางที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก หากหวงฟูเส้าเจี๋ยใช้ความคิดและไตร่ตรองดีๆ ล่ะก็เย่เชียนนั้นจะสามารถทำให้ตัวหวงฟูเส้าเจี๋ยมีอนาคตที่ดีมากขึ้นไปอีก ในฐานะผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงแห่งชาติของจีนอย่างหวงฟู่ชิงเตี๋ยนแล้วเขามีมุมมองที่ชัดเจนในหลายๆ ด้าน ซึ่งการพัฒนาประเทศทุกๆ ประเทศนั้นก็จำเป็นต้องมีระบบใต้ดินเหล่านี้เสมอ กล่าวได้ว่ามันเป็นการพึ่งพาอาศัยกันตราบใดที่สามารถได้รับผลประโยชน์ร่วมกันอย่างสมเหตุสมผลมันก็จะกลายเป็นปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการส่งเสริมการพัฒนาประเทศ นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงใส่ใจเย่เชียนอยู่เสมอซึ่งจุดประสงค์ก็เป็นธรรมชาติที่จะเปลี่ยนพลังของเย่เชียนให้เป็นพลังที่ส่งเสริมการพัฒนาประเทศ
หลังมื้ออาหารกลางวันทุกคนก็คุยกันแบบสบายๆ และแยกย้านกันไป แน่นอนว่าเย่เชียนกับเย่หานหลินนั้นพักที่โรงแรมนั้นต่อเพราะหลังจากนั้นพวกเขาจะไปเยือนสำนักหยุนหยานเหมินในเช้าวันพรุ่งนี้ สำหรับหลินเฟิงนั้นเย่เชียนรู้ดีว่าหลินเฟิงคิดแต่เรื่องหลินฟานน้องชายของเขาเสมอ หากหลินเฟิงตามหาน้องชายไม่ได้หัวใจของหลินเฟิงก็ไม่สามารถสงบลงได้เลย ด้วยเหตุนี้เย่เชียนจึงไม่ดึงหลินเฟิงมาเสียเวลากับเรื่องนี้ นอกจากนี้เย่เชียนเองก็ยังอยากรู้ว่าหลินฟานนั้นอยู่ที่ไหนและเป็นอย่างไรเพราะท้ายที่สุดเขาก็เป็นหลานชายของอาจารย์ของเขา แต่ในเมื่ออาจารย์ไม่อยู่ในโลกใบนี้แล้วเย่เชียนก็ควรรับผิดชอบดูแลเขาต่อ
ถึงแม้ว่าหลินฟานจะฉลาดมากแต่เขาก็ยังเป็นเด็กเหมือนกับอยู่ในหม้อน้ำมันขนาดใหญ่ของสังคมนี้และเย่เชียนก็กังวลมากว่าเขาจะไม่สามารถปรับตัวได้ ท้ายที่สุดหลินฟานก็เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลและหลินฟานก็ค่อนข้างไร้เดียงสา และความไร้เดียงสานี้จะสามารถถูกหลอกใช้ประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย
สำหรับม่อหลงแล้วสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้คือการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ให้ดีและเขาจะมั่นใจมากขึ้นเมื่อต้องรับมือกับสำนักม่อจื๊อในอนาคต ไม่ว่าจะใช้วิธีการฝึกฝนรวดเร็วหรือไม่ก็ตามแค่มันก็ขึ้นอยู่กับม่อหลงที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่เย่เชียนรู้สึกว่าม่อหลงจะเลือกวิธีนี้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าม่อหลงงจะเป็นคนเงียบๆ อยู่ตลอดทั้งวันแต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่ดื้อรั้นและค่อนข้างไม่ฟังใคร ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าการฝึกฝนอย่างรวดเร็วจะทำให้อายุขัยของเขาสั้นลงแต่เขาก็จะเต็มใจอยู่ดี
เมื่อหวงฟู่ชิงเตี๋ยนกำลังจะจากไปเขาก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เย่เชียนซึ่งเป็นผ้าเช็ดหน้าที่ย้อมด้วยดอกบัวสีแดงเลือดและเขาก็บอกกับเย่เชียนว่าหากมีความขัดแย้งใดๆ กับฮัวหยาซินล่ะก็เขาสามารถนำผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ออกมาเมื่อคิดว่าชีวิตของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรนำมันออกมาอย่างเด็ดขาด
เย่เชียนนั้นไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรกันแน่แต่เขาเดาเอาว่าผ้าเช็ดหน้านี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับฮัวหยาซินอย่างมากและมันอาจเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักระหว่างหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและฮัวหยาซินและต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง แต่มันเป็นสิ่งที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนไม่ต้องการพูดดังนั้นเย่เชียนจึงไม่คิดที่จะถามต่อ ยิ่งไปกว่านั้นการที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะนำผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ออกมามันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ออกมาได้ถ้าหากชีวิตของเขายังไม่ตกอยู่ในอันตรายจริงๆ ก็ตาม แต่เย่เชียนคิดว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับอดีตระหว่างหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและฮัวหยาซินอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้คิดจะใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ช่วยชีวิตของตัวเองแต่อย่างใดและเย่เชียนก็แอบตัดสินใจว่าถ้าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและฮัวหยาซินมีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆ เย่เชียนก็รู้สึกว่าเขาควรช่วยพวกเขาทั้งสองปรับความเข้าใจกัน ซึ่งนี่ถือได้ว่าเป็นการตอบแทนหวงฟู่ชิงเตี๋ยนสำหรับการดูแลเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เย่เชียนนั้นไม่ได้ออกไปทานอาหารค่ำแต่เรียกพนักงานเสิร์ฟมาที่ห้องโดยตรงและหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วเย่เชียนก็พักผ่อนเล็กน้อย จากนั้นนั่งไขว่ห้างบนโซฟาในห้องนั่งเล่นหลับตาและตั้งสมาธิ
ที่เย่เชียนสามารถประสบความสำเร็จได้มันเป็นเรื่องบังเอิญมากและถือได้ว่าเป็นโชคที่พ่อของเขาทิ้งไว้ให้เขา ซึ่งพลังอันชั่วร้ายนั้นทรงพลังมากและไม่มีทางที่ผู้ฝึกฝนจะใช้มันได้อย่างง่ายดายไม่เช่นนั้นมันคงจะไม่ทำร้ายเย่เจิ้งหรานจนมีจุดจบแบบนั้นอย่างแน่นอน หลังจากที่เย่เจิ้งหรานได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วเขาก็ไม่ได้มอบตำราลับศิลปะการต่อสู้ตำรับโบราณให้ตระกูลเย่แต่กลับมอบมันให้กับอันซือ เพื่อความปลอดภัยความสำคัญของสิ่งนี้ลึกซึ้งเพราะเย่เจิ้งหรานนั้นรู้ดีว่าอันซือจะต้องแก้แค้นถ้าเขาตายและในอนาคตอันซือจะแก้แค้นตระกูลเย่อย่างแน่นอนแต่เธอนั้นไม่มีความสามารถใดๆ ดังนั้นเย่เจิ้งหรานจึงมอบตำราลับของศิลปะการต่อสู้โบราณแต่ไม่ได้บอกจุดสำคัญของตำราลับเล่มนี้กับเธอ จุดประสงค์คือการทำให้อันซือไม่สามารถฝึกฝนและใช้พลังอันชั่วร้ายเพื่อแก้แค้นตระกูลเย่ได้แต่ใช้สำหรับป้องกันตัวนั่นเอง
เพียงแต่ว่าเย่เจิ้งหรานนั้นไม่ได้คาดคิดว่าอันซือจะถูกเย่เจิ้งเซียงไล่ล่าและทำร้ายจนศิลปะการต่อสู้ของเธอสูญหายไปและร่างกายของเธอก็เป็นอัมพาต ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เธอจะฝึกศิลปะการต่อสู้ต่อดังนั้นอันซือจึงได้มอบหนังสือลับเล่มนี้ให้กับเย่เชียนเพื่อพยายามหลอกใช้เย่เชียนเพื่อแก้แค้นตระกูลเย่
เนื่องจากเย่เจิ้งหรานได้ผนึกพลังอันชั่วร้ายเข้าสู่ร่างกายของเย่เชียนในตอนนั้นจนถึงตอนนี้เย่เชียนก็ได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว เมื่อเทียบกับเย่เจิ้งหรานที่เป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งในโลกแห่งนักสู้ตำราโบราณแล้วความจริงที่ว่าเขากลับไม่สามารถผนึกพลังนั้นเอาไว้กับตัวเองได้แต่เลือกที่จะผนึกมันเอาไว้ในร่างกายของเย่เชียนนี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้ว
ลัทธิเต๋ามักจะให้คำสอนส่วนพระพุทธเจ้ามักจะให้ความสำคัญกับ “การตรัสรู้” มากที่สุด และการถ่ายทอดการตรัสรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด พระศากยมุนีเคยกล่าวเอาไว้ว่า “วิธีอันละเอียดอ่อนมันไม่มีคำพูดเป็นลายลักษณ์อักษรเพราะฉะนั้นอย่าสอนคนนอกเป็นอันขาด” ทักษะและพลังแฝงเหล่านี้ไม่เพียงแต่เน้นการฝึกฝนมันเท่านั้นแต่ยังเน้นการตรัสรู้และการเข้าใจพลังนั้นอีกด้วย การตรัสรู้นี้เปรียบได้ดั่ง “ชุดแต่งงาน” หมายถึง “การทำชุดแต่งงานให้ผู้อื่นสวมใส่” ชุดแต่งงานถูกเย็บให้คนอื่นสวมใส่ ถึงแม้ว่าคนที่เย็บมันจะต้องเย็บเป็นพันๆ เข็มแต่คนที่ทำไม่ใช่เจ้าสาวมันก็เท่านั้น ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้เข้ารับการฝึกตนจะผ่านความยากลำบากมาทั้งหมดแล้วแต่มันก็ยังไม่สามารถใช้งานได้อยู่ดีถ้าหากไม่เข้าใจมัน
หลังจากฝึกฝนพลังนั้นการใช้พลังชี่ดั้งเดิมในร่างกายก็กลายเป็นเหมือนยาฝาดทำให้เคลื่อนไหวได้ยาก ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของพลังปราณจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อคุณฝึกฝนแต่มันเจ็บปวด ถ้าคุณต้องการใช้มันแต่คุณต้องฝืนมันล่ะก็ผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาโหดร้ายอย่างมาก ซึ่งเย่เจิ้งหรานนั้นคิดว่าเขานั้นสามารถใช้มันและควบคุมมันได้ด้วยความสามารถของเขาเอง ข้อเท็จจริงนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าในที่สุดเขาก็ถ่ายโอนพลังอันชั่วร้ายเข้าสู่ร่างกายของเย่เชียนด้วยตัวเขาเอง ถึงแม้ว่าจะทำเช่นนั้นแต่เย่เจิ้งหรานก็ยังคงได้รับบาดเจ็บสาหัสและความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็ลดลงอย่างมาก มิฉะนั้นเขาจะได้รับบาดเจ็บระหว่างการดวลกับฟู่จื้อซานได้อย่างไร
เย่เชียนนั้นอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นสุดยอดปรมาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แต่เขาแค่ไม่เคยรู้จักวิธีใช้พลังปราณและพลังชี่มาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้พลังแฝงเหล่านั้นได้เลย อย่างไรก็ตามภายใต้ความโกรธของเย่เชียนในบางครั้งเขาจะกระตุ้นพลังดังกล่าวออกมาได้ ด้วยเหตุนี้ในประเทศรัสเซียคราวก่อนเขาสามารถรอดชีวิตกลับมาได้เมื่อเผชิญหน้ากับสาวกฝ่ายอธรรมของสำนักม่อจื๊อและคราวก่อนที่เย่เชียนกับซงเจิ้งหยวนจับมือกันในสโมสรเจิดจรัสเดิมทีซงเจิ้งหยวนต้องการที่จะทำให้เย่เชียนขายหน้าดังนั้นซงเจิ้งหยวนจึงใช้พลังปราณบีบมือของเย่เชียนแต่เขาก็ต้องตกใจไปกับพลังอันชั่วร้ายภายในร่างกายของเย่เชียนทันที
ต่อมาอันซือได้มอบตำราลับเล่มนี้ให้กับเย่เชียนเพื่อพยายามหลอกใช้เย่เชียนเพื่อล้างแค้นตระกูลเย่ ซึ่งถ้าหากเย่เชียนไม่มีพลังนี้ในร่างกายเขาก็คงจะถูกฆ่าโดยอันซือเพราะการใช้ตำราลับเล่มนั้นโดยที่ไม่มีคำแนะนำใดๆ ซึ่งด้วยพลังดังกล่าวเย่เชียนนั้นสามารถฝึกฝนได้รวดเร็วอย่างก้าวกระโดดแต่เนื่องจากพระนิรนามที่วัดหลิงหลงตะวันออกเฉียงเหนือของจีนได้ผนึกออร่าบางอย่างเอาไว้ในร่างของเย่เชียนเพื่อยับยั้งพลังอันชั่วร้ายเอาไว้จึงทำให้การพัฒนาของเย่เชียนชะลอตัวลงอย่างมาก แต่มันก็เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการขัดเกลาและฝึกฝนของเย่เชียน ไม่เช่นนั้นเย่เชียนคงจะฝึกฝนจนไปถึงระดับสูงสุดและเกรงว่ามันจะยากต่อการควบคุมพลังอันทรงพลังนี้ในท้ายที่สุด
หลังจากนั้นเย่เชียนก็ได้รวมพลังทั้งสองนี้เข้ากันได้อย่างราบรื่น ซึ่งทำให้ทักษะของเย่เชียนพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากขอบเขตของนักศิลปะการต่อสู้โบราณระดับแรกกระโดดไปถึงระดับสาม อย่างไรก็ตามเนื่องจากเย่เชียนได้รับบาดเจ็บโดยเย่เจิ้งเซียงเขาก็รู้ว่าทักษะของเขายังอ่อนแอมากและเขาต้องเพิ่มการฝึกฝนของเขาไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถต่อสู้กลับเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งในอนาคต แม้กระทั่งวันนี้เย่เชียนยังประสบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ภายใต้การเผชิญหน้ากับหยานซื่อฉุย ซึ่งถ้าหากไม่ใช่เพราะหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเข้ามาช่วยล่ะก็เกรงว่าเขาคงจะตายไปแล้ว
เย่เชียนก็ไม่กล้าที่จะประมาทอีกต่อไปดังนั้นเขาจึงหลับตาของเขาและควบคุมพลังปราณในร่างกายของเขาและตอนนี้ความแข็งแกร่งในร่างกายของเย่เชียนก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นพลังที่บริสุทธิ์หรือผนึกความชั่วร้ายแต่เป็นพลังใหม่ที่ผสมผสานรวมกัน
ตามบันทึกในตำราลับเย่เชียนจึงนำหมุนเวียนพลังปราณเหล่านี้และขัดเกลาทุกๆ สัปดาห์ด้วยจิตสำนึกของเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อจิตสำนึกของเย่เชียนกำลังจะเข้าไปถึงพลังเหล่านั้นจะดูเหมือนว่ามันกลับควบคุมไม่ได้ในทันใดและหมุนอย่างรุนแรงโดยไม่รู้ว่ามันถูกกระตุ้นได้อย่างไร สิ่งนี้ทำให้เย่เชียนหวาดกลัวไม่น้อยเลยดังนั้นเขาจึงตั้งใจวิเคราะห์สิ่งที่บันทึกเอาไว้ในตำราลับแต่มันก็ไม่มีประโยชน์ ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะมีชีวิตเป็นของตัวเองและไม่เชื่อฟังเย่เชียนเลย นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พลังงานทั้งสองได้มารวมกันอย่างราบรื่นและตั้งแต่นั้นมาเย่เชียนก็สามารถควบคุมมันได้เสมอแต่มาวันนี้เย่เชียนก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่