ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 814 ยั่วยุเย้ยหยัน
ตอนที่ 814 ยั่วยุเย้ยหยัน
หยุนหยานเหมินมีสถานะที่สูงมากในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้ แม้กระทั่งเหนือกว่าตระกูลเย่ซึ่งถ้าหากเย่เจิ้งหรานไม่ได้เป็นสมาชิกของตระกูลเย่ล่ะก็ตระกูลเย่ก็จะไม่มีสถานะที่สูงเช่นนี้ได้เลย ควบคู่ไปการที่เย่เจียอู๋นำตระกูลเย่ไปสู่ความทันสมัยโดยการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาของตระกูลเย่และเย่เจิ้งหรานก็สามารถท้าทายปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ทั่วทุกมุมโลกจนเป็นอันดับหนึ่งในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้ ด้วยเหตุนี้สถานะของตระกูลเย่จึงสูงมาก
สำนักหยุนหยานเหมินนั้นถูกก่อตั้งขึ้นโดยผู้บุกเบิกคนแรกของตระกูลหยุนหยานเหมินและไม่ว่าจะบุคคลใดก็ตามทั่วโลกก็ต้องปลดอาวุธออกเมื่อมาถึงสำนักเพื่อแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษหยุนหยานเหมิน ซึ่งเย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะอาวุธของเขานั้นเต็มไปด้วยเลือดและนี่ก็เป็นสมบัติที่คนทั่วโลกต่างก็หมายปอง นอกจากนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าการกระทำของซงเจิ้งหยวนนั้นเป็นคำสั่งของฮัวหยาซินหรือไม่เพราะถ้าใช่การฝากมีดคลื่นโลหิตเอาไว้กับคนเหล่านี้ก็เท่ากับการส่งแกะไปที่ถ้ำเสือเลยไม่ใช่หรือ? แต่ถ้าหากไม่ปลดอาวุธล่ะก็ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นการยั่วยุหยุนหยานเหมินและสิ่งต่อไปที่คาดว่าจะยากยิ่งขึ้นไปอีก
เย่หานหลินนั้นรับรู้ได้ถึงความลำบากใจของเย่เชียนอย่างเห็นได้ชัดและเย่หานหลินก็เหลือบมองเย่เชียน ภายในศาลากลางนั้นมีลูกศิษย์สองคนเฝ้าที่หน้าทางเข้า พวกเธอทั้งสองเป็นหญิงสาวที่มีความสวยงามเป็นพิเศษและดูอ่อนโยนอย่างมากคล้ายกับหูวเค่อและเหยาซื่อฉี ซึ่งนี่น่าจะเป็นเพราะพวกเธอฝึกศิลปะการต่อสู้ตำราโบราณมาเหมือนๆกันใช่ไหม?
เมื่อเห็นเย่เชียนกำลังมาหญิงสาวทั้งสองก็เดินออกมาจากศาลาและหยุดอยู่ข้างหน้าเย่เชียนแล้วพูดอย่างสุภาพว่า “ท่านสุภาพบุรุษทั้งสองได้โปรดปลดอาวุธทั้งหมดออกด้วยค่ะ”
เย่หานหลินก็หันไปเหลือบมองเย่เชียนและเมื่อเห็นเย่เชียนพยักหน้าจากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไปและหยิบกระบี่ที่เอวของเขาออกมา ถึงแม้ว่ามีดเล่มนี้จะไม่เป็นที่รู้จักแต่ก็ทำมาจากเหล็กบริสุทธิ์และคมมาก ซึ่งสิ่งที่โด่นเด่นที่สุดคือมันสามารถโค้งงอรอบเอวได้เหมือนเข็มขัด จากนั้นเย่หานหลินก็ปลดกระบี่บางแล้วส่งมอบให้พวกเธอ
จากนั้นทั้งสองสาวก็จ้องมองไปที่เย่เชียนที่อยู่ข้างๆและโบกมือให้เขาปลดอาวุธด้วย เย่เชียนก็ยิ้มอย่างมีความสุขและยักไหล่เบาๆจากนั้นก็กางมือออกแล้วพูดว่า “ผมไม่มีอาวุธ”
หญิงสาวทั้งสองก็มองหน้ากันอย่างสงสัยเห็นได้ชัดว่าพวกเธองุนงงอย่างมากเพราะโดยทั่วไปคนที่มายังสำนักหยุนหยานเหมินจะต้องปลดอาวุธเพื่อแสดงความเคารพต่อหยุนหยานเหมินอย่างยินดีและไม่มีใครเคยละเมิดกฎนี้ ดังนั้นการคุ้มกันของพวกเธอที่นี่จึงเป็นเหมือนกฎเหล็ก แต่เย่เชียนกลับบอกว่าเขาไม่มีอาวุธและมันก็ยากจริงๆที่จะค้นร่างกายของเย่เชียน เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกเธอก็มองหน้ากันและหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูรูปร่างผอมกว่าเล็กน้อยก็พูดว่า “เนื่องจากคุณไม่มีอาวุธ..ถ้างั้นก็เชิญเข้าไปข้างในได้เลยค่ะ..แต่ถ้าหลังจากนี้หากเราค้นพบว่าคุณซ่อนอาวุธโดยเจตนาทางเราก็จะขอเสียมารยาทนะคะ”
“ดูคุณพูดสิ..คุณสวยขนาดนี้ผมจะไปทำร้ายคุณทำไม?” เย่เชียนยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “ของคุณพี่สาวทั้งสอง..ไว้มีโอกาสผมจะเลี้ยงมือเย็นพวกคุณทั้งสองเอง” หลังจากพูดแล้วเย่เชียนก็เดินไปข้างหน้า
“เดี๋ยวก่อน!” ในขณะนี้ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เข้ามาขวางทางของเย่เชียนเอาไว้และไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซงเจิ้งหยวนผู้ซึ่งมีความบาดหมางกับเย่เชียนและเป็นศิษย์เอกของสำนักหยุนหยานเหมิน
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เพราะดูเหมือนว่าซงเจิ้งหยวนนั้นจงใจมาสร้างปัญหา แต่เย่เชียนก็จะไม่หลงกลง่ายๆอย่างแน่นอน
“พี่ใหญ่!” หญิงสาวทั้งสองทำความเคารพและโค้งคำนับไอรีนโนเวล
ซงเจิ้งหยวนก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วถอนหายใจอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “พวกเธอประมาทแบบนี้ได้ยังไง..ถ้าเขาบอกว่าเขาไม่ได้นำอาวุธมาพวกเธอก็จะเชื่ออย่างงั้นเหรอ?..ถ้าหากเขาซ่อนอาวุธไว้โดยเจตนาและมีประสงค์ไม่ดีต่ออาจารย์ล่ะ?..พวกเธอจะอธิบายยังไง?..ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไปสำนักหยุนหยานเหมินของเราจะไม่ถูกหัวเราะเยาะเหรอ?”
หญิงสาวทั้งสองคนจะกล้าโต้เถียงที่ไหนพวกเธอได้แต่ก้มหน้าลงและไม่ได้พูดอะไรสักคำ ในความเป็นจริงพวกเธอนั้นรู้สึกขุ่นเคืองใจอย่างมากเพราะพวกเธอไม่เคยชอบซงเจิ้งหยวนเลยแต่เนื่องจากเขาเป็นศิษย์เอกและพี่ใหญ่ของเหล่าลูกศิษย์หยุนหยานเหมินแล้วพวกเธอจึงต้องเคารพเขา แต่พวกเธอก็คิดอย่างโกรธเคืองในใจว่า “เขาเป็นผู้ชายแต่เราเป็นผู้หญิงเพราะงั้นเราจะไปค้นร่างกายของเขาได้ยังไง..ทำไมถึงไม่ให้ผู้ชายที่อยู่ที่นี่จัดการล่ะ?”ไอรีนโนเวล
อย่างไรก็ตามพวกเธอก็ไม่กล้าพูดเพราะในสำนักหยุนหยานเหมินสถานะของซงเจิ้งหยวนค่อนข้างสูงเพราะท้ายที่สุดเขาก็เป็นศิษย์เอกและอาจารย์ก็รักเขามาก ซึ่งมีภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงหลายอย่างรอให้เขาสานต่อและสาเหตุหลักก็เป็นเพราะซงเจิ้งหยวนนั้นแสดงละครตบตาเก่งมาก ต่อหน้าฮัวหยาซินแล้วเขาดูเหมือนลูกกตัญญูแต่แน่นอนว่าความสามารถของซงเจิ้งหยวนนั้นก็ดีมากและศิลปะการต่อสู้ของเขาก็เป็นอันดับหนึ่งในเหล่าลูกศิษย์ของหยุนหยานเหมิน ดังนั้นฮัวหยาซินจึงโปรดปรานเขาเป็นพิเศษ ยิ่งการที่เขามมักจะแสดงออกว่าเขานั้นมั่นใจในทุกสิ่งนั้นมันเหนือกว่าสำหรับคนอื่น
ซงเจิ้งหยวนก็หันไปมองเย่เชียนแล้วสูดลมหายใจอย่างเย็นชาและพูดว่า “เราพบกันเมื่อเร็วๆนี้แต่ฉันไม่คิดเลยว่าเราจะได้พบกันอีกครั้งเร็วขนาดนี้..แต่น่าเสียดายที่ตัวตนของเราในปัจจุบันนั้นมันต่างกัน”
“อะไรกัน?..นายไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าฉันที่นี่หรอกใช่มั้ย?” เย่เชียนขดปากของเขาและพูดอย่างเย้ยหยัน แน่นอนว่าเขารู้ว่าซงเจิ้งหยวนไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้น อย่างไรก็ตามที่นี่ก็คือสำนักหยุนหยานเหมินดังนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเย่เชียนล่ะก็สำนักหยุนหยานเหมินก็จะไม่สามารถหนีความผิดและความร้าวฉานนี้ไปได้ เมื่อถึงตอนนั้นการต่อสู้ระหว่างตระกูลเย่และสำนักหยุนหยานเหมินจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและผลกระทบของสิ่งนี้ซงเจิ้งหยวนก็ไม่สามารถจ่ายมันได้เลย
“หืม” ซงเจิ้งหยวนก็ถอนหายใจออกมาและไม่ได้พูดอะไรใดๆ เมื่อเห็นความตึงเครียดของดาบของเย่เชียนและซงเจิ้งหยวนแล้วหญิงสาวทั้งสองที่อยู่ด้านข้างก็ถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่งและพวกเธอก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเย่เชียนกับซงเจิ้งหยวนนั้นรู้จักกันมาก่อนแต่พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขามีความขัดแย้งกันอย่างไร อย่างไรก็ตามพวกเธอก็คาดหวังในใจว่าเย่เชียนคนนี้จะสามารถสอนบทเรียนที่สาสมแก่ซงเจิ้งหยวนได้และพวกเธอก็จะเห็นได้ว่าซงเจิ้งหยวนนั้นไร้ค่าแค่ไหน
“นี่เป็นกฎของหยุนหยานเหมิน..ไม่ว่าจะตระกูลไหนๆหรือใครก็ตามที่เข้ามาพวกเขาจะต้องปลดอาวุธของตัวเองและนายเองก็ไม่มีข้อยกเว้น” ซงเจิ้งหยวนพูด “นายไม่ได้คิดที่จะทำลายกฎนี้หรอกใช่มั้ย?..หากนายทำแบบนั้นมันก็เท่ากับเป็นการท้าทายสำนักหยุนหยานเหมินของเรา..นายควรจะตระหนักถึงผลที่จะตามมาให้ดีนะ”
หลังจากพูดจบซงเจิ้งหยวนก็ยิ้มอย่างมีชัยและพึมพำเบาๆว่า “เฮ้อ..ผู้ชายแบบไหนกันที่ไม่มีอาวุธข้างกาย..น่าเวทนาจัง”
เห็นได้ชัดว่าซงเจิ้งหยวนจงใจยั่วยุเย่เชียนและทำให้เย่เชียนโมโห จากนั้นก็ทำให้คนอื่นๆรู้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าเย่เชียนมาที่นี่เพื่อท้าทายสำนักหยุนหยานเหมิน แน่นอนว่าเย่เชียนก็ชัดเจนมากเกี่ยวกับผลที่ตามมาและถึงแม้ว่าเขาจะก้าวหน้าไปมากในความสามารถของเขาจากการฝึกฝนเมื่อคืนนี้แต่เย่เชียนก็ยังไม่มีโอกาสชนะในการเผชิญหน้ากับลูกศิษย์ของสำนักหยุนหยานเหมินทั้งหมดอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามหากเย่เชียนยอมปลดอาวุธล่ะก็นั่นก็เป็นการยอมแพ้ต่อซงเจิ้งหยวนและยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากมีดคลื่นโลหิตตกไปอยู่ในมือของซงเจิ้งหยวนแล้วมันคงเป็นเรื่องยากที่จะได้มันกลับคืนมา
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดอย่างเหยียดหยามว่า “ฉันไม่รู้ว่านายกำลังดูถูกฉันหรือดูถูกสำนักหยุนหยานเหมินของนายเองกันแน่..ถึงแม้ว่าฉันจะนำอาวุธมาแต่ฉันก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับลูกศิษย์ของหยุนหยานเหมินทั้งหมดได้..นี่นายกำลังคิดอะไรอยู่?..นายพูดแบบนี้เพราะนายกลัวงั้นเหรอ?..โถ่ๆถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไปสำนักหยุนหยานเหมินก็คงจะดูไม่ดีสักเท่าไหร่”
“อย่ามาพูดให้ฉันดูแย่ไปหน่อยเลย..ฉันรู้ว่านายมันเป็นอันธพาล!” ซงเจิ้งหยวนพูดต่อ “ตอนนี้ฉันก็แค่ถามเท่านั้น..ว่านายพกอาวุธมาหรือเปล่า..นายจะลองดีกับฉันงั้นเหรอ?”
“นายกำลังข่มขู่ฉันงั้นเหรอ?..เอาสิจะทำอะไรก็ทำเลยเพราะฉันเองก็ไม่สามารถต่อต้านได้อยู่แล้ว..ฉันมาที่นี่ก็เพราะคำสั่งของผู้อาวุโสตระกูลเย่ให้พาพบผู้นำของสำนักหยุนหยานเหมินก็เท่านั้นเอง..ทำไมฉันถึงต้องมาโดนดูถูกแบบนี้ด้วย” เย่เชียนนั้นแสร้งทำเป็นคนไร้เดียงสาจริงๆ “ซงเจิ้งหยวน..พูดตามตรงนะว่าในสายตาของผมฉันนายมันไม่ได้มีอะไรดีเลย..ฉันรู้นะว่านายไม่ได้แค่อิจฉาที่หูวเค่อชอบฉัน..แต่ยังเป็นเรื่องรูปลักษณ์หน้าตาที่หล่อเหลาของฉันอีก..ดูสิไม่ว่าฉันจะมีผู้หญิงสักกี่คนแต่หูวเค่อที่น่ารักของฉันก็ยังเต็มใจที่จะรักฉันอยู่ดี..แต่ก็นะฉันไม่ได้รักเธอเลย”
“แก…” มุมปากของซงเจิ้งหยวนกระตุกและร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านด้วยความโกรธ แท้ที่จริงแล้วเรื่องของหูวเค่อคือความอัปยศในชีวิตของเขาและเขาก็มักจะคิดว่าตนเองว่าหล่อเหลาอยู่เสมอจนเหล่าศิษย์น้องต่างก็แอบชอบเขา แต่หูวเค่อกลับมองนักเลงหัวไม้ที่มีแฟนสาวมากมาย ซึ่งนี่เป็นการดูหมิ่นตัวเองอย่างมากจนทำให้เขารู้สึกโกรธเกรี้ยวในใจเสมอมา
เมื่อหญิงสาวทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆเห็นซงเจิ้งหยวนโกรธเกรี้ยวเช่นนี้พวกเธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแต่พวกเธอก็ไม่กล้าที่จะหัวเราะออกมาดังๆและนั่นทำให้พวกเธอกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นไปทั้งตัว
“เย่เชียนอย่าภูมิใจไปเลยเพราะสักวันฉันจะทำให้แกต้องเสียใจกับสิ่งที่แกพูดในวันนี้และทำให้แกคุกเข่าลงต่อหน้าฉันและขอร้องอ้อนวอนฉัน!” ซงเจิ้งหยวนพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
“ฉันจะรอดู..แต่นายจะอยู่ได้นานถึงขนาดนั้นหรือเปล่า?..ฉันคิดว่านายเป็นคนอายุสั้นนะบอกตามตรงว่าตอนที่ฉันยังเด็กผมได้เรียนรู้โหงวเฮ้งมาจากอาจารย์ท่านหนึ่งที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้..ตอนไปกินข้าวก็ระวังหน้าระวังหลังเอาไว้ให้ดีล่ะ..ถือว่าฉันเตือนแล้วนะ!” เย่เชียนไปต่างๆนาๆแต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดริงๆเขาแค่แสร้งพูดเพื่อยั่วยุซงเจิ้งหยวนเท่านั้น
ซงเจิ้งหยวนก็อดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งไปครู่หนึ่งและครุ่นคิดอยู่สักพักและหลังจากนั้นเขาก็คิดได้ว่าเขาถูกหลอกโดยเย่เชียน จากนั้นเขาก็มองไปที่เย่เชียนแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้างั้นฉันก็ขอให้นายอายุยืนยาวและอย่ารีบตายเร็วเกินไปล่ะ..ฉันอยากให้นายมีชีวิตอยู่เพื่อรอดูวันที่ฉันได้ทุกสิ่งทุกอย่าง!”
“สาธุ..ขอบคุณสำหรับพร” เย่เชียนพูด “แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคืฉันมีคนที่รักอยู่เคียงข้างเพราะงั้นถึงแม้จะตายไปก็ยังมีความสุข..ต่างจากบางคนที่อยู่คนเดียวมาทั้งชีวิต..เฮ้อ..มันช่างน่าเวทนาซะเหลือเกิน!”
“เย่เชียน!..แกจะยั่วยุฉันไปถึงไหน..ฉันพยายามปล่อยผ่านไปหลายครั้งแล้วแต่แกก็ยังไม่หยุด..แกคิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรแกหรือไง?” ในที่สุดซงเจิ้งหยวนก็ทนการยั่วยุซ้ำๆของเย่เชียนไม่ไหวจนเขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว