ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 819 แสดงความรับผิดชอบ
ตอนที่ 819 แสดงความรับผิดชอบ
ในห้องนั้นฮัวหยาซินก็กำลังนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีซงเจิ้งหยวนยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่พูดอะไรใดๆและก้มหน้าลง ถึงแม้ว่าฮัวหยาซินจะขับไล่พลังปราณของเย่เชียนออกจากร่างกายของเธอไปได้อย่างราบรื่นแล้วแต่การถูกเย่หานหลินโจมตีโดยไร้การป้องกันนั้นทำให้อวัยวะภายในของเธอได้รับบาดเจ็บสาหัสและยิ่งไปกว่านั้นพลังอันชั่วร้ายของเย่เชียนก็ทำให้แขนของเธอนั้นเจ็บปวดอย่างมากและจนถึงตอนนี้แขนของฮัวหยาซินก็ยังไม่สามารถขยับได้อย่างสมบูรณ์
“ไหนพูดมาสิว่ามันเป็นยังไง” ฮัวหยาซินพูดอย่างเย็นชา
ซงเจิ้งหยวนก็ตัวสั่นและคุกเข่าลงเสียงดัง “พรึบ” แล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์..ผมตระหนักและหวังดีต่อสำนักหยุนหยานเหมินของเราเสมอ..ในสมัยก่อนเย่เจิ้งหรานเอาชนะปรมาจารย์ทั่วทุกมุมโลกก็เพราะกริชฉีจือเต๋าเพราะฉันนั้นถ้ากริชเล่มนั้นอยู่ในมือของเราล่ะก็ตำแหน่งของเราในโลกของศิลปะการต่อสู้ก็คงจะยิ่งใหญ่กว่านี้..ที่ผมทำแบบนั้นไปทั้งหมดก็เพื่อสำนักหยุนหยานเหมินของเรา..ตราบใดที่เราสามารถครอบครองฉีจือเต๋าได้สำนักหยุนหยานเหมินของเราก็จะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับปรมาจารย์ทั้งโลกได้และในอนาคตสำนักหยุนหยานเหมินจะเป็นดินแดนแห่งการไร้พ่ายแพ้..สำนักอื่นๆหรือตระกูลต่างๆก็จะไม่กล้าเย้ยหยันสำนักหยุนหยานเหมินของเรา!”
“หึ..พูดได้ดีแต่เอ็งคิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าเอ็งทำไปเพื่อตัวเองน่ะ?” ฮัวหยาซินพูด “เจิ้งหยวนฉันชื่นชมเอ็งมาโดยตลอดและถ้าไม่ใช่เพราะกฎของสำนักหยุนหยานเหมินของเราฉันก็คงจะทำแบบนั้นเหมือนกันแต่เพื่อเป็นการรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของสำนักหยุนหยานแล้วเอ็งทำให้ฉันผิดหวังมาก..ฉันรู้ว่าเอ็งมีความทะเยอทะยานมากแต่เราจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง..ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไปสำนักหยุนหยานเหมินของเราจะมีจุดยืนอยู่หรือเปล่า?”
“ท่านอาจารย์ท่านเข้าใจผิดแล้ว..ผมกำลังทำเพื่อสำนักหยุนหยานเหมินจริงๆ..ถึงแม้ว่าผมจะได้ฉีจือเต๋ามาผมก็ตั้งใจส่งมอบมันให้อาจารย์อย่างแน่นอน..ผมไม่กล้าปิดบังมันจากอาจารย์หรอก” ซงเจิ้งหยวนรีบพูด “ใช่!..ผมเกลียดเย่เชียนและเกลียดเขาที่แย่งศิษย์น้องไป..แต่ทุกสิ่งที่ผมทำลงไปก็เพื่อสำนักหยุนหยานเหมินและเพื่ออาจารย์นะครับ”
“ช่างมันเถอะโชคดีที่ตระกูลเย่ไม่ได้เอาเรื่องพวกเราในครั้งนี้ไม่งั้นมันคงเป็นเรื่องใหญ่จนเอ็งไม่สามารถรับผิดชอบได้เลย..เอ็งต้องคิดให้ดีก่อนทำว่าอะไรถูกหรือผิด” ฮัวหย่าซินพูด “เอ็งก็น่าจะรู้นิสัยศิษย์น้องดีว่าสิ่งที่เธอเกลียดที่สุดคือการตีสองหน้า..หากเอ็งต้องการได้ใจเธอเอ็งก็ควรตั้งใจฝึก..อีกอย่างกริชฉีจือเต๋าน่ะมันไม่ได้อยู่ในตระกูลเย่แล้วและทุกคนต่างก็รู้กันดี..สรุปแล้วเอ็งไม่ได้พยายามทำให้สำนักหยุนหยานเหมินต้องเสื่อมเสียใช่มั้ย?”
“มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง..นั่นคงเป็นแผนของตระกูลเย่เพราะพวกเขากลัวว่าจะมีใครมาแย่งชิงกริชฉีจือเต๋าไปดังนั้นพวกเขาจึงจงใจเผยแพร่ข่าวลือดังกล่าวเพียงเพื่อให้ผู้คนคิดว่ากริชเล่มนั้นมันไม่ได้อยู่ในตระกูลเย่ของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว” ซงเจิ้งหยวนพูด
“ถึงแม้ว่ากริชฉีจือเต๋าจะยังอยู่ในตระกูลเย่แต่มันก็ต้องตกอยู่ในมือของใครสักคนและฉันเกรงว่ามันจะกลายเป็นอาวุธของเย่เจิ้งเซียงเพราะเขาจะครอบครองอย่างแน่นอนและมันจะถูกใช้เพื่อท้าทายผู้คนทั่วทุกมุมโลกเพื่อสร้างสถานะของตระกูลเย่..จนถึงตอนนี้ต่อให้เย่เจิ้งเซียงจะเป็นผู้นำตระกูลเย่ก็ตามแต่ก็ไม่มีใครเกรงกลัวเขาเลยเพราะที่ผ่านเป็นผลพลอยได้จากการกระทำของเย่เจิ้งหรานทั้งหมดเพราะงั้นเย่เจิ้งเซียงคงจะโกรธมากถ้ารู้ว่ากริชฉีจือเต๋าโดนเอ็งแย่งชิงมา..ด้วยเหตุนี้เอ็งคิดว่าเขาจะยอมอยู่เฉยๆอย่างงั้นเหรอ?” ฮัวหยาซินพูด “นอกจากนี้การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ยังไม่ดีสามารถต้านทานอาวุธได้เพราะอาวุธโบราณนั้นมีประโยชน์อย่างมากกับการต่อสู้แต่นี่ก็ไม่ใช่เงื่อนไขพื้นฐานที่สุดเพราะในสมัยนั้นศิลปะการต่อสู้ของเย่เจิ้งหรานนั้นเหนือกว่าใครๆเพราะงั้นการต่อสู้ระหว่างปรมาจารย์จะเกี่ยวข้องกับความแน่วแน่ทางจิตใจมากกว่า..เพราะฉะนั้นด้วยความคิดแบบที่เอ็งคิดเอ็งจะไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของเย่เชียนได้เลย”
“ศิษย์คนนี้จะจำเอาไว้ครับ” ซงเจิ้งหยวนพูด “แต่ท่านอาจารย์ถึงแบบนั้นก็เถอะพฤติกรรมของเย่เชียนในตอนนี้ก็ยังให้อภัยไม่ได้ อยู่ดีแล้วถ้าเราไม่สอนบทเรียนให้เขาเราจะมีจุดยืนในอนาคตได้ยังไง?”
ด้วยการถอนหายใจเล็กน้อยฮัวหยาซินก็พูดว่า “ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เพราะมันเป็นการยั่วยุของฉันเองที่นำไปสู่ผลลัพธ์นี้..อันที่จริงความคิดของฉันคือการให้เอ็งกับเย่เชียนต่อสู้กันอย่างเป็นทางการและตราบใดที่เอ็งเอาชนะเย่เชียนได้เอ็งก็จะสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในหัวใจของเค่อเอ๋อขึ้นมาใหม่ได้..แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเอ็งจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เชียนเลย..ด้วยเหตุนี้การปล่อยให้เอ็งสู้กับเย่เชียนก็จะมีแต่อับอายขายหน้าเท่านั้น”
ซงเจิ้งหยวนก็รู้สึกหงุดหงิดและถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเต็มใจที่จะยอมรับคำพูดของฮัวหยาซินก็ตามแต่ข้อเท็จจริงก็ทำให้เขาต้องยอมรับว่าเมื่อเทียบกับเย่เชียนแล้วทักษะของเขานั้นอ่อนแอกว่ามาก ซึ่งเขายังจำครั้งแรกที่พบกับเย่เชียนได้เป็นอย่างดีและรู้ว่าเย่เชียนนั้นไม่ใช่นักสู้ตำราโบราณเลยแต่เย่เชียนเกือบที่จะทำให้เขาต้องอับอาบขายหน้า ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จึงทำให้ซงเจิ้งหยวนรู้สึกเสมอว่ามันเป็นสิ่งที่น่าละอายใจอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ทักษะและความสามารถของเย่เชียนก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดและช่องว่างระหว่างเขากับเย่เชียนนั้นก็ห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ “อาจารย์เมื่อครู่นี้…” ซงเจิ้งหยวนหยุดและถาม แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากของเขาแล้วเขาก็ต้องกลืนมันลงไปเพราะตอนนี้เขาเองก็เป็นคนผิดเพราะงั้นเขาจึงอึดอัดใจที่จะถามเธอตรงๆเกี่ยวกับเรื่องนั้น
ฮัวหยาซินก็ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร..เอาเถอะเอ็งออกไปซะเพราะฉันต้องให้ความยุติธรรมแก่ตระกูลเย่ในครั้งนี้ไม่งั้นผู้คนจะมองพวกเราว่าเราไม่มีศักดิ์ศรีและท้าทายตระกูลเย่อย่างเปิดเผย..ถ้างั้นฉันของสั่งให้เอ็งกักตัวอยู่ในห้องขังและอยู่ข้างในนั้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน!”
“แต่อาจารย์…” ถูกกักขังเป็นเวลาหนึ่งเดือนสำหรับคนอย่างซงเจิ้งหยวนแล้วเขาจะทนได้อย่างไร ที่สำคัญกว่านั้นถ้าเขาถูกกักขังเป็นเวลาหนึ่งเดือนมันจะไม่เท่ากับการยอมแพ้เย่เชียนงั้นหรือ? เขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไร?
“หยุดพูดแล้วออกไปซะ!” ฮัวหยาซินพูดอย่างจริงจัง เธอไม่ใช่คนโง่และเธอก็เป็นคนที่มีไหวพริบเพราะจริงๆแล้วเธอรู้ทุกอย่างที่ซงเจิ้งหยวนคิด ดังนั้นซงเจิ้งหยวนจึงไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งเธอและต้องทำตามที่เธอพูดอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในตอนนี้มันมีแต่ความเกลียดชังของเขาที่มีต่อเย่เชียนที่นับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
หลังจากที่เห็นซงเจิ้งหยวนออกไปข้างนอกฮัวหยาซินก็ถกแขนเสื้อของเธอขึ้นมาและเห็นว่าเส้นเลือดบนแขนของเธอถูกเปิดเผยใต้ผิวหนังอย่างชัดเจนและทั้งหมดก็อักเสบอย่างมาก เมื่อเธอกดเบาๆมันก็เจ็บปวดอย่างมากจนฮัวหยาซินส่ายหัวเล็กน้อยและพึมพำว่า “ศิลปะการต่อสู้ตำรานี้มันคืออะไรกันแน่?..พลังทำลายล้างของมันไม่ธรรมดาเลย” ฮัวหยาซินนั้นชัดเจนมากว่าทักษะของเย่เชียนนั้นไม่ได้ดีเท่าตัวเธอเองแต่แฝงแปลกๆที่อยู่ในตัวของเย่เชียนนั้นค่อนข้างน่าประหลาดใจจริงๆ ถึงแม้ว่าอนุภาคของมันจะไม่ได้รุนแรงแต่พลังทำลายล้างของมันนั้นทรงพลังมากจนต้องรีบขับไล่มันออกจากร่างกายและเกือบจะไม่มีทางหยุดยั้งการกัดกร่อนได้หากไม่ใช่ผู้ที่ฝึกฝนมานานเหมือนกับเธอ
ด้วยการถอนหายใจออกเล็กน้อยฮัวหยาซินก็ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางข้างซ้ายของเธอทำรูปทรงดาบและค่อยๆกดลงไปตามแขน และค่อยๆเคลื่อนไปข้างหน้า ถึงแม้ว่าพลังปราณจะถูกขับออกจากร่างกายในตอนนี้แต่เนื่องจากมันรุงแรงมากมันจึงยังมีร่องรอยของพลังที่ตกค้างซึ่งเป็นสาเหตุที่ฮัวหยาซินไม่สามารถรอช้าได้จึงรีบถอนตัวออกมา ซึ่งพลังปราณที่เหลือยังคงทำลายเส้นประสาทและเส้นเลือดของเธออย่างต่อเนื่องจนทำให้เธอถึงกับต้องตกใจอย่างสมบูรณ์แบบ
จากนั้นเธอก็ทำสมาธิและขับไล่พลังของเย่เชียนออกจากร่างกายของเธอ
หลังจากส่งเย่เชียนไปที่ห้องพักแล้วหูวเค่อก็เชิญลุงเหมิงฉีเพื่อตรวจสอบร่างกายของเย่เชียนและเมื่อเขาเห็นเย่เชียนแล้วเหมิงฉีก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและหันไปมองที่หูวเค่อด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นเช่นนั้นหูวเค่อก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ค่ะ..เขาคือเย่เชียนเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหราน”
การแสดงออกของเหมิงฉีก็เปลี่ยนไปแล้วพูดว่า “เขาได้รับบาดเจ็บได้ยังไง”
“เขาได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของอาจารย์ฮัว..ฉันจึงกังวลว่ามันอาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขาเพราะงั้นฉันจึงขอให้ลุงมาช่วยตรวจดูอาการเขาหน่อยน่ะ” หูวเค่อพูด
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหมิงฉีก็ตกตะลึงอีกครั้งจากนั้นเขาก็นั่งลงบนเตียงและเหยียดมือออกเพื่อสัมพัสกับหลังของเย่เชียน หลังจากเงียบไปนานเหมิงฉีก็มองไปที่เย่เชียนและถามว่า “เอ็งเป็นเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานจริงๆงั้นหรือ?”
“ผมดูไม่เหมือนอย่างงั้นหรอ..เย่เจิ้งหรานเป็นพ่อของผมจริงๆ” เย่เชียนพูด
“แล้วเอ็งรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร?” เหมิงฉีถาม
เย่เชียนก็ตกตะลึงเล็กน้อยและพูดด้วยความประหลาดใจว่า “คุณก็เป็นลุงของหูวเค่อเพราะเมื่อกี้เธอเรียกคุณแบบนั้นไม่ใช่หรอ”
เหมิงฉีก็พูดด้วยรอยว่า “เอ็งรู้มั้ยว่าสมัยก่อนฉันกับพ่อของเอ็งน่ะมีความแค้นต่อกัน” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็ถึงกับผงะ จากนั้นเขาก็เหลือบมองด้วยความประหลาดใจและจากนั้นก็มองไปที่หูวเค่อ เมื่อเห็นเช่นนั้นเหมิงฉีก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในตอนนั้นพ่อของเอ็งกับกริชคู่ใจอย่างฉีจือเต๋าก็ออกสยบปรมาจารย์นับไม่ถ้วนจากทั่วทุกมุมโลกและในที่สุดเขาก็เผชิญหน้ากับฉัน..จากนั้นเขาก็มาท้าทายสำนักหยุนหยานเหมินแต่ฉันไม่ต้องการที่จะแย่งชิงตำแหน่งนักสู้อันดับหนึ่งกับเขา”
“ลุงของฉันชื่นชอบศาสตร์การแพทย์และยาจีนแต่คนทั้งโลกก็คิดว่าศิลปะการต่อสู้ของเขาสูงที่สุดในสำนักหยุนหยานเหมิน..แต่อันที่จริงแล้วเขาเชี่ยวชาญทักษะทางการแพทย์เสียมากกว่า” หูวเค่ออธิบายให้เย่เชียนฟัง
เหมิงฉีนั้นมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของเขามากดังนั้นเขาจึงไม่ได้อ่อนน้อมถ่อมตนแล้วพูดว่า “ฉันไม่ชอบการต่อสู้สักเท่าไหร่แต่พอเห็นพ่อของเอ็งเอาชนะปรมาจารย์มานับไม่ท้วนมันก็ทำให้ฉันอยากที่จะลองฉันก็เลยไปท้าทายเขาจนพวกเราต่อสู้กันทั้งวันทั้งคืนแต่สุดท้ายฉันก็พ่ายแพ้ให้พ่อเอ็ง..แต่น่าเสียดายที่พ่อของเอ็งจากโลกนี้เร็วเกินไป..ถ้าพ่อของเอ็งยังมีชีวิตอยู่เขาคงนำนักศิลปะการต่อสู้ตำราโบราณไปสู่อีกโลกหนึ่งก็เป็นได้..เขาคือตำนานเพราะงั้นการตายของเขาจึงเป็นการสูญเสียสมบัติศิลปะการต่อสู้โบราณของเราจริงๆ..ยังก็เถอะฉันไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะมีลูกชายอยู่ด้วยและดูเหมือนว่าเอ็งจะเดินตามรอยเท้าพ่อซะด้วย”