ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 826 จุดจบของหมากล้อม
ตอนที่ 826 จุดจบของหมากล้อม
เมื่อพูดถึงทักษะหมากล้อมที่แท้จริงแล้วเย่เชียนนั้นจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฮัวหยาซินอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีการเล่นหมากล้อมตาบอดนี้โดยพยายามใช้การจำรูปแบบที่ตัวเองเคยวางหมากและเอาชนะฮัวหยาซินไปทีละน้อยจากนั้นเย่เชียนก็จะได้เปรียบอย่างแน่นอน
หมากล้อมนั้นเป็นการรวมสงครามจำลองเอาไว้บนกระดานหมากและมันมีทหารกับม้านับร้อยต่อสู้และฆ่าฟันกัน ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้สูญเสียความได้เปรียบทั้งหมดและสิ่งเดียวที่เย่เชียนโดดเด่นคือความจำที่สมบูรณ์แบบของเขาและสิ่งที่เขาเห็นก็จะเป็นกุญแจสู่ชัยชนะของเขา แต่ถ้าหากฮัวหยาซินไม่สามารถติดกับดักของเขาได้เขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
เย่เชียนนั้นฉลาดแต่ฮัวหยาซินก็รู้ว่าเย่เชียนจะเอาเปรียบเธอโดยการเริ่มก่อน อย่างไรก็ตามที่เย่เชียนพูดว่าฮัวหยาซินนั้นเป็นมืออาชีพส่วนเขาเป็นเพียงมือสมัครเล่นดังนั้นมันจึงไม่สามารถแข่งขันกันอย่างเท่าเทียมกันได้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอก็ตกลงและพยักหน้าแล้วพูดว่า “เชิญ!”
จากนั้นเย่เชียนก็ยิ้มอย่างมีชัยและพูดว่า “เค่อเอ๋อแกะเปลือกกุ้งให้หน่อยผมจะเล่นหมากรุกผมหิวไม่ไหวแล้ว”
หูวเค่อก็ชำเลืองมองเขาแต่น่าเสียดายที่เย่เชียนถูกปิดตาและมองไม่เห็นแต่ทว่าหูวเค่อก็ยังคงแกะเปลือกกุ้งและป้อนกุ้งเข้าปากเย่เชียนอย่างเชื่อฟัง ซึ่งชุดอาหารแคริบเบียนที่เย่เชียนทำนั้นมีกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทุกหนทุกแห่งและเป็นสิ่งล่อใจที่หาตัวจับยาก สำหรับฮัวหยาซินแล้วเธอก็อดคิดไม่ได้เกี่ยวกับอาหารเหล่านี้และอดใจไม่ไหวที่จะลิ้มลอง
“อร่อยจริงๆ” เย่เชียนเงียบไปครู่หนึ่งและพูดออกมาหลังจากกลืนมันลงไป นี่คือสิ่งที่เย่เชียนถนัดที่สุดเพราะเขารู้ว่าฮัวหยาซินนชอบอาหารทะเลมาก ดังนั้นเขาจึงจงใจยั่วยวนและไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องการใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อทำให้ฮัวหยาซินฟุ้งซ่านจนเธอไม่สามารถจดจ่อกับหมากล้อมและไม่สามารถจำหมากหมากรุกที่เย่เชียนเดินได้
เมื่อหูวเค่อป้อนอาหารให้เย่เชียนแล้วจากนั้นเย่เชียนก็วางหมากส่วนสีดำบนกระดานหมากล้อม
ใครๆก็มีความผูกพันไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูงหรือสามัญชนและแม้แต่ปรมาจารย์ที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษก็ไม่สามารถขจัดพันธนาการนี้ได้ แต่บางคนก็รู้วิธีควบคุมความผูกพันและรู้วิธีที่จะควบคุมอารมณ์และไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิด ตลอดเวลาที่ผ่านมากเธอชอบอาหารทะเลมาโดยตลอดดังนั้นเธอจึงหลงใหลในกลิ่นหอมของอาหารแคริบเบียนของเย่เชียนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“ถึงรอบของฉันแล้วสินะ” ฮัวหยาซินพูด
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กน้อยขณะเพลิดเพลินกับการปรนนิบัติของหูวเค่อ เขากำลังคิดหนักเกี่ยวกับมาตรการรับมือคู่แข่งเพราะมีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่าเย่เชียนมีเสน่ห์ในบุคลิกภาพที่พิเศษมากซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่กับเขามักจะยอมเขา แน่นอนว่าฮัวหยาซินเองก็ไม่มีข้อยกเว้นเพราะเมื่อเธอเผชิญหน้ากับเย่เชียนแล้วฮัวหยาซินก็ถูกดึงดูดโดยเสน่ห์ของเย่เชียนโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งการเล่นหมากล้อมนั้นต้องมีจิตใจที่สงบและห้ามว่อกแว่กไม่ต้องพูดถึงการเล่นหมากล้อมตาบอดเลยเพราะถึงแม้ว่าทักษะหมากล้อมของเย่เชียนจะไม่ดีเท่าฮัวหยาซินแต่เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองฝ่ายแล้วแสดงให้เห็นว่าเย่เชียนนั้นกำลังได้เปรียบเพราะเขาทำให้ฮัวหยาซินไม่สามารถมีสมาธิกับการเล่นได้และไม่สามารถพึ่งพาทักษะการเล่นหมากล้อมที่ยอดเยี่ยมของเธอที่จะสามารถเอาชนะเย่เชียนในคราวเดียวได้
เกมหมากล้อมเปรียบเสมือนการดวลกันระหว่างปรมาจารย์และไม่ใช่ผู้ที่มีศิลปะการป้องกันตัวสูงเพราะสิ่งสำคัญที่สุดความสงบและความคิด หากใครยังรักษาสมาธิเอาไว้ได้เมื่อเผชิญการรุกของคู่แข่งและคิดกลยุทธ์รับมือได้อย่างรวดเร็วเพื่อจัดการกับคู่แข่งล่ะก็เขาจะสามารถดึงศักยภาพของตัวเองออกมาและผลักดันให้สู้อย่างดุเดือดมากขึ้น
ในชั่วพริบตาทั้งสองฝ่ายต่างก็วางกันเกินห้าสิบตัวแล้วและถึงแม้ว่าหูวเค่อจะไม่เข้าใจเกมหมากล้อมมากนักแต่เธอก็รู้ได้ว่าสถานการณ์ของฮัวหยาซินนั้นไม่ค่อยดีเพราะตัวหมากสีขาวบนกระดานหมากล้อมนั้นได้ล้อมรอบตัวหมากสีดำอย่างแน่นหนาและไม่มีทางออกจากกองทัพวงล้อมนี้ไปได้เลย
อย่างไรก็ตามรูปแบบหมากล้อมของเย่เชียนไม่ได้ไร้ที่ติแต่เห็นได้ชัดว่ามีข้อบกพร่องเล็กน้อยในมุมหนึ่งและนั่นเป็นทางออกเดียวและหูวเค่อก็อยากจะบอกฮัวหยาซินจริงๆ ซึ่งหูวเค่อนั้นอยู่ในฐานะคนกลางและลำบากใจมากที่สุด ซึ่งเธอไม่ต้องการให้ใครพ่ายแพ้หรือเสียเปรียบเลย ดังนั้นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือการเสมออย่างไรก็ตามเกมหมากล้อมนั้นไม่มีผลลัพธ์เช่นนี้เพราะมันไม่มีการเสมอกันใดๆเลยนอกเสียจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้เท่านั้นเกมถึงจะจบลง
“หืม..ไม่เลวเลย” ฮัวหยาซินที่เงียบเป็นเวลานานในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเดินต่อแล้วพูด
ในที่สุดหูวเค่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะตัวหมากรุกของฮัวหยาซินนั้นกำลังจะออกมาจากการล้อมของเย่เชียนที่เธอเพิ่งเห็น อย่างไรก็ตามหลังจากได้ยินคำพูดของฮัวหยาซินแล้วปากของเย่เชียนก็มีรอยยิ้มอย่างพึงพอใจเล็กน้อยเพราะทางออกนี้ถูกเย่เชียนปล่อยเอาไว้โดยเจตนาโดยกลยุทธ์ที่เรียกว่าเชิญกษัตริย์เข้าไปในสุสานซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเกมหมากล้อม ซึ่งทางออกที่ดูเหมือนจะเป็นทางตันจริงๆแต่ถ้าหากไม่เลือกที่จะเดินต่อฮัวหยาซินก็จะสามารถพลิกกลับไปเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ฮัวหยาซินจะสามารถรักษาสมาธิของเธอเอาไว้ได้อย่างไรเพราะในที่สุดเธอก็ตกหลุมพรางของเย่เชียนเข้าให้แล้ว
“อาจารย์ฮัวคุณแพ้แล้ว” เย่เชียนฉีกยิ้มแล้วพูดต่อ “ผมจะแสดงให้ดู!” มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันราวกับว่ากองทัพทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากันและเห็นได้ชัดว่าฮัวหยาซินนั้นกำลังโดนล้อมและไม่มีทางที่จะต่อสู้กลับได้เลย
เห็นได้ชัดว่าฮัวหยาซินก็ตระหนักถึงความผิดพลาดของเธอและเธอก็ตกตะลึงจนมีเหงื่อหยดเต็มหน้าผากของเธอ ซึ่งเธอก็พยายามนึกถึงรูปแบบการเดินหมากบนกระดานในใจของเธอและเธอรู้สึกว่าเธอไม่สามารถหนีได้อีกต่อไปแล้วและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เพราะมันเป็นทางตันจนไม่มีทางพลิกกลับได้เลย
จากนั้นฮัวหยาซินก็ลืมตาขึ้นและถอดผ้าเช็ดหน้าปิดตาออกแล้วเห็นว่าการเดินหมากล้อมของเย่เชียนเป็นเหมือนนักรบที่ถือดาบสองคมและเข่นฆ่าทหารของเธอ เมื่อเห็นเช่นนั้นฮัวหยาซินก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ฉันแพ้แล้ว”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้วแล้วถอดผ้าเช็ดหน้าออกและพูดว่า “ผมแค่โชคดี..ขอบคุณที่ยอมอ่อนข้อให้ผม”
“ถ้าแพ้ก็คือแพ้..มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น” ฮัวหยาซินพูด เนื่องจากเธอตกลงที่จะเล่นเธอก็กล้าที่ยอมรับความพ่ายแพ้ได้ เธอไม่ใช่คนประเภทที่ไม่ยอมรับในความผิดพลาดหรือความพ่ายแพ้ของเธอ เกี่ยวกับการแข่งขันนั้นสำหรับเธอแล้วการชนะคือชนะ และแพ้ก็คือแพ้และจะไม่มีข้ออ้างหรือข้อแก้ตัวใดๆอย่างแน่นอน ซึ่งนี่คือความขัดแย้งระหว่างเธอกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนในสมัยก่อน
“ที่จริงแล้วถ้าพูดถึงทักษะหมากล้อมแบบปกติจริงๆผมคงจะไม่ใช่คู่แข่งของอาจารย์ฮัวอย่างแน่นอน..นี่คือเหตุผลที่ผมต้องการเล่นหมากล้อมตาบอด” เย่เชียนพูด หมากรุกไม่ใช่การแข่งขันของ ทักษะหมากรุก แต่การแข่งขันของหัวใจและจิตใจ”
ฮัวหยาซินก็ยิ้มและหันไปเหลือบมองหูวเค่อแล้วพูดว่า “เค่อเอ๋อ..เธอตัดสินใจเลือกคนรักได้ดีมาก”
หูวเค่อก็มีความสุขมากที่ได้รับการชื่นชมจากฮัวหยาซินจากนั้นเธอก็เหลือบมองเย่เชียนอย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าอาจารย์ของเธอจะไม่สามารถเป็นคนกำหนดชีวิตคู่และการแต่งงานของหูวเค่อได้ก็ตามแต่ฮัวหยาซินก็ยังมีอิทธิพลสำหรับหูวเค่อในระดับหนึ่งเช่นกัน ท้ายที่สุดเธอก็เป็นอาจารย์ของหูวเค่อ ดังนั้นหูวเค่อก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการแต่งงานของเธอจะได้รับความยินดีจากฮัวหยาซินด้วย ซึ่งในตอนนี้ดูเหมือนว่าเย่เชียนจะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
“เธอทำอาหารเหล่านี้เองจริงๆเหรอ?” ฮัวหยาซินมองไปที่อาหารทะเลบนจานแล้วถาม
“มันดูไม่น่าเชื่อขาดนั้นเลยหรอครับ” เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “อาจารย์ฮัวเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้เพราะงั้นผมก็หวังว่าอาจารย์ฮัวจะให้คำแนะนำผมได้..ผมจะนำมันไปปรับปรุงในอนาคต”
“ฉันแค่ชอบกิน..ฉันทำอาหารไม่เป็น..ฉันไม่สามารถให้คำแนะนำอะไรเธอได้” ฮัวหยาซินพูดจบ แล้วเดินไปที่จานจากนั้นก็หยิบหอยนางรมและนำหอยนางรมเข้าปากของเธอ จากนั้นฮัวหยาซินก็ตกตะลึงอย่างยิ่งเพราะเธอไม่ได้กินอาหารทะเลอร่อยๆเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ที่บ้านเกิดของเธอก็ตามแต่ชาวบ้านในท้องถิ่นก็ยังไม่สามารถทำอาหารทะเลที่อร่อยเช่นนี้ได้เลย เมื่อคิดเช่นนั้นฮัวหยาซินก็จ้องมองไปที่เย่เชียนและไม่อยากจะเชื่อเพราะเมื่อนึกถึงผู้ชายที่ดูบ้าๆบอๆผสมกับนิสัยที่เป็นอันธพาลเหมือนเย่เชียนแล้วการที่คนเช่นนี้จะสามารถทำอาหารอร่อยๆออกมาได้นั้นมันเกิดความคาดหมายของเธอไปมาก
ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะผู้ชายยุคสมัยนี้เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่น่าสงสารอย่างยิ่ง ทำไมกันล่ะ? เนื่องจากผู้หญิงในยุคสมัยนี้น้อยคนนักที่จะทำอาหารเป็น ดังนั้นงานสำคัญเหล่านี้จึงตกไปอยู่ในมือของผู้ชายโดยธรรมชาติและไม่เพียงแต่พวกเขาต้องทำงานหนักนอกบ้านเท่านั้นแต่ยังต้องรับใช้ภรรยาเมื่อกลับบ้านมาด้วย
ในตอนนี้ฮัวหยาซินก็ไม่สามารถหยุดกินได้แล้วเพราะเธอยัดกุ้งกับหอยเข้าไปในปากของเธอทีละคำจนลืมตัวตนของเธอในฐานะเจ้าสำนักหยุนหยานเหมินผู้ทรงเกียรติไปแล้วและในเวลานี้เธอก็เป็นเหมือนหญิงสาวตัวเล็กๆอย่างสมบูรณ์แบบที่มีนิสัยและความคิดของหญิงสาวทั่วไป
ทั้งเย่เชียนและหูวเค่อต่างก็ตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ ซึ่งถ้ามีคนมาเห็นฮัวหยาซินในเวลานี้พวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีวันเชื่อเลยว่าฮัวหยาซินคนนี้กับผู้ที่เป็นเจ้าสำนักนั้นเป็นคนเดียวกัน อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นฮัวหยาซินเช่นนี้หูวเค่อก็มีความสุขมากเพราะนี่หมายความว่าฮัวหยาซินยอมรับในตัวของเย่เชียนแล้ว ไม่เช่นนั้นหากทัศนคติของฮัวหยาซินที่มีต่อเย่เชียนนั้นไม่ดีเธอจะไม่มีวันกินอาหารที่เย่เชียนทำอย่างแน่นอนและไม่ว่ามันจะอร่อยแค่ไหนถึงยังไงก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
เมื่อเหลือบมองฮัวหยาซินแล้วเย่เชียนก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าออกไปแล้วพูดว่า “อาจารย์ฮัวจำผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ได้หรือเปล่าครับ”
ฮัวหยาซินก็ถึงกับตกตะลึงและเธอก็หยุดชะงักไปและการเคลื่อนไหวการกินของเธอก็หยุดนิ่งไปทันที ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกได้บางอย่างแล้วเมื่อเย่เชียนหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ออกมาในตอนแรกแต่เธอก็ไม่รู้ว่าเย่เชียนทำไปเพื่ออะไรและมีจุดประสงค์อะไร แต่มันเป็นแผลในใจเธอและไม่อยากคิดเลย เมื่อเห็นเช่นนั้นฮัวหยาซินก็วางอาหารในมือลงและเธอก็หยิบกระดาษทิชชู่ออกมาเช็ดปากและมืออย่างช้าๆแล้วเงยหน้าขึ้นมองเย่เชียนจากนั้นก็พูดว่า “จำได้?..นี่เขาส่งเธอมาเยาะเย้ยฉันงั้นเหรอ..เขาไม่กลัวว่าฉันจะฆ่าเธอเลยเหรอ?..นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องการจะเอาชนะฉันด้วยผ้าเช็ดหน้านี้..หึ..หลายปีผ่านไปแต่เขาก็ยังนิ่งเฉยอยู่..เขาไม่เคยเชื่ออะไรฉันเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮัวหยาซินแล้วหูวเค่อก็รู้สึกบางอย่างได้จางๆและรีบสะกิดเย่เชียนใต้โต๊ะโดยหวังว่าเย่เชียนจะหยุดพูดแต่เย่เชียนกลับยังคงยิ้มให้เธอแล้วพูดว่า “บางสิ่งบางอย่างมันต้องได้รับการแก้ไข”