ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 835 ชายหนุ่มรูปงาม
ตอนที่ 835 ชายหนุ่มรูปงาม
เมื่อเห็นเย่เชียนยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าพร้อมกับถือช่อดอกกุหลาบสีแดงแล้วพนักงานของบริษัทเหล่านี้ต่างก็มีท่าทีที่งุนงงแต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็แสดงออกถึงความอิจฉาริษยาและความโหยหาเพราะถ้าหากเย่เชียนที่เป็นถึงผู้จัดการสาขาสนใจในตัวพวกเธอล่ะก็มันจะมีประโยชน์และเป็นสิ่งที่ดีอย่างมากสำหรับพวกเธอ จากนั้นการใช้ชีวิตในบ้านหลังหรูพร้อมกับรถ BMW ก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม
คนเราเมื่อสูญเสียบางสิ่งไปเราก็จะรู้คุณค่าของมันและความรักก็เช่นกัน ซึ่งคนเหล่านี้ที่มาเมืองปักกิ่งแห่งนี้เพราะจุดประสงค์อะไร? มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้มีที่อาศัยในแผ่นดินนี้และมันเป็นเรื่องของวัตถุนิยมและเงินทองเพราะเงินเป็นตัวกำหนดสถานะของเรา ดังนั้นความรักที่ปราศจากความมั่งคั่งก็ไม่สามารถต้านทานการได้ พวกเธอถึงอยากที่จะนั่งในรถ BMW และไม่อยากนั่งบนจักรยานแล้วถูกผู้คนหัวเราะอีกต่อไป
ไม่นานนักหลังจากนั้นซือจื้อก็เดินออกมาและเย่เชียนก็ทักทายเธอในทันที เมื่อเห็นฉากดังกล่าวเหล่าพนักงานสาวของบริษัทก็เข้าใจในทันทีและพวกเธอก็เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและความเกลียดชังอย่างสุดซึ้งต่อซือจื้อ เพียงแต่พวกเธอไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนซือจื้อไม่อย่างนั้นพวกเธอจะสามารถเดินไปรอบๆห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆและร้านเครื่องประดับกับผู้ชายรวยๆได้ทั้งวันและไม่จำเป็นต้องทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยอีกต่อไป
“นี่สำหรับคุณ..เย็นนี้เราไปดินเนอร์ด้วยกันมั้ย?” เย่เชียนดูเหมือนสุภาพบุรุษแต่ใบหน้าที่แน่นิ่งและเย็นชาอยู่เสมอทำให้การแสดงออกดังกล่าวดูน่าอึดอัดเล็กน้อย
ซือจื้อก็เหลือบมองไปที่ช่อดอกกุหลาบสีแดงในมือของเย่เชียนและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ฉันขอโทษ..ฉันไม่ชอบดอกกุหลาบน่ะ”
เย่เชียนก็ยิ้มเจื่อนๆและพูดว่า “แต่ผมคิดมันว่ามีเพียงดอกกุหลาบเท่านั้นที่คู่ควรกับคุณเพราะพวกมันล้วนสวยงามและเพียบพร้อมเหมือนกับดอกของมัน..ส่วนหนามนั้นใครก็ตามที่ไล่ตามคุณพวกเขาก็จะเจ็บช้ำไปทั้งตัว”
“จริงเหรอ” สีหน้าของซือจื้อก็ยังคงเฉยเมยแต่แววตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความปีติยินดีโดยไม่ตั้งใจเพราะตราบใดที่เธอเป็นผู้หญิงเธอก็ชอบคำชมของผู้ชายอย่างหลีกเลี่ยงมาได้ ในโลกของผู้หญิงนั้นผู้ชายคือทุกสิ่งและไม่ว่าพวกเธอจะแต่งตัวอย่างไรเป้าหมายสูงสุดก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการดึงดูดความสนใจของผู้ชายในขณะที่ตอบสนองความต้องการทางเพศที่แข็งแกร่งของพวกเขานั้นพวกเธอก็ยินดีและมีความสุขที่ผู้ชายหลั่งไหลเพราะเธอ
“แน่นอน” เย่เชียนพูด “ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเห็นคุณผมรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์..ผมไม่รู้ว่าคุณเชื่อในรักแรกพบหรือเปล่าแต่ผมเชื่อเพราะในที่สุดผมก็รู้แล้วว่าทำไมพระเจ้าถึงสั่งให้ผมมาที่เมืองปักกิ่ง..นั่นก็เพราะคุณคือคนที่ผมตามหามานานนั่นเอง”
มุมปากของซือจื้อก็ค่อยๆเผยให้เห็นรอยยิ้มแต่ผู้หญิงอย่างเธอจะไม่ไล่ตามผู้ชายแต่อย่างใดเพราะตำแหน่งหน้าที่การงานในบริษัทของเธอก็ไม่ได้แย่และเป็นถึงผู้จัดการฝ่ายการเงินของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปสาขาปักกิ่งและไม่เพียงเป็นหุ้นส่วนของบริษัทเท่านั้นแต่เธอยังมีเงินเดือนประจำปีหลายล้าน ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจเรื่องเงินและมันเป็นความรู้สึกแบบว่าผู้ชายทุกคนอยู่ในกำมือของเธอ ในความคิดของเธอโลกนี้มีผู้ชายอยู่แค่สองประเภทซึ่งประเภทแรกคือผู้ชายที่หวังร่างกายของเธอกับหวังความมั่งคั่งจากเธอเพราะพระเจ้าประทานความงดงามนี้ให้ตัวเธอด้วยใบหน้าที่สวยและร่างกายที่เร่าร้อนดั่งปีศาจ ดังนั้นเธอจึงต้องใช้ข้อดีของตัวเองทำสิ่งใดที่เธออยากทำและสิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่ความเพลิดเพลินทางวัตถุอีกต่อไป แต่เป็นความสุขแบบให้ผู้ชายทุกคนทุกประเภทไล่ตามตัวเองด้วยความสุขภายใต้กระโปรงและไม่ว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งหรือมั่งคั่งเพียบพร้อมแค่ไหนถึงยังไงพวกเขาก็ยินดีที่จะแข่งขัน ลองคิดดูว่ามันจะน่าตื่นเต้นขนาดไหน?
หลังจากพูดประโยคนั้นออกไปเย่เชียนก็รู้สึกสั่นสะท้านเล็กน้อยเพราะสิ่งเหล่านี้ถูกสอนโดยหลี่เหว่ย หากเป็นเย่เชียนเขาจะไม่สามารถคิดและพูดเรื่องนี้ออกมาได้จริงๆ แต่หลี่เหว่ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าทำไมเขาถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญและคาสโนว่าสำหรับผู้หญิง ซึ่งยุคสมัยนี้สิ่งที่ผู้หญิงต้องการไม่ใช่คำบอกรักที่เฉียบขาดและเถรตรงอีกต่อไปแต่เป็นคำพูดที่ชวนให้คล้อยตาม
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่เห็นด้วยกับหลี่เหว่ยมากนักแต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยดังนั้นเขาจึงต้องทำตามในสิ่งที่หลี่เหว่ยแนะนำมา
“คุณเย่..อย่าพยายามซะให้ยากเลย..ฉันไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่ไม่รู้จักโลกภายนอกที่จะถูกหลอกลวงด้วยคำพูดเหล่านี้ได้..มันไม่ได้ผลสำหรับฉันหรอก” ซือจื้อพูด “ฉันต้องขอโทษด้วยพอดีฉันมีธุระที่ต้องทำ” เมื่อเธอพูดจบเธอก็หันหลังเดินจากไป แต่ตอนนี้ หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าวเธอก็หยุดและหันกลับมามองที่เย่เชียนแล้วหยิบช่อกุหลาบแดงจากมือของเย่เชียนแล้วซือจื้อก็พูดว่า “ขอบคุณสำหรับดอกไม้ของคุณ”
หลังจากนั้นซือจื้อก็เดินไปที่รถของเธอโดยไม่หันกลับมามองเย่เชียนอีกต่อไปและเย่เชียนก็มองดูเธอแบบนี้ด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของเขาโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนว่าวิธีการของหลี่เหว่ยจะค่อนข้างมีประสิทธิภาพในจัดการกับเรื่องนี้ จากนั้นเมื่อซือจื้อเดินไปถึงรถเธอก็หันมามองเย่เชียนและยิ้มอย่างมีเสน่ห์แล้วพูดว่า “ผู้หญิงกับรถยนต์เป็นหน้าตาทางสังคมของผู้ชาย..คุณในฐานะผู้จัดการสาขาของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปฉันก็คิดว่าคุณน่าจะมีรถยนต์สุดหรูและผู้หญิงของคุณอยู่แล้ว”
เมื่อคำพูดของซือจื้อจบลงเธอก็เข้าไปในรถของเธอและสตาร์ทรถจากนั้นก็รีบขับรถออกจากบริษัทไป เมื่อเห็นรถของซือจื้อที่ออกไปเย่เชียนก็ยืนอยู่ที่นั่นและนึกถึงสิ่งที่เธอเพิ่งพูดไปเพราะดูเหมือนว่ามันจะมีความหมายบางอย่างแฝงอยู่
ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นประตูที่ปิดและไม่มีวันเปิดออกแต่เย่เชียนก็รู้สึกว่าเขาได้ก้าวไปสู่ความสำเร็จก้าวแรกแล้ว ส่วนชางกวนเจ้อที่อยู่ชั้นบนของบริษัทข้างๆหน้าต่างเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านล่างแล้วความขุ่นเคืองและความโกรธก็ระเบิดอยู่ภายในดวงตาของเขา
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเย่เชียนก็หันหลังเดินจากไปและเพียงไม่กี่ก้าวจู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูและปรากฏว่าเป็นสายจากหวงฟู่ชิงเตี๋ยน เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ถึงกับผงะไปและกดรับสายทันที “ว่าไงครับคุณปู่?..ผมยังมีสิ่งที่ต้องทำในปักกิ่งอีกตั้งหลายสิ่งหลายอย่าง..ผมอาจจะไม่ได้กลับไปอีกสักพักใหญ่ๆเลย” เย่เชียนพูดอย่างตรงไปตรงมา
“เอ็งอย่าสร้างปัญหาอะไรที่นั่นก็แล้วกัน..ฉันไม่ได้จะให้เอ็งกลับมา” เย่เจียอู๋พูด “ฉันอยากจะบอกเอ็งว่าในเมื่อเอ็งอยู่ที่ปักกิ่งแล้วฉันอยากจะให้เอ็งไปเยี่ยมใครสักคนแทนฉันหน่อยน่ะ”
“ไปเยี่ยมใคร?” เย่เชียนถามด้วยความสงสัยและอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆว่าคนๆนั้นจะไม่เป็นคนเหมือนฮัวหยาซินอีกใช่มั้ย? เย่เชียนไม่อยากทำอะไรแบบนั้นอีก ซึ่งมันเป็นความโชคดีที่หูวเค่ออยู่ข้างๆที่สำนักหยุนหยานเหมินแต่เย่เชียนไม่รู้จริงๆว่าเขาเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านั้นเพียงลำพังเขาจะอยู่รอดในเมืองปักกิ่งได้หรือไม่ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก
“หม่าเต๋อหง” เย่เจียอู๋พูด “เขาเป็นเหมือนปู่ของเอ็งและเป็นพ่อทูนหัวของพ่อเอ็งด้วย..ตั้งแต่พ่อเอ็งตายไปเขาก็มีความขุ่นเคืองต่อฉันอย่างสุดซึ้งและหลังจากนั้นเขาก็แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลเย่ของเราอีกเลย..อย่างไรก็ตามเขามีอำนาจมากในเมืองปักกิ่งเพราะงั้นเอ็งควรไปเยี่ยมเขาเพราะมันจะมีประโยชน์มากสำหรับการพัฒนาในอนาคตของเอ็ง”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปและพยักหน้าเห็นด้วยเพราะฟังจากสิ่งที่เย่เจียอู๋พูดแล้วดูเหมือนว่าหม่าเต๋อหงนั้นคุ้มค่าอย่างมากที่จะไปเยี่ยมเยียนเขา การที่เขาตัดสัมพันกับตระกูลเย่นั้นจะเห็นได้ว่าเขาเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวและจริงจังอยู่พอสมควร อันที่จริงในกรณีนี้เย่เจียอู๋ก็ต้องแบกรับภาระหน้าที่นี้เอาไว้โดยการเป็นคนไปเองและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่โทษเขาแต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้
นอกจากนี้เย่เชียนยังเข้าใจด้วยว่าเหตุผลที่เย่เจียอู๋ทำเช่นนี้อาจเป็นการปูทางให้กับตัวเองและไม่ว่าจะในที่สาธารณะหรือที่ส่วนตัวเย่เชียนก็สึกว่าเขาอยากจะไปเยี่ยมหม่าเห๋อตงจริงๆ หลังจากถามเย่เจียอู๋เกี่ยวกับข้อมูลของหม่าเต๋อหงและที่อยู่แล้วเย่เชียนก็วางสายไปแล้วยกข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้วและมันจะต้องไปในวันพรุ่งนี้เท่านั้น
เมื่อเย่เชียนอยากจะโทรไปถามว่าเย่หานหลินอยู่ที่ไหนแต่เมื่อคิดๆดูแล้วเย่เชียนก็ล้มเลิกความคิดไปเนื่องจากเย่เชียนตัดสินใจให้เย่หานหลินติดตามเขาดังนั้นเขาจึงต้องฝึกฝนความสามารถของเย่หานหลินในการดำเนินและตัดสินใจเพียงลำพังบ้าง ศักยภาพของเย่หานหลินนั้นเป็นที่น่าจับตามองอย่างมากเพราะฉะนั้นตราบใดที่มีโอกาสเย่หานหลินก็จะรู้ถึงศักยภาพของตัวเองได้ ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะดูเรียบง่ายมากแต่ในเมืองปักกิ่งแห่งนี้ที่ซึ่งมีเหล่ามังกรและเสือซ่อนอยู่นั้นก็ต้องจัดการและตัดสินใจให้ดีและเหมาะสมที่สุดเท่านั้น
เมื่อเย่เชียนกำลังจะกวักมือโบกแท็กซี่ให้หยุดรถจู่ๆรถสปอร์ต Porsche ก็ขับมาจอดข้างๆเย่เชียน ซี่งที่แห่งนี้เป็นเมืองหลวงและเป็นนครแห่งความมั่งคั่งและเป็นเมืองแห่งรถหรูเพราะเมืองปักกิ่งมีถนนที่กว้างมาแต่ทว่าสำหรับชาวปักกิ่งแล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะไม่ว่ารถสปอร์ตหรือรถหรูจะยิ่งใหญ่และมูลค่าแพงขนาดไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับสถานะตัวตรงของบุคคลนั้นๆ ดังนั้นในเมืองแห่งนี้รถยนต์หรูๆก็เป็นได้แค่เปลือกนอกเท่านั้น
หน้าต่างรถค่อยๆเลื่อนลงมาเผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาอยู่ข้างในเป็นผู้ชายที่มีใบหน้าที่สามารถทำให้ผู้หญิงอิจฉาได้ ซึ่งมันน่าแปลกใจจริงๆพร้อมกับเสื้อผ้าแบรนด์เนมเครื่องแต่งกาย Armani ที่เปล่งประกายออร่าอันทรงพลัง
พระพุทธเจ้าทรงพึ่งทองหุ้มแต่มนุษย์นั้นอาศัยเครื่องนุ่งห่มที่เลิศหรู
ออร่าที่ดูเปล่งประกายนั้นทำให้คนส่วนมากคิดว่าเขาต้องมีรากฐานที่รุ่งเรืองแต่สุดท้ายก็เหลือเพียงผงธุลีเท่านั้น นี่เป็นเพียงคำพูดของคนธรรมดาที่พูดถึงคนที่สำเร็จและน่าอิจฉาเหล่านั้น
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและเมื่อนึกถึงผู้ชายคนนี้ในความคิดแล้วเย่เชียนก็สามารถมั่นใจได้ว่าเขาไม่เคยเห็นชายผู้นี้มาก่อน
“เย่เชียน!” ด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของชายหนุ่มรูปงามเขาเรียกชื่อเย่เชียนและพูดว่า “เราไปดื่มกันหน่อยมั้ย?”
คิ้วของเย่เชียนก็ขมวดเล็กน้อยและมองไปที่เขาด้วยความสับสนเพราะชายคนนี้สามารถเรียกชื่อเขาได้แต่ว่าตัวเขาไม่ได้มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะมีจุดประสงค์แอบแฝงบางอย่าง
ชายหนุ่มรูปงามก็ฉีกยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ทำไม?..คุณไม่กล้าแม้แต่จะดื่มกับผมเลยงั้นเหรอ..หรือคุณเย่ขี้อายเกินไป?”
เย่เชียนก็แสยะยิ้มและเปิดประตูรถเข้าไปแล้วพูดว่า “ผมไม่มีเงินหรอกนะ..คุณเป็นคนจ่าย”